ชีวิตของคนคนหนึ่ง นอกจากผูกพันอยู่กับจิตวิญญานภายในของตัวเอง และบุคคลอันเป็นที่รัก ก็ยังรวมถึงธรรมชาติรอบๆตัวด้วย
ด้วยเหตุนี้หลายๆครั้งที่ผ่านมา ผลงานศิลปะของ “มนตรี สามฉิมโฉม” จึงใช้ภาพธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย รวมถึงผลงานชุดใหม่ที่พูดถึงความรัก เขากำลังทุ่มเทเวลาระหว่างนี้สร้างสรรค์ผลงาน เพื่อเปิดแสดงให้ผู้สนใจได้ชมในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ผมชอบธรรมชาติอยู่แล้ว และผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะชอบธรรมชาติ เพียงแต่ว่าในฐานะที่ผมทำงานศิลปะ ก็อยากจะเขียนในสิ่งที่ผมชอบ และเขียนในสิ่งที่ผมอยากเห็น ซึ่งแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็ได้มาจากธรรมชาติ ไม่ต่างจากศิลปินหลายๆคน”
ธรรมชาติที่เป็นแบบให้กับเขา บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปเสาะแสวงหาในที่ไกลๆ เพราะโดยรอบตัวเขา มีธรรมชาติให้อยู่ใกล้ชิดและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตลอดเวลา
“ผมเป็นคนติดบ้าน ชอบอยู่บ้าน เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆรอบตัวผมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ในสวนและสัตว์เลี้ยง บางทีผมก็ได้แง่มุมเล็กๆน้อยๆมาใช้ในการเขียนภาพ อย่างดอกไม้ที่ผมซื้อมาปลูกเอง ปรากฏว่าวันดีคืนดีมันโตขึ้น และองค์ประกอบของมันก็ลงตัว ผมก็แค่จับมาดัดแปลงนิดหน่อยแล้วใช้เป็นแบบสำหรับภาพวาด”
ภาพวาดของมนตรีทุกภาพสะท้อนให้ผู้ชมเห็นว่าศิลปินผู้วาดขึ้นมา คิดและรู้สึกในเรื่องที่ดีๆ ซึ่งตรงกับการใช้ชีวิตของเขาที่ยึดหลัก “คิดและทำในสิ่งที่ดี” ขณะที่บางเวลาเขาก็ใช้ภาพวาดสะท้อนถึงความไม่จีรังของสิ่งต่างๆ
ในฐานะผู้ที่หยิบเรื่องราวของธรรมชาติมาถ่ายทอดผ่านผลงาน การได้รับทราบถึงวิกฤติที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติในด้านต่างๆ สร้างความสะเทือนใจให้แก่เขาอยู่ไม่น้อย และเขาได้เตรียมใจยอมรับความจริงที่ต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
“ผมทำใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว เพราะต่อให้เราคิดค้นวิธีการแก้ไขรักษาอย่างไร ผมว่ามันคงสายไปแล้ว เราต้องได้รับผลของการกระทำ เพียงแต่จะทำใจกับมันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง เพราะวงล้อของการทำลายล้างที่ผ่านมา มันเริ่มทำงานแล้ว ผมจึงคิดว่าคนที่ทำใจได้ก่อนก็น่าจะสงบกว่าเพื่อน
ทุกวันนี้ผมพยายามที่จะผลิตขยะให้น้อยที่สุด และส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ใช้รถยนต์ ผมจึงน่าจะเป็นคนที่ปล่อยก๊าซพิษน้อยที่สุดในหมู่บ้าน บ้านผมเป็นทาวน์เฮ้าส์ พื้นที่ก็ใหญ่พอสมควร แต่ผมเป็นคนทำงานศิลปะ มีอุปกรณ์เยอะ ก็เลยทำให้บ้านดูคับแคบไปมาก แต่ไม่ว่าจะคับแคบอย่างไร ผมก็ต้องมีพื้นที่ไว้สำหรับปลูกต้นไม้”
เพราะบ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทั้งห้องทำงานที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ และเป็นสถานที่ก่อเกิดแรงบันดาลใจอันมากมายของศิลปินผู้นี้ด้วย
“ผมเป็นคนที่อยู่บ้านแล้วมักจะทำอะไรได้มากกว่าอยู่ข้างนอก ถ้าต้องออกไปข้างนอก สถานที่ที่ผมชอบมากที่สุดก็คือมิวเซียมกับสวนสาธารณะ”
ดังนั้น ขอเพียงได้มีเวลาใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆและใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็ทำให้ทุกวันของเขาเป็นวันแห่งความสุข โดยที่ไม่ต้องรอให้เทศกาลแห่งความสุขเวียนมาถึง
“ผมไม่เคยเชื่อว่าเทศกาลจะให้ความสุขกับผมได้นักหนา ขอเพียงผมได้อยู่ได้เจอกับคนที่ผมรัก คนที่ผมนับถือ ได้ทำงานที่ผมชอบ มันก็ถือเป็นวาระแห่งความสุขได้ตลอด
ปีใหม่ทุกปีมักจะทำให้ผมรู้สึกว่าโลกมันหมุนเร็วขึ้น หรือว่าผมเกียจคร้านไปหรือเปล่าไม่รู้ มักจะรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ปีใหม่ปีนี้ผมคงจะอยู่บ้านทบทวนตัวเอง อาจจะไปซื้อหนังสืออ่าน กินข้าวกับครอบครัวและสุนัขอีกสองตัว และอาจจะไปเที่ยวเชียงรายหลังจากปีใหม่นี้”
นอกจากภาพวาดสวยๆแล้ว มนตรียังได้ฝากคำพูดมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแฟนผลงานด้วยว่า
“ผมคิดว่าปีใหม่ทั้งที อยากให้ทุกคนได้ทบทวนตัวเอง แล้วก็เริ่มดูในสิ่งที่ดี ฟังในสิ่งที่ดีและอ่านในสิ่งที่ดีซะบ้าง เพราะว่าที่ผ่านๆมาทั้งปี เราเจออะไรกันก็ไม่รู้ เราควรจะเริ่มหันมาดู ฟัง และอ่าน ในสิ่งที่ดี ยิ่งถ้าหากว่าสามสิ่งนี้มันให้แรงบันดาลใจที่ดีด้วย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 110 มกราคม 2553 โดยฮักก้า)