พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ให้สิ่งอันเลิศ ให้สิ่งที่ดี ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในภพที่ตนเกิด”
มีคนจำนวนไม่น้อย คิดว่าการให้ จะต้องเป็นวัตถุสิ่งของเท่านั้น จึงได้แต่เฝ้ารอคอยทรัพย์สินเงินทองให้หล่นมากองบนหน้าตัก แล้วค่อยพร้อมที่จะเป็นผู้ให้
แต่จริงๆแล้ว ในฐานะมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนล้วนมีสิ่งดีงามหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองเสมอไป
ในยามที่คุณคิดว่าไม่มีอะไรจะมอบให้ผู้อื่น ลองให้สิ่งดีๆต่อไปนี้ ที่รับประกันว่า จะนำความสุขมาสู่ผู้ให้และผู้รับได้อย่างแน่นอน
1. ให้รอยยิ้ม
หากคิดจะให้อะไรที่ง่ายที่สุดและเห็นผลทันตา นั่นคือ “รอยยิ้ม” จงยิ้มให้ผู้คนที่คุณพบปะในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็นในละแวกบ้าน ที่ทำงาน แหล่งกิจกรรม หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เดินสวนกันบนท้องถนน
รอยยิ้มคือการหยิบยื่นมิตรภาพและไมตรีที่ดีงามให้ผู้อื่น และสิ่งที่คุณจะได้รับกลับคืนมา ก็คือรอยยิ้ม
เช่นเดียวกัน ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม” เพราะฉะนั้น อย่าให้ความภาคภูมิใจนี้ต้องกลายเป็นอดีต เพราะคนไทยขาดรอยยิ้มบนใบหน้า
2. ให้คำยกย่องชมเชย
ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ชอบการกล่าวคำยกย่องชมเชย ดังนั้น การกล่าวยกย่องชมเชยผู้อื่นในสิ่งดีๆที่พวกเขาได้กระทำ เช่น เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียรการมีจิตอาสา ฯลฯ เมื่อคุณเอ่ยปากชื่นชมเชิดชู
เชื่อแน่ว่า ผู้ฟังจะรู้สึกว่าตนมีคุณค่ามากขึ้น เกิดปีติยินดีที่จะทำความดีต่อไป
3. ให้ความจริงใจ
ความจริงใจเป็นสิ่งดีงาม ที่ควรบ่มเพาะให้งอกงามในจิตใจ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2524 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความตอนหนึ่งว่า
“...ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นของสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ เพราะสามารถกำจัดปัญหาได้มากมาย โดยเฉพาะปัญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจ เอารัดเอาเปรียบกันและคนที่จริงใจต่อผู้อื่นนั้น ย่อมได้รับความนิยมเชื่อถือไว้วางใจ ร่วมมือสนับสนุนจากสาธุชนอยู่เสมอ จะทำการสิ่งใดก็สำเร็จและราบรื่น ท่านจึงสอนให้รักษาความจริงใจให้กันและกันไว้ทุกเมื่อ...
4. ให้ถ้อยคำที่ไพเราะ
สุนทรภู่ กวีเอกของโลก ได้เคยเขียนไว้ว่า “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย”
ถ้อยคำที่ไพเราะนุ่มนวลนั้น สื่อถึงความเมตตากรุณา ผู้ได้ยินได้ฟังมักจะชื่นอกชื่นใจ ดังนั้น อย่าแปลกใจที่คุณจะได้รับสิ่งเดียวกันกลับคืนมา เพราะธรรมชาติของมนุษย์ ถูกสร้างมาให้เป็นผู้ที่อ่อนโยน มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่นนั่นเอง
5. ให้องค์ความรู้
มีคำกล่าวว่า “อย่าให้ปลาแก่เขา แต่จงสอนเขาให้ตกปลา”
เพราะการให้องค์ความรู้ เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดไป ย่อมดีกว่าการให้ทรัพย์สินเงินทอง อีกทั้งผู้รับยังสามารถนำความรู้ที่เราให้ไปนั้น ไปต่อยอดขยายผลได้อีกด้วย นำมาซึ่งความภาคภูมิใจทั้งต่อผู้ให้และผู้รับอย่างยิ่ง
6. ให้โอกาส
คนบางคนมีความรู้และความสามารถ แต่ขาดซึ่งโอกาสที่จะทำให้สำเร็จได้ เช่น เด็กเรียนดีแต่ยากจน คนที่เป็นอาจารย์หรือผู้เกี่ยวข้องควรทำเรื่องขอทุนการศึกษาให้ เพื่อให้โอกาสเด็กได้ใช้ศักยภาพที่เขามีให้ถึงที่สุด
7. ให้อภัย
การให้อภัยนี้ เป็นสิ่งที่ดีแก่ผู้ให้มากยิ่งกว่าผู้รับ ดังที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงสอนเรื่องการให้อภัย หรืออภัยทานไว้ว่า
“อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ”
8. ให้กำลังใจ
เมื่อพบคนที่กำลังท้อแท้ผิดหวังในชีวิต หรือคนที่กำลังเผชิญอุปสรรค กำลังใจคือยาขนานดีที่คนเหล่านี้ต้องการ ยามคุณหยิบยื่นกำลังใจให้ผู้อื่น เท่ากับช่วยให้เขาลุกขึ้นสู้ใหม่ได้อีกครั้ง
และหากทำได้สำเร็จ คนที่จะภูมิใจไปกับเขาด้วย ก็คือตัวคุณเอง และนี่เป็นความรู้สึกดีๆ มิใช่หรือ?
9. ให้ความรักความเมตตา
เมตตา คือ ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้สุข ความรักความเมตตาหรือความปรารถนาดีที่คุณหยิบยื่นให้คนรอบข้างหรือแม้แต่คนแปลกหน้า ย่อมนำความสุขมาสู่ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ ผู้ให้รู้สึกยินดีที่ได้มอบสิ่งดีๆ ส่วนผู้รับก็เกิดความซาบซึ้งใจ
10. ให้ความกรุณา
กรุณา คือ ความสงสาร คิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้น อย่ารอช้าเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับทุกข์ทรมาน
จงช่วยเขาเท่าที่คุณมีกำลังมีความสามารถจะช่วยได้ อาจจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือให้กำลังใจ เพื่อให้เขาคลายจากทุกข์
11. ให้เวลา
เวลาเป็นสิ่งมีค่า ลองหาเวลาว่างทำประโยชน์ให้กับคนอื่นดูบ้าง เช่น ไปเป็นจิตอาสาช่วยกิจกรรมสาธารณประโยชน์ แล้วคุณจะประหลาดใจกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น เช่น ได้รู้จักเพื่อนใหม่ หรือเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น
12. ให้ผลบุญ
ท้ายที่สุด หากคิดว่าไม่มีอะไรจะให้ได้จริงๆ การสวดมนต์ภาวนาเพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้แก่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง ผู้ที่คุณเคารพรัก หรือแม้แต่คนที่คิดร้ายต่อคุณ ดูจะให้ผลดีที่สุด เพราะในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โกรธ เกลียด จิตที่เป็นกุศลของคุณยามสวดมนต์ภาวนา จะนำมาซึ่งสิ่งดีงาม ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวงได้
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 135 มีนาคม 2555 โดย ประกายรุ้ง)