กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่อยู่ในระดับลิ้นปี่ ทำหน้าที่เป็นที่พักและย่อยอาหารให้แตกย่อยในเบื้องต้น จากนั้นจึงส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก เพื่อผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึม โดยทั่วไปถ้าเมื่อใดที่เรารู้สึกปวดท้อง เรามักจะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารก่อนเป็นอันดับต้นๆ ทั้งที่ความจริงแล้วอาจเป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคนิ่วในถุงน้ำดี (มีอาการเหมือนโรคกระเพาะอาหารทุกอย่าง) ตับอักเสบ เนื้องอกในตับ และตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น
ในที่นี้เราจะกล่าวถึงโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ความรุนแรงของอาการ
ผู้ป่วยอาจจะปวดท้องมากหรือน้อยตามอาการ ท้องอืด คลื่นไส้ กินอิ่มง่าย หากมีอาการรุนแรงจะมีเลือดออก และทำให้กระเพาะทะลุ ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่รุนแรงมาก
โดยทั่วไปพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 50-60 อาการจะค่อยๆ ทุเลาและหายไปเองโดยไม่ต้องรับการรักษา แต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกมีอัตราสูงถึงร้อยละ 80 แม้ว่าจะได้รับการรักษาดีเพียงใดก็ตาม และที่สำคัญคือ พบว่ามีอาการแทรกซ้อน ซึ่งหมายถึงมีเลือดออก ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเป็นสีดำเหลว (สาเหตุมาจากเลือดที่ออกในกระเพาะอาหาร ไปทำปฏิกริยากับกรดในกระเพาะอาหาร)
นอกจากนี้ หากแผลทะลุจะทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ ช็อค และอาจถึงแก่ชีวิต
การรักษา
จะทำโดยการผ่าตัด แผลที่หายจะเป็นพังผืด โดยเฉพาะลำไส้เล็กที่จะตีบ อุดตัน ทำให้มีอาการอาเจียน และปวดท้อง
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เคยมีเลือดออกจะมีโอกาสเกิดโรคซ้ำเพิ่มจากร้อยละ 20-25 เป็นร้อยละ 50 และจากสถิติพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 50 ของคนไข้ที่มีเลือดออกจะไม่แสดงอาการใดๆ แม้แต่ปวดท้อง ซึ่งเป็นความแปลกของโรคชนิดนี้
การดูแลตนเอง
การดูแลตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ สามารถทำได้ดังนี้
• ระยะที่ 1 ป้องกันการเกิดโรค
- ค้นหาสาเหตุ และสังเกตอาหารที่รับประทานว่า ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร
- ไม่รับประทานยาแก้ปวดโดยปราศจากแพทย์สั่ง และควรหลีกเลี่ยงสารเสพติด และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ รวมทั้งของหมักดอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด
- หากมีอาการของโรคติดเชื้อชนิดต่างๆ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย ไทฟอยด์ ไข้หวัดใหญ่ ควรรีบรักษาให้หายขาดโดยเร็ว
• ระยะที่ 2 รักษาตัวเมื่อมีอาการอักเสบ
- พบแพทย์สม่ำเสมอตามเวลานัด โดยทั่วไปแพทย์จะให้รับประทานยาน้ำหรือยาเม็ด โดยพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ โดยปกติผู้ป่วยที่มีอาการระยะรุนแรง แพทย์จะให้รับประทานยานํ้า เนื่องจากออกฤทธิ์เร็ว
- ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีรสชาติอ่อน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
• ระยะที่ 3 หลังจากได้รับการรักษา
- งดอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ อาหารรสจัด ร้อนจัด เย็นจัด ของหมักดอง รวมทั้งอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร
- ทำจิตใจสดชื่นแจ่มใส และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ดื่มน้ำมากๆ ป้องกันอาการท้องผูก และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก
โรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นเหมือนภัยเงียบที่คอยบั่นทอนสุขภาพ หากเราละเลยไม่ให้ความใส่ใจดูแลสังเกตอาการของตนเอง อาจทำให้ได้รับความรุนแรงของโรคและอาจถึงแก่ชีวิตได้
ดังนั้น เมื่อท่านมีอาการที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมา จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจโดยเร็ว เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานจะส่งผลให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
แผลในกระเพาะอาหาร สังเกตอาการง่ายๆ ดังนี้
1. จะปวดท้องเมื่อท้องว่าง ใกล้มื้ออาหารหรือหลังอาหาร แต่จะไม่ปวดตลอดเวลา เมื่อได้รับประทานอาหารจะทำให้อาการดีขึ้น ซึ่งแตกต่างจากอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ที่จะปวดท้องหลังอาหาร ไม่ปวดตอนท้องว่าง และจะปวดตลอดทั้งคืนติดต่อกัน
2. ปวดท้องเวลาดึก คลื่นไส้ อาเจียนออกมาเป็นอาหารที่แยกชนิดอย่างชัดเจน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร สาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)