xs
xsm
sm
md
lg

บทความพิเศษ : เวียนศีรษะ บ้านหมุน... ช่วยด้วย!!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาการเวียนศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อย เป็นความรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจริง ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนไป รู้สึกว่าตัวผู้ป่วยเองหมุนหรือไหวไป ทั้งๆที่ตัวผู้ป่วยเองอยู่เฉยๆ ความรู้สึกดังกล่าวเกิดจากความผิดพลาดในการรับข้อมูล หรือการเสียสมดุลของระบบประสาททรงตัวของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยตา ประสาทสัมผัสบริเวณข้อต่อ อวัยวะควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน และระบบประสาทส่วนกลางที่ฐานสมอง และตัวสมองเอง ทำงานเกี่ยวเนื่องกัน

ความผิดปกติดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยเข้าใจไปว่ามีการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ทั้งๆที่ความจริงไม่มี เนื่องจากอวัยวะการทรงตัวและอวัยวะการได้ยิน อยู่ใกล้ชิดสัมพันธ์กันจากหูไปสู่สมอง โรคของระบบทรงตัวจึงมักสัมพันธ์กับการเสียการได้ยิน หูอื้อ และมีเสียงดังรบกวนในหูได้ เมื่อเกิดอาการเวียนศีรษะ มักจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของลูกตา (ตากระตุก หรือ nystagmus) การเซ การล้ม อาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตกร่วมด้วยได้

สาเหตุของอาการเวียนศีรษะ

1. สาเหตุทางหู

• หูชั้นนอก


- อุดตัน จากขี้หู เนื้องอก หนอง หรือการอักเสบจากหูชั้นนอก หรือหูชั้นกลางอักเสบ กระดูกช่องหูหักจากอุบัติเหตุ

• หูชั้นกลาง

- เลือดคั่งในหูชั้นกลาง (hemotympanum)จากอุบัติเหตุ หรือการเปลี่ยนแปลงของความดันบรรยากาศ

- หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

- ท่อยูสเตเชี่ยน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างโพรงหลังจมูกและหูชั้นกลาง ทำงานผิดปกติหรือมีการอุดตันจากโรคจมูกอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง (โรคแพ้อากาศ หรือจมูกอักเสบภูมิแพ้) ไซนัสอักเสบ การดำน้ำ การขึ้น-ลงที่สูง ก้อนเนื้องอกที่โพรงหลังจมูก

- การทะลุของเยื่อที่ปิดช่องทางติดต่อ ระหว่างหูชั้นกลาง และหูชั้นใน (perilymphatic fistula) จากการไอ เบ่ง หรือจาม แรงๆ หรือเกิดจากหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังที่มีภาวะแทรกซ้อน

• หูชั้นใน

- การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) โดยเชื้ออาจลุกลามมาจากหูชั้นกลาง ที่อักเสบเฉียบพลัน หรือเยื่อหุ้มสมองที่อักเสบ หูชั้นกลางที่อักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก) และมีภาวะแทรกซ้อน หรือเกิดจากการติดเชื้อซิฟิลิสไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต

- การอักเสบของหูชั้นในจากสารพิษ (toxic labyrinthitis) ได้แก่ ยาที่มีพิษต่อระบบประสาททรงตัวในหูชั้นใน เช่น ยาต้านจุลชีพ กลุ่ม aminoglycoside, quinine, salicylate, sulfonamide, barbiturate

- การบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน ทำให้ มีเลือดออกในหูชั้นใน ฐานสมอง ก้านสมอง หรือสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว

- การได้รับแรงกระแทก เกิดการบาดเจ็บจากเสียงดัง เช่น ระเบิด ประทัด การยิงปืน หรือการผ่าตัดบริเวณหู

- โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคมีเนีย (Meniere’s disease)

- โรคก้อนหินปูนเคลื่อนที่ในหูชั้นใน (benign paroxysmal positional vertigoหรือBPPV) อาการเวียนศีรษะจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่ศีรษะหันไปทางใดทางหนึ่ง และมักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ (มักเป็นวินาที ไม่เกิน 1 นาที)

2. โรคของทางเดินประสาท และสมอง

- เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ (vestibular neuronitis)

- เนื้องอกของประสาททรงตัว (vestibular schwannoma)

- โรคของระบบประสาทกลาง

- ความผิดปกติของกระแสโลหิตที่ไปเลี้ยงระบบประสาทกลาง ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบประสาททรง ตัวไม่พอ อาจเกิดจากไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ (สารนิโคติน ทำให้เส้นเลือดตีบตัว) การดื่มกาแฟ ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม (สารคาเฟอีน ทำให้เส้นเลือดตีบตัว) เบาหวาน เลือดข้นผิดปกติ ซีด กระดูกคอเสื่อม หรือมีหินปูนบริเวณกระดูกคองอกไปกดหลอดเลือดขณะมีการหันศีรษะหรือแหงน เครียด หรือวิตกกังวล (ทำให้เส้นเลือดตีบตัวชั่วคราว)โรคหัวใจ (หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจขาดเลือด)

- การเสื่อมของระบบประสาทกลางที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว

- การติดเชื้อของระบบประสาท

3. สาเหตุอื่นๆ

เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease) โรคต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (hypothyroidism)โรคเลือด (มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดสูงผิดปกติ ซีด เลือดออกง่ายผิดปกติ)โรคหลอดเลือดแข็งและตีบจากโรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคกระดูกต้นคอเสื่อม โรคไต ระดับยูริกในเลือดสูง โรคความดันโลหิตต่ำ โรคภูมิแพ้

4. ไม่ทราบสาเหตุ

การวินิจฉัยสาเหตุของอาการเวียนศีรษะ อาศัยการซักประวัติ การตรวจร่างกายโดยเฉพาะ การตรวจทางหู คอ จมูก การตรวจตา การตรวจเส้นประสาทสมอง และระบบประสาทกลาง การวัดความดันโลหิต ท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน (เพื่อตรวจหาความดันเลือดต่ำขณะเปลี่ยนท่า) และการตรวจพิเศษ เช่น

- การเจาะเลือด เพื่อหาภาวะซีด เลือดข้น มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดมากผิดปกติ เบาหวาน ระดับไขมันในเลือดที่สูง ระดับยูริกในเลือดที่สูง การอักเสบของร่างกาย (ESR) ซึ่งอาจบ่งถึงโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไต การติดเชื้อซิฟิลิส หรือ เอดส์ การทำงานของต่อมธัยรอยด์ที่ผิดปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำเกินไป

- การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีโรคไตหรือไม่

- การตรวจการได้ยิน

- การตรวจหาความผิดปกติของหัวใจ (EKG)

- การตรวจคลื่นสมองระดับก้านสมอง (brainstem electrical response audiometry)โดยใช้เสียงกระตุ้นทางเดินประสาทที่ผ่านหู ตั้งแต่หูชั้นใน ประสาทสมองที่เกี่ยวกับการได้ยิน ไปสู่ก้านสมอง และผ่านไปกลีบสมอง วิธีนี้จะตรวจความผิดปกติของโรคในสมองส่วนกลางได้รวดเร็วและแม่นยำ

- การตรวจระบบประสาททรงตัวโดยเครื่องวัดการทรงตัว เพื่อแยกความผิดปกติของภาวะข้อเสื่อมจากโรคหูชั้นในและโรคของสมอง

- การถ่ายภาพรังสีกระดูกคอ

- การถ่ายภาพรังสี เช่นเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) หรือเอ็กซเรย์สนามแม่เหล็ก(MRI)

- การตรวจการไหลเวียนของกระแสโลหิต ผ่านเส้นเลือดใหญ่ไปสู่สมอง โดยใช้อัลตราซาวน์ ซึ่งจะบอกแรงดันเลือด ความเร็วของการไหล และความไม่สมดุลของการไหลเวียนของกระแสโลหิตได้

การรักษา

1. การรักษาตามอาการ


- ให้ยาที่กดการรับรู้ของประสาททรงตัว เพื่อให้หายจากอาการเวียนศีรษะ

- ให้ยาสงบ หรือระงับประสาท

- ให้ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- ให้ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงระบบประสาททรงตัว ซึ่งการให้ยาดังกล่าวนี้ เป็นการรักษาปลายเหตุ

- เมื่ออาการเวียนศีรษะน้อยลงแล้ว ควรให้เริ่มการบริหารระบบทรงตัว (head balance exercise)เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสมดุลของระบบประสาททรงตัวได้ การบริหารดังกล่าวเป็นการฝึกฝนการปรับวิสัยการทรง ตัวต่อตัวกระตุ้นสมมุติที่สร้างขึ้น จะสร้างนิสัย “เคยชิน” ต่อสภาวะนั้นๆ ให้เกิดขึ้นในอวัยวะทรงตัว เพื่อให้สามารถใช้การทรงตัวได้อย่างดีในสภาวะ ต่างๆ ได้แก่ การฝึกบริหารสายตา ฝึกกล้ามเนื้อ คอ แขนขา ฝึกการเคลื่อนไหวศีรษะและคอ รวมทั้งการเดิน และยืน

ถ้าผู้ป่วยหายเวียนศีรษะแล้ว ควรป้องกันไม่ให้มีอาการเวียนศีรษะอีก โดย

• หลีกเลี่ยงเสียงดัง

• ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคซีด โรคเลือด ควบคุมโรคให้ดี

• หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาททรงตัว เช่น aspirin, aminoglycoside, quinine

• หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู

• หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน

• ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการสูบบุหรี่

• พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงระบบประสาททรงตัว ลดความเครียด วิตกกังวล และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

2. การรักษาตามสาเหตุของโรค

3. การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องขณะเวียนศีรษะ


- เมื่อมีอาการเวียนศีรษะขณะเดิน ควรหยุดเดินและนั่งพัก เพราะการฝืนเดินขณะเวียนศีรษะอาจทำให้ผู้ป่วยล้ม และเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ถ้าอาการเวียนศีรษะเกิดขณะขับรถหรือขณะทำงาน ควรหยุดรถข้างทางหรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเวียนมากควรนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น พื้น ผู้ป่วยควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ถ้าอาการเวียนศีรษะน้อยลง ค่อยๆ ลุกขึ้น แต่อาจรู้สึกง่วงหรือเพลียได้ ถ้าง่วงแนะนำให้นอนหลับพักผ่อน หลังตื่นนอนอาการมักจะดีขึ้น

- ไม่ควรว่ายน้ำ ดำน้ำ ปีนป่ายที่สูง เดินบนสะพานไม้แผ่นเดียว หรือเชือกข้ามคูคลอง ขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ขณะมีอาการเวียนศีรษะเพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

- หลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน (ชา น้ำอัดลม กาแฟ) การสูบบุหรี่ ซึ่งจะลดเลือดที่ไปเลี้ยงระบบประสาททรงตัว

- พยายามอย่ารับประทานอาหาร หรือดื่มมากนัก จะได้มีโอกาสอาเจียนน้อยลง

- พยายามหลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ในระหว่างเกิดอาการ ได้แก่ การหมุนหันศีรษะไวๆ การเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถอย่างรวดเร็ว การก้ม เงยคอ หรือหันอย่างเต็มที่

- พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่นความเครียด ความวิตกกังวล การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สารก่อภูมิแพ้ (ถ้าแพ้) การเดินทางโดยทางเรือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

- รับประทานยาที่แพทย์ให้รับประทาน เวลาเวียนศีรษะ

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 123 กุมภาพันธ์ 2554 โดย ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)




กำลังโหลดความคิดเห็น