xs
xsm
sm
md
lg

ใส่ใจสุขภาพ : อย่ามองข้าม !! 9 อาการเจ็บปวด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาการเจ็บปวดตามร่างกายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดขา ปวดหลัง ฯลฯ ดูเหมือนเป็นอาการปวดธรรมดาทั่วไป

แต่จริงๆแล้วอาการปวดเหล่านี้ อาจเป็นอาการขั้นต้นหรือขั้นร้ายแรงของโรคบางอย่าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

มาดูกันว่ามีอาการเจ็บปวดแบบใดบ้าง ที่ไม่ควรมองข้าม หรือปล่อยทิ้งไว้จนยากแก่การรักษา

1. ปวดศีรษะแปล๊บๆ

อาการปวดศีรษะทั่วไปมักเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว แต่มีอาการปวดหัวบางชนิดจู่โจมอย่างรวดเร็ว ราวฟ้าผ่า และถึงแม้ว่าอาการปวดจะหายไปในไม่ช้า แต่การเกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า มันร้ายแรงมากกว่าอาการปวดศีรษะธรรมดา เช่น หากปวดหัวจนตาพร่า มองเกือบไม่เห็น นั่นคือ อาการของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน

นอกจากปวดหัวกะทันหันแล้ว คนที่มีอาการเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน จะมีปัญหาด้านระบบประสาทและกระบวนการรับรู้ร่วมด้วย อาทิ พูดหรือเดินลำบาก หรือยืนไม่ได้เลย

หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบไปพบแพทย์หาสาเหตุ ก่อนที่จะสายเกินไป

2. ปวดข้อต่อเรื้อรัง

การปวดตามข้อต่างๆอย่างเรื้อรัง อาจมาจากสาเหตุดังนี้

โรคกระดูกพรุน : โดยทั่วไปเกิดในผู้สูงอายุ ที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อสึกกร่อนอย่างช้าๆต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป ทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรงขณะเคลื่อนไหว ก่อให้เกิดอาการปวด บวม บริเวณข้อต่อ

โรคตับอักเสบ : นอกจากจะส่งผลต่อการทำงานของตับแล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดตามข้ออีกด้วย บางรายอาจมีการติดเชื้อ เช่น หัดและอีสุกอีใส ซึ่งอาจทำให้เจ็บปวดตามข้อต่อได้เช่นกัน

โรคข้อต่ออักเสบ : เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง คือ เม็ดเลือดแดงซึ่งปกติจะเป็นทหารของร่างกาย คอยดักจับและทำลายเชื้อโรคนั้น กลับมาทำลายกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ พบว่า โรคนี้เป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบได้ทุกช่วงอายุ

3. ปวดลูกอัณฑะ

ผู้ชายที่มีอาการเจ็บลูกอัณฑะ อย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด เพราะหากปล่อยไว้นาน อาการจะยิ่งกำเริบหนักขึ้น เพราะอาจมีสาเหตุจากโรคไส้เลื่อนไปจนถึงโรคมะเร็ง

ทางที่ดีควรรีบพบแพทย์ในทันทีที่มีอาการ อย่ารอให้อาการเจ็บหายไปเอง เพราะนั่นอาจสายเกินไป จนทำให้คุณต้องเสียอวัยวะชิ้นสำคัญไป

4. ร้อนซ่า เจ็บ ชา
ตามมือและเท้า


หากนั่งไขว่ห้างนานๆ จะรู้สึกเจ็บชาขาและเท้า ทั้งนี้เพราะการไหลเวียนโลหิตเป็นไปด้วยความลำบาก แต่เมื่อขยับท่าทางหรือลุกขึ้น อาการดังกล่าวจะหายไป

แต่ถ้ารู้สึกร้อนซ่า เจ็บ ชาตามมือและเท้า โดยไม่ได้อยู่ในท่ากดทับเป็นเวลานานๆ อาจเป็นเพราะเส้นประสาทเสื่อม ซึ่งเกิดขึ้นในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ขาดวิตามินบี 12 หรือคนที่เป็นโรคงูสวัด รวมถึงอาการบาดเจ็บ ติดเชื้อ และได้รับสารพิษ

สิ่งสำคัญคือ ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังกล่าว เพราะเมื่อร่างกายรับความรู้สึกได้น้อยลง ทำให้โอกาสที่มือและเท้าจะได้รับบาดเจ็บโดยไม่รู้สึกตัว อาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อ ลามเป็นปัญหาใหญ่

5. ปวดน่อง

อาการปวดน่องมักเกิดขึ้นจากการวิ่งหรือขึ้นบันไดสูงเป็นเวลานานๆ แต่ถ้าปวดโดยไม่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บละก็ ควรต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจมีสาเหตุมาจากลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดที่ขา ทำให้ขาบวม และในกรณีเลวร้ายสุด อาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง จนกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

6. ปวดท้องรุนแรง

การปวดท้องเป็นระยะๆ หลังรับประทานอาหารที่ไม่สดสะอาด มีเชื้อจุลินทรีย์เจือปน เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่หากเป็นการปวดท้องโดยหาสาเหตุไม่เจอ มันอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่อวัยวะใกล้เคียง เช่น ไต ปอด หรือมดลูก ที่ทำให้เจ็บช่องท้อง

หากรู้สึกเจ็บท้องด้านขวาล่าง อาจเป็นเพราะไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งต้องรีบผ่าตัด แต่ถ้าเจ็บด้านขวาบน แสดงว่าถุงน้ำดีมีปัญหา ส่วนการเจ็บท้องด้านบน พร้อมๆกับปวดหลังด้านบน อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ตับอ่อนติดเชื้อ บวมอักเสบ

นอกจากนี้ อาการปวดช่องท้องอาจมีสาเหตุจากลำไส้อุดตัน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เนื้อเยื่อลำไส้ตาย รวมถึงตับอักเสบ ซึ่งทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรง

ดังนั้น หากรู้สึกปวดท้องกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

7. มากกว่าการเจ็บหน้าอก

จริงอยู่.. อาการเจ็บหน้าอกเป็นสัญญาณเตือนภัยของโรคหัวใจ แต่ทว่าวันดีคืนดี หากรู้สึกปวดกรามทันที นั่นคือสัญญาณเตือนว่า อาการหัวใจล้มเหลวกำลังมาเยือนหรือเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

ความเจ็บปวดจากอาการหัวใจล้มเหลว นอกจากเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าอกแล้ว ยังมักเกิดที่ไหล่ แขน ท้อง กรามล่าง หรือลำคอ ได้ด้วย ดังนั้น หากมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และรู้สึกเจ็บบริเวณดังกล่าวกะทันหัน ให้หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ทันที และรีบบอกคนรอบข้างให้พาไปพบแพทย์โดยด่วน

8. ปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังส่วนล่างนับเป็นหนึ่งในอาการปวดยอดฮิตของคนยุคนี้ โดยเฉพาะคนวัยทำงาน ซึ่งมักเกิดจากการนั่งผิดท่าทางเป็นเวลานานๆติดต่อกัน

แต่บางครั้ง อาการปวดเช่นนี้บ่งบอกถึงไตกำลังมีปัญหา อาทิ มีก้อนนิ่ว หรือติดเชื้อ ซึ่งไตจะบวมจนทำให้รู้สึกปวดหลังส่วนล่าง และหากเกิดเนื้องอกก้อนโตที่ไต ก็จะมีอาการปวดที่ตำแหน่งเดียว กันนี้

ทางที่ดี ควรไปพบแพทย์เมื่อรู้สึกปวดหลังบริเวณดังกล่าว เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่เป็นอันตรายต่อไตและชีวิต

9. เจ็บปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากเกิดเจ็บปวดตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากอาการไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการปวดเรื้อรังบริเวณกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดที่กระจายทั่วร่างกาย และอาจมีอาการร่วมที่พบบ่อย คือ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า นอนหลับยาก อาการนี้มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

สาเหตุการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกิดจากการเสียสมดุลในการควบคุมอาการปวด กล่าวคือระบบประสาทส่วนกลางมีความไวต่อตัวกระตุ้นโดยเฉพาะอาการปวดมากกว่าปกติ

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 138 มิถุนายน 2555 โดย กองบรรณาธิการ)






กำลังโหลดความคิดเห็น