xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ต้องรู้จักว่าสุขไม่ใช่องค์สมมติที่แท้จริง
แต่เป็นอารมณ์หนึ่งเข้ามาประกอบสมมติเท่านั้น
แต่ตัวสมมติที่แท้จริงคือตัวทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ ต้องหาวิธีละ คือละความพึงพอใจ


ปุจฉา
สุขอย่างไร ไร้เวรกรรม

ทำไมเกิดมาชาตินี้จึงมีความทุกข์มากกว่าความสุข ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ผิดศีล จะทำอย่างไรให้ตนเองมีความสุข ไม่มีเวรโดยวิธีการง่ายๆ ไม่เครียด เพราะตนเองเป็นคนที่เครียดง่ายมากเจ้าค่ะ

วิสัชนา

หลวงปู่อยากจะพูดเรื่องความสุขไม่มีตัวตน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลวงปู่เขียนเรื่อง รู้จัก สมมติ ได้ประโยชน์จากสมมติ ให้ประโยชน์จากสมมติ รับประโยชน์จากสมมติ แม้ที่สุด อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ

บทโศลกของหลวงปู่ 1,800 บท แต่ละบทนี่เป็นปริศนาธรรม ถ้าเราไปคิด วิเคราะห์ ปฏิบัติ สมาธิ แล้วตรึกอยู่ในองค์บทโศลกนะ มันเป็นประตูแห่งธรรม แต่ละขั้นๆ ในเรื่องของสมมติก็เป็นบทโศลกที่เป็นปริศนาธรรมที่พาเราก้าวล่วงสมมติไป

ทีนี้อะไรเป็นสมมติ ความทุกข์เป็นสมมติ ความสุขก็เป็นสมมติ ความสุขไม่มีนะลูก มันขึ้นกับความพึงพอใจจึึงจะสุข ใช่หรือเปล่า แต่ความทุกข์มีตัวตน ปวดอะไร ปวดขากู ง่วง กูง่วง ยังเป็นสมมติที่เป็นตัวตนอยู่ แต่ความสุขไม่มีตัวตนนะ ความสุขเป็นแค่เพียงอารมณ์แห่งความพึงพอใจ เพราะงั้นคำว่า รู้จักสมมติ ก็ต้องรู้จักว่าสุขไม่ใช่องค์สมมติที่แท้จริง แต่เป็นอารมณ์หนึ่งเข้ามาประกอบ สมมติเท่านั้น

แต่ตัวสมมุติที่แท้จริงคืออะไร ตัวทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ ต้องหาวิธีละ คือความพึงพอใจ เพราะงั้นนี่น้องหนูบอกว่าทำไมสุขน้อย ทุกข์มาก ที่จริงแล้วหนูพึงพอใจต่อโลกใบนี้น้อย พูดชัดๆ ถ้าหนู พึงพอใจต่อโลก ใบนี้มาก หนูสุขมาก ความทุกข์ มีน้อยลงไหม ไม่ได้น้อยลง เพราะเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มันทุกข์จำเจซ้ำซาก อยู่แล้ว แต่ความสุขที่มีเป็นอารมณ์หนึ่งเท่านั้น

สรุปคือ ที่เราสุขก็เพราะเราพึงพอใจต่อโลกใบนี้ สิ่งของนี้ คนคนนี้ วัตถุชิ้นนี้ อารมณ์อย่างนี้ เราจึงสุข แต่เมื่อใดที่เราไม่พึงพอใจ แม้ได้สิ่งนั้นมาก็ไม่สุข เพราะงั้นเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าอะไรคือสมมติ เรื่องการวิเคราะห์สมมตินี่อย่าไปเชื่อคนอื่นเท่ากับความเชื่อตัวเอง ในการพิจารณาใคร่ครวญด้วยสัมมาทิฐิ

หลวงปู่เขียนบทโศลกนี่เห็นอ่านเล่นจนเปรอะไปหมด ที่จริงแล้วมันเป็นประตูวิญญาณนะลูก ประตูในการพัฒนาวิญญาณ น้องหนูลองกลับไปอ่านบทโศลกแต่ละข้อๆ แล้วใช้เวลาขบคิด ใช้สมาธิ พลัง จิต ใช้ปัญญา วิเคราะห์มัน แล้วน้องหนูจะรู้ว่ามันจะพาหนูก้าวล่วงประตูแห่งวิญญาณไปสูงขึ้นๆๆ พัฒนาการของชีวิตจะมีมากขึ้น ที่จริงหลวงปู่เคยคิดจะเผาคัมภีร์ 12 ราศี ที่เขียนรวมบทโศลกทิ้งทั้งหมด เพราะยิ่งสอนไปก็ยิ่งโง่มากขึ้น ไม่ใช่ตัวเราโง่นะ ไอ้คนรับคำสอนมันจะโง่ขึ้น มันลืมไปหมด พื้นฐานมัน มาจากเรื่องตรงนั้นนะลูกพื้นฐาน มันมาจากการรับรู้ การวิเคราะห์ การใคร่ครวญพิจารณา และแยกแยะให้ถูกต้อง...

สรุปรวมๆ คำถามนี้ก็คือว่า ความสุขเป็นอารมณ์หนึ่งที่เกิดจากความพึงพอใจ แต่ความทุกข์มันเป็นตัวตนแห่งสมมติที่แท้จริงมีอยู่ แต่เป็นสมมติ สมมติว่าตัวเรา สมมติว่าขาเรา สมมติว่าเราเจ็บ สมมติว่าเราป่วย สมมติว่าเราแก่ สมมติว่าเราตาย แล้วองค์ประกอบของสมมติคือเหตุปัจจัย ก็ย้อนหลังกลับไปว่าอะไรบ้าง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุปัจจัยแห่ง สมมติ

ทีนี้ มันก็จะมาถึงคำว่าอริยสมาธิหรือวิมุตติสมาธิ ขั้นแห่งวิมุตติสมาธิเรียกว่า อรูปฌาน คือ มองทุกอย่างให้ว่าง มันก็ดับอวิชชาระดับหนึ่ง มองว่า ทุกอย่างเป็นบุคคล ตัวตน เราเขา ทุกอย่างเป็นสมมติ ด้วยเหตุปัจจัยว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็ดับอวิชชา ดับตัณหา ดับอุปาทาน ได้อีกระดับหนึ่ง

เรามองทุกอย่างด้วยเหตุปัจจัยว่าทุกอย่างสูญ เหตุปัจจัยทั้งหลาย แม้ธรรม กุศล อกุศลก็สูญว่างเปล่า ตัวเราก็สูญว่างเปล่า นั่นคือนิพพานดับแล้วเย็น นั่นคือโลกุตตรสมาธิ เรื่องนี้ที่จริงถ้าจะสอนมันสนุก มันนำพาไปสู่ประตูแห่งวิญญาณที่โลดแล่น แล้วก็มีประสบการณ์และขั้นตอนอย่างเหมาะสม

หากเราเข้าใจหลักความจริงว่า สรรพสิ่งรอบกาย ล้วนเกี่ยวเนื่องต่อกรรมที่เราทำทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบัน เราก็จะไม่ทำกรรมใดๆ ที่เป็นเครื่องผูกเราให้ข้องอยู่กับอะไรอีก ต่อไป เช่นนี้แหละ เรียกว่าหมดเวร หมดกรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น