เมื่อเรากราบไหว้พระพุทธรูป ควรจะกราบไหว้อย่างไร ควรจะทำใจอย่างไร เดี๋ยวนี้พระพุทธรูปกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปในรูปหนึ่ง คนเข้าไปกราบไหว้โดยเอา การวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนประสงค์ อยากจะบอกญาติโยมว่า ผิดหลักการของพระ- พุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่สอนให้ไปวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว..
เราเข้าไปกราบพระพุทธรูปก็ต้องไปกราบเพื่อเอาภาพ นั้นเป็นสิ่งจูงใจ ให้นึกไปถึงจริยาวัตรอันดีอันงามของพระองค์ ให้นึกถึงพระคุณที่มีอยู่ในพระองค์ว่ามีอะไรบ้าง เช่น เรานึกถึงพระคุณเก้าประการ ที่เราสวดมนต์แปลว่า “อิติปิโสภควา” แม้เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาค เจ้าพระองค์นั้น “อรหัง” เป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง..หรือว่านึกย่อๆ สั้นๆ เอาเพียงสามเรื่องก็ได้ ก็คือพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ
หรือถ้าเราเคยอ่านพุทธประวัติ เราก็นั่งนึกทบทวนประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดความรักความเคารพต่อพระองค์ เราเห็นความดีเราก็รักมากขึ้นเคารพมากขึ้น ถ้าไหว้เฉยๆ ไม่มีอะไรเท่าใด นอกจากว่าทำใจให้หยุดได้ชั่วขณะหนึ่ง จึงควรนึกว่าพระองค์ดีอย่าง ไร แล้วเราก็ควรอธิษฐานใจว่า เราจะสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นไว้ในใจของเรา คือเอาพระคุณของท่านมาใส่ไว้ในใจของเรา
เช่นพระพุทธเจ้าท่านมีความกรุณาต่อชาวโลก เราก็ทำใจให้มีความกรุณา หัดสงสารเอ็นดูเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้นึกอยู่ในใจว่า เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ไม่คิดจะทำใครให้เป็นทุกข์เดือดร้อน เรามีใจอิ่มเอิบไปด้วยความเมตตา กรุณา เห็นใครเราก็นึกแผ่เมตตาขอให้เป็นสุข ขอให้มีความเจริญ ขอให้มีความก้าวหน้า ถ้าใครเจริญเราก็พลอยยินดี เราไม่ริษยาใคร ไม่เบียดเบียนใคร อย่างนี้เรียกว่า เราสร้างพระขึ้นไว้ในใจ มีพระเมตตา มีพระกรุณาประจำจิตใจ
จะไปไหนเราก็นิมนต์พระกรุณาใส่ใจไป เช่น ออกจากบ้านก็บอกตัวเองว่า เราจะไปด้วยน้ำใจกรุณา ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย มีโอกาสใดมีอะไรที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตของข้าพเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแก่มนุษย์ทั้งหลายได้บ้าง นึกถึงอย่างนั้นแล้ว คอยหาช่อง ทางโอกาสที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์
แม้ใครจะทำอะไรให้แก่เราในทางร้าย เรายิ้มรับด้วยหน้าชื่นตาบาน ไม่โกรธ แต่สงสารว่า แหมทำไมจึงปล่อยจิตปล่อยใจให้ตกต่ำอย่างนั้น ทำไมจึงให้กิเลสครอบงำอย่างนั้น ทำอย่างไรหนอจึงจะช่วยยกจิตใจคนนั้นให้มันสูงขึ้นสักหน่อย คิดไปในรูปอย่างนั้น ไม่โกรธไม่เคืองใคร ไม่ก่อความร้าวฉานให้เกิดขึ้นแก่ใครๆ นี่เรียกว่าเรามีพระ เราไปกับพระ จะทำอะไรก็ต้องทำอย่างคนมีพระ จะต้องคิดว่าสิ่งที่เราจะทำนี้จะเกิดอะไรบ้าง กระทบกระเทือนใครบ้าง ใครจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของเราบ้าง เราไม่ได้อยู่เพื่อให้ใครเดือดร้อน คิดไว้ในใจอย่างนี้ตลอดเวลา อย่างนี้ก็เรียกว่าเรามีพระอยู่ตลอดเวลา พระกรุณาฝังแน่นอยู่ในจิตใจ
เรามีพระไว้ในบ้าน ญาติโยมเข้าใจว่ามีพระไว้คุ้มครองบ้านเรือน ถ้าเพียงแต่มีพระไว้เฉยๆ คุ้มครองไม่ได้ ให้มีพระเชียงแสน พระอู่ทอง พระสุโขทัย สามองค์ก็คุ้มครองไม่ได้ ถ้าสมมติว่าเจ้าของบ้านมีพระเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง แต่เปิดบ่อนการพนันทุกๆ วันแล้วจะเจริญ ได้อย่างไร จะก้าวหน้าไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
เรามีสักองค์หนึ่งก็พอแล้ว มีไว้ในบ้านสำหรับสักการบูชา เวลากลุ้มใจก็เข้าห้องพระ ทำจิตใจให้สงบ ภาวนาระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง แล้วเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า อะไรมันกำลังอยู่ในใจเรา เพลิงกิเลสเพลิงทุกข์กำลังเผาใจอยู่ เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทำไมเพลิงเผา ก็เราไม่เข้าหาพระพุทธเจ้า เพลิงมันก็เผาเอาล่ะซิ
เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้านั้นคืออะไร คือคุณธรรม คือความกรุณา ปัญญา ความบริสุทธิ์ เราต้องทำใจให้บริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ก็เรียกว่า เรามีพระ ใจจะบริสุทธิ์มันก็ต้องมีปัญญา ไม่มีปัญญาก็บริสุทธิ์ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ” คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา
ปัญญานั้นก็คือเอามาคิดนึกตรึกตรอง แยกแยะวิเคราะห์วิจัยในเรื่องความทุกข์ของเรา ว่าทุกข์เรื่องอะไร ทำไมจึงต้องกลุ้มใจ ความกลุ้มมันเกิดขึ้นเพราะอะไร วางได้ไหม ปลงได้ไหม ความกลุ้มมันก็เหมือนวัตถุ เราถือของหนักเมื่อยแขนเราก็วางได้ ความกลุ้มมันก็วางได้เหมือนกัน แต่เราไม่วาง กลับยึดไว้มั่นคงทีเดียว นี่มันถูกหรือผิด มันผิด เป็นความโง่หรือความฉลาด ท่านว่ามันโง่ถ้าทำอย่างนี้ แล้วทำไมไม่เป็นคนฉลาดบ้าง ทำไมไม่ปล่อยไม่วางบ้าง ปล่อยไม่ลงเพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหมือนกับเราไปขยำของสกปรกแล้วก็นั่งบ่นอยู่ว่า เหม็นจริงๆ น้ำก็มีสบู่ก็มีแต่ไม่ล้าง เราไปล้างเสียมันก็หมดเรื่อง ของที่มาเกาะอยู่ในใจเราก็วางมันเสีย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปล่อยให้วาง...
หรือว่าคนเราเคยเป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจวาสนา เช่นว่าเป็นอะไรต่ออะไร ทีหลังไม่ได้เป็น ถ้าไปนั่งคิดกลุ้มใจมันก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใหญ่จริง คนใหญ่จริงไม่ทุกข์ ใหญ่จริงต้องใหญ่แบบพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์อะไร ใหญ่ไม่จริงก็กลุ้มใจ นั่งเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆ
แต่ถ้าเราคิดถึงหลักธรรมะเราจะไม่กลุ้ม คนเราไม่ได้ใหญ่ตลอดเวลา เมื่อก่อนเราเป็นเด็กแล้วเราก็โตขึ้นๆ เป็นผู้ใหญ่ เวลานี้เรากำลังจะเล็กลงไปอีกแล้ว กำลังแก่ ไปยืนที่หน้ากระจกแล้วมองดูผมกำลังหงอก ผิวหนังก็เริ่มย่นยู่ ตาก็ชักไม่ค่อยดี หูก็ชักตึงๆ อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ร่างกายเราก็ยังเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งหน้าที่การงานก็เปลี่ยนแปลง ความใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้านึกได้อย่างนั้นมันก็สบายใจ เราต้องคิดในแง่ว่าสิ่งทั้งหลายมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรมั่นคงถาวร พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนั้น เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงคำสอนเอามาเป็นหลักปฏิบัติ คิดให้มันสบายใจอย่าไปคิดให้ร้อนอกร้อนใจ ขณะใดเราคิดแล้วร้อนใจเรียกว่า เราโง่ไป เราหลงไปแล้ว เราลืมพระพุทธเจ้าเสียแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คิดไม่ ให้ร้อนใจ แต่ให้เบาใจโปร่งใจ เรียกว่าทำจิตให้ว่าง รู้จักปล่อยรู้จักวางอย่างนี้ใจก็สบาย
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 105 สิงหาคม 2552 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี)
เราเข้าไปกราบพระพุทธรูปก็ต้องไปกราบเพื่อเอาภาพ นั้นเป็นสิ่งจูงใจ ให้นึกไปถึงจริยาวัตรอันดีอันงามของพระองค์ ให้นึกถึงพระคุณที่มีอยู่ในพระองค์ว่ามีอะไรบ้าง เช่น เรานึกถึงพระคุณเก้าประการ ที่เราสวดมนต์แปลว่า “อิติปิโสภควา” แม้เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาค เจ้าพระองค์นั้น “อรหัง” เป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง..หรือว่านึกย่อๆ สั้นๆ เอาเพียงสามเรื่องก็ได้ ก็คือพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ
หรือถ้าเราเคยอ่านพุทธประวัติ เราก็นั่งนึกทบทวนประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดความรักความเคารพต่อพระองค์ เราเห็นความดีเราก็รักมากขึ้นเคารพมากขึ้น ถ้าไหว้เฉยๆ ไม่มีอะไรเท่าใด นอกจากว่าทำใจให้หยุดได้ชั่วขณะหนึ่ง จึงควรนึกว่าพระองค์ดีอย่าง ไร แล้วเราก็ควรอธิษฐานใจว่า เราจะสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นไว้ในใจของเรา คือเอาพระคุณของท่านมาใส่ไว้ในใจของเรา
เช่นพระพุทธเจ้าท่านมีความกรุณาต่อชาวโลก เราก็ทำใจให้มีความกรุณา หัดสงสารเอ็นดูเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้นึกอยู่ในใจว่า เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ไม่คิดจะทำใครให้เป็นทุกข์เดือดร้อน เรามีใจอิ่มเอิบไปด้วยความเมตตา กรุณา เห็นใครเราก็นึกแผ่เมตตาขอให้เป็นสุข ขอให้มีความเจริญ ขอให้มีความก้าวหน้า ถ้าใครเจริญเราก็พลอยยินดี เราไม่ริษยาใคร ไม่เบียดเบียนใคร อย่างนี้เรียกว่า เราสร้างพระขึ้นไว้ในใจ มีพระเมตตา มีพระกรุณาประจำจิตใจ
จะไปไหนเราก็นิมนต์พระกรุณาใส่ใจไป เช่น ออกจากบ้านก็บอกตัวเองว่า เราจะไปด้วยน้ำใจกรุณา ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย มีโอกาสใดมีอะไรที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตของข้าพเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแก่มนุษย์ทั้งหลายได้บ้าง นึกถึงอย่างนั้นแล้ว คอยหาช่อง ทางโอกาสที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์
แม้ใครจะทำอะไรให้แก่เราในทางร้าย เรายิ้มรับด้วยหน้าชื่นตาบาน ไม่โกรธ แต่สงสารว่า แหมทำไมจึงปล่อยจิตปล่อยใจให้ตกต่ำอย่างนั้น ทำไมจึงให้กิเลสครอบงำอย่างนั้น ทำอย่างไรหนอจึงจะช่วยยกจิตใจคนนั้นให้มันสูงขึ้นสักหน่อย คิดไปในรูปอย่างนั้น ไม่โกรธไม่เคืองใคร ไม่ก่อความร้าวฉานให้เกิดขึ้นแก่ใครๆ นี่เรียกว่าเรามีพระ เราไปกับพระ จะทำอะไรก็ต้องทำอย่างคนมีพระ จะต้องคิดว่าสิ่งที่เราจะทำนี้จะเกิดอะไรบ้าง กระทบกระเทือนใครบ้าง ใครจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของเราบ้าง เราไม่ได้อยู่เพื่อให้ใครเดือดร้อน คิดไว้ในใจอย่างนี้ตลอดเวลา อย่างนี้ก็เรียกว่าเรามีพระอยู่ตลอดเวลา พระกรุณาฝังแน่นอยู่ในจิตใจ
เรามีพระไว้ในบ้าน ญาติโยมเข้าใจว่ามีพระไว้คุ้มครองบ้านเรือน ถ้าเพียงแต่มีพระไว้เฉยๆ คุ้มครองไม่ได้ ให้มีพระเชียงแสน พระอู่ทอง พระสุโขทัย สามองค์ก็คุ้มครองไม่ได้ ถ้าสมมติว่าเจ้าของบ้านมีพระเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง แต่เปิดบ่อนการพนันทุกๆ วันแล้วจะเจริญ ได้อย่างไร จะก้าวหน้าไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
เรามีสักองค์หนึ่งก็พอแล้ว มีไว้ในบ้านสำหรับสักการบูชา เวลากลุ้มใจก็เข้าห้องพระ ทำจิตใจให้สงบ ภาวนาระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง แล้วเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า อะไรมันกำลังอยู่ในใจเรา เพลิงกิเลสเพลิงทุกข์กำลังเผาใจอยู่ เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทำไมเพลิงเผา ก็เราไม่เข้าหาพระพุทธเจ้า เพลิงมันก็เผาเอาล่ะซิ
เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้านั้นคืออะไร คือคุณธรรม คือความกรุณา ปัญญา ความบริสุทธิ์ เราต้องทำใจให้บริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ก็เรียกว่า เรามีพระ ใจจะบริสุทธิ์มันก็ต้องมีปัญญา ไม่มีปัญญาก็บริสุทธิ์ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ” คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา
ปัญญานั้นก็คือเอามาคิดนึกตรึกตรอง แยกแยะวิเคราะห์วิจัยในเรื่องความทุกข์ของเรา ว่าทุกข์เรื่องอะไร ทำไมจึงต้องกลุ้มใจ ความกลุ้มมันเกิดขึ้นเพราะอะไร วางได้ไหม ปลงได้ไหม ความกลุ้มมันก็เหมือนวัตถุ เราถือของหนักเมื่อยแขนเราก็วางได้ ความกลุ้มมันก็วางได้เหมือนกัน แต่เราไม่วาง กลับยึดไว้มั่นคงทีเดียว นี่มันถูกหรือผิด มันผิด เป็นความโง่หรือความฉลาด ท่านว่ามันโง่ถ้าทำอย่างนี้ แล้วทำไมไม่เป็นคนฉลาดบ้าง ทำไมไม่ปล่อยไม่วางบ้าง ปล่อยไม่ลงเพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหมือนกับเราไปขยำของสกปรกแล้วก็นั่งบ่นอยู่ว่า เหม็นจริงๆ น้ำก็มีสบู่ก็มีแต่ไม่ล้าง เราไปล้างเสียมันก็หมดเรื่อง ของที่มาเกาะอยู่ในใจเราก็วางมันเสีย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปล่อยให้วาง...
หรือว่าคนเราเคยเป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจวาสนา เช่นว่าเป็นอะไรต่ออะไร ทีหลังไม่ได้เป็น ถ้าไปนั่งคิดกลุ้มใจมันก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใหญ่จริง คนใหญ่จริงไม่ทุกข์ ใหญ่จริงต้องใหญ่แบบพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์อะไร ใหญ่ไม่จริงก็กลุ้มใจ นั่งเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆ
แต่ถ้าเราคิดถึงหลักธรรมะเราจะไม่กลุ้ม คนเราไม่ได้ใหญ่ตลอดเวลา เมื่อก่อนเราเป็นเด็กแล้วเราก็โตขึ้นๆ เป็นผู้ใหญ่ เวลานี้เรากำลังจะเล็กลงไปอีกแล้ว กำลังแก่ ไปยืนที่หน้ากระจกแล้วมองดูผมกำลังหงอก ผิวหนังก็เริ่มย่นยู่ ตาก็ชักไม่ค่อยดี หูก็ชักตึงๆ อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ร่างกายเราก็ยังเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งหน้าที่การงานก็เปลี่ยนแปลง ความใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้านึกได้อย่างนั้นมันก็สบายใจ เราต้องคิดในแง่ว่าสิ่งทั้งหลายมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรมั่นคงถาวร พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนั้น เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงคำสอนเอามาเป็นหลักปฏิบัติ คิดให้มันสบายใจอย่าไปคิดให้ร้อนอกร้อนใจ ขณะใดเราคิดแล้วร้อนใจเรียกว่า เราโง่ไป เราหลงไปแล้ว เราลืมพระพุทธเจ้าเสียแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คิดไม่ ให้ร้อนใจ แต่ให้เบาใจโปร่งใจ เรียกว่าทำจิตให้ว่าง รู้จักปล่อยรู้จักวางอย่างนี้ใจก็สบาย
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 105 สิงหาคม 2552 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี)