เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่ายหลายหมื่นมีมากได้้
เพื่อนตายถ่ายแทนชี-วาอาตม์์
หายากฝากผีไข้้ยากแท้้จักหา
นั่นเป็นโคลงสี่สุภาพ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร เนื้อหาสาระต้องการที่จะสื่อสารผ่านบทกลอน ว่า “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” เพื่อนประเภทหลังนั้นจะมาปรากฏตัวให้เราเห็นเสมอๆ เมื่อเราเจอหรือประสบกับความลำบาก ต่างจากเพื่อนประเภทแรก คือ พวกใช้ปากเป็นอาวุธ คือ กิน กิน กิน โกหกพกลม และยกยอปอปั้น ครั้นพอเราเกิดปัญหา เพื่อนประเภทที่ว่านี้ก็จะหายหัว หายตัวเข้ากลีบเมฆอย่างไร้ ร่องรอย
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนิยายขายดี+เขียนดีของ E.B. WHITE (นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ) ซึ่งได้รับการ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2495 และขายได้มากถึง 45 ล้านเล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 23 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยของเราด้วย ได้รับรางวัลนิวเบอร์รี่และนิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นหนังสือเด็กที่ดีที่สุดในรอบศตวรรษ เพราะยังไม่มีหนังสือเล่มไหนเขียนได้สนุก อ่านแล้วสุขใจ แถมได้ปัญญา เท่ากับ “ชาร์ล็อตต์ : แมงมุมเพื่อนรัก” เล่มนี้
สำหรับท่านที่เคยอ่าน แต่ยังไม่เคยดม เอ๊ย ชม ก็ตามผมมา...จะพาไปดู
เรื่องมีอยู่ว่า...วิลเบอร์ เป็นลูกหมูที่เกิดมาตัวเล็กแกร็น และไม่แข็งแรงเท่าพี่ๆ น้องๆ ภายในคอกเดียวกัน เจ้าของฟาร์มจึงคิดจะเอาไปทำเป็นหมูหัน นั่นคือ ฆ่าทิ้งเสีย เพราะเลี้ยงไปก็เปลืองข้าวเปลืองรำเปล่าๆ...แต่ลูกสาวได้ เข้ามาขัดขวาง ไม่ให้พ่อต้องทำผิดศีลข้อที่ 1 โดยการพูด ว่า “ปาณาติปาตา” เอ๊ยไม่ใช่ ..เธอพูดว่า “ไม่ยุติธรรม และไม่ใช่ความผิดของมันนี่คะที่เกิดมาตัวเล็ก แล้วถ้าหนูเกิดมาตัวเล็ก พ่อก็จะฆ่าหนูรึเปล่า?” เล่นเอาพ่อกับแม่ถึงกับอึ้งกิมกี่...และนั่นเป็นการรอดชีวิตครั้งที่ 1 ของวิลเบอร์
เมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไป เพราะยังไงๆ หมูก็ถูกเลี้ยงเอาไว้ฆ่าเป็นอาหารอยู่ดี บรรดา สสว. (สัตว์สูงวัย ในฟาร์ม) ต่างก็ยืนยันกันเป็นเสียงเดียวว่า “ไม่เคยมีหมูฤดูใบไม้ผลิตัวไหน ได้เห็นหิมะในวันคริสต์มาสสักตัวเดียว” เล่นเอาวิลเบอร์เสียววาบไปทั้งตัวและหัวใจ
แต่โชคดีที่วิลเบอร์มี เพื่อนแท้-เพื่อนดี หรือที่เรียกว่า “กัลยาณมิตร” ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ มิตรอุปการะ, มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข, มิตรแนะนำประโยชน์ และสุดท้าย มิตรมีน้ำใจ ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้รวมอยู่ในแมงมุมตัวเดียว ที่ชื่อว่า “ชาร์ล็อตต์”
หลายคนทำหน้างงๆ สัยว่า แมงมุมขยุ้มหลังปลา เอ๊ย หลังคาเนี่ยนะ จะมาช่วยชีวิตเจ้าหมูวิลเบอร์...มันจะเวอร์ไปหน่อยหรือเปล่า...อ้าว! ของอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขนาดหรือ size ของตัว แต่มันขึ้นอยู่ที่หัวสมอง (ปัญญา) + หัวใจ (size XL)
คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินพุทธภาษิตที่ว่า
“นตฺถิ ปัญญาสมา อาภา - แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี”
“ปญฺญา ว ธเนน เสยฺโย - ปัญญาแลประเสริฐกว่าทรัพย์”
“ปญฺญา เจนํ ปสาสติ - ปัญญาเป็นเครื่องปกครองตัว”
และปัญญาของชาร์ล็อตต์ ก็แสดงออกมาทั้งทางคำพูดและการกระทำตลอดทั้งเรื่อง ยกตัวอย่างพอเป็น กระสาย เช่น “เราอาจมีดีในบางเรื่อง แล้วก็ไม่ดีในบางเรื่องได้เหมือนกัน” เป็นตอนที่ชาร์ล็อตต์บอกวิลเบอร์ว่า แม้เธอจะทอใยได้เก่งและสวย แต่แมงมุมอย่างเธอ (รวมถึงแมงมุมทุกตัว) ล้วนมีสายตาสั้นมาก เป็นการสอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี
หรือเมื่อวิลเบอร์รู้สึกไม่ดีที่เห็นชาร์ล็อตต์ดักจับและกินแมลง เธอก็แสดงภูมิปัญญาให้เห็นว่า “ฉันไม่รู้ว่า ใครเป็นแมงมุมตัวแรกที่คิดวิธีชักใยอันน่าอัศจรรย์อย่างนี้ขึ้นมา แต่ก็คิดค้นขึ้นมาแล้วและเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมาก พวกเราทุกตัวก็ยึดถือปฏิบัติตามกันมา” และเมื่อวิลเบอร์ บอกว่า “น่ากลัวจัง” ชาร์ล็อตต์ก็ตอบว่า “เธอไม่มีสิทธิ์ จะว่า... เธอมีคนเอาอาหารมาให้ในรางทุกวัน...ไม่มีใครเลี้ยงฉัน ฉันก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้...ไม่คิดหรือว่า ถ้าฉันไม่คอยจับแมลงพวกนี้ มันอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วทำลายโลกจนไม่มีอะไรเหลือหรอ” นอกจากจะตอบ ปัญหาแล้ว ยังสอนเรื่องระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารไปในตัวอีกด้วย
และอีกครั้ง เมื่อวิลเบอร์อยากจะชักใยได้อย่างชาร์ล็อตต์ เธอก็พูดกับวิลเบอร์ว่า “เธอกับฉันมีชีวิตที่ต่างกัน เธอไม่มีความจำเป็นต้องชักใย” แต่เมื่อวิลเบอร์อยากจะลอง เธอก็ให้กำลังใจ...หลังผ่านไปหลายครั้งอย่างไม่ได้ผล เธอก็ให้สติว่า “อย่าเสียใจไปเลย...ใช่ว่าสัตว์ทุกตัวจะชักใยได้เมื่อไร แม้แต่มนุษย์ยังทำไม่ได้เลย ทั้งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเก่ง แล้วก็ลองทำทุกอย่าง เช่น สะพานควีนส์โบโรห์... รู้ไหมว่าพวกมนุษย์ใช้เวลานานแค่ไหนในการสร้าง แปดปีเต็มๆ...เวรกรรมจริงๆ”
เมื่อวิลเบอร์ถามว่า “เขาสร้างไว้ดักอะไร” เธอก็ตอบว่า “เปล่า เขาสร้างเอาไว้เพื่อข้ามไปเท่านั้น คงคิดว่าที่ปลายสะพานอีกด้านมีอะไรดีกว่าด้านที่ตัวอยู่ละมัง ถ้าพวกนี้ลองหยุดยืนเงียบๆ แถวกลางสะพานกันซะบ้าง อาจจะได้เห็นอะไรดีๆ มั่งก็ได้ แต่นี่มัวแต่เร่งรีบ รีบ รีบ รีบไปซะหมดทุกนาที...”
ด้วยปัญญาอันเฉียบคมและคุณสมบัติของความเป็นกัลยาณมิตรของชาร์ล็อตต์ จึงทำให้วิลเบอร์รอดพ้นจาก การถูกนำไปแปรรูปเป็น แฮม เบคอน สเต็ก และคากิ !!... แต่จะด้วยวิธีไหน คุณผู้อ่านก็ต้องไปหาหนังมาดูกันเอาเอง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น อย่าลืม!!! ไปซื้อหนังสือมาเก็บไว้อ่านให้ลูกหลานเหลนโหลนรวมทั้งตนเองฟังด้วย เพราะการอ่านนั้นจะให้อรรถรสบางอย่าง ที่บางครั้งไม่สามารถหา ได้จากหนังแผ่นหรือหนังโรง
หลังจากดูหนัง (+อ่านหนังสือ) เรื่องนี้จบลง ผมก็รู้สึกหลงรักแมงมุมมากขึ้นกว่าเดิมอีกแยะ...และอยากจะฝากคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยว่า ครั้งต่อๆไป หากจะทำความสะอาดบ้านช่องห้องหอ โดยเฉพาะตามซอกตามมุม ที่มีใยแมงมุม...กรุณาใช้ความระมัดระวังกันสักนิด เพราะไม่แน่ว่าเจ้าของใยตัวนั้นอาจจะมีสายสัมพันธ์ เป็นลูก-หลาน - เหลน - โหลน - ของชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรักของผมก็ได้
ฉบับนี้ ขอลาไปถักใย (สร้างพลังบุญพลังใจ ด้วยการไปไหว้พระที่สังเวชนียสถาน ที่อินเดีย) ให้แข็งแรง เพื่อเอาไว้ดักแมลง เอ๊ย กิเลสไม่ให้บินเข้ามารบกวนกายและจิตใจ...แล้วพบกันใหม่ เมื่อชาติและพระศาสนาต้องการ... นมัสการ....นมัสเต...
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 101 เม.ย. 52 โดยไพโรจน์ ชินศิรประภา)
หาง่ายหลายหมื่นมีมากได้้
เพื่อนตายถ่ายแทนชี-วาอาตม์์
หายากฝากผีไข้้ยากแท้้จักหา
นั่นเป็นโคลงสี่สุภาพ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร เนื้อหาสาระต้องการที่จะสื่อสารผ่านบทกลอน ว่า “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” เพื่อนประเภทหลังนั้นจะมาปรากฏตัวให้เราเห็นเสมอๆ เมื่อเราเจอหรือประสบกับความลำบาก ต่างจากเพื่อนประเภทแรก คือ พวกใช้ปากเป็นอาวุธ คือ กิน กิน กิน โกหกพกลม และยกยอปอปั้น ครั้นพอเราเกิดปัญหา เพื่อนประเภทที่ว่านี้ก็จะหายหัว หายตัวเข้ากลีบเมฆอย่างไร้ ร่องรอย
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนิยายขายดี+เขียนดีของ E.B. WHITE (นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ) ซึ่งได้รับการ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2495 และขายได้มากถึง 45 ล้านเล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 23 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยของเราด้วย ได้รับรางวัลนิวเบอร์รี่และนิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นหนังสือเด็กที่ดีที่สุดในรอบศตวรรษ เพราะยังไม่มีหนังสือเล่มไหนเขียนได้สนุก อ่านแล้วสุขใจ แถมได้ปัญญา เท่ากับ “ชาร์ล็อตต์ : แมงมุมเพื่อนรัก” เล่มนี้
สำหรับท่านที่เคยอ่าน แต่ยังไม่เคยดม เอ๊ย ชม ก็ตามผมมา...จะพาไปดู
เรื่องมีอยู่ว่า...วิลเบอร์ เป็นลูกหมูที่เกิดมาตัวเล็กแกร็น และไม่แข็งแรงเท่าพี่ๆ น้องๆ ภายในคอกเดียวกัน เจ้าของฟาร์มจึงคิดจะเอาไปทำเป็นหมูหัน นั่นคือ ฆ่าทิ้งเสีย เพราะเลี้ยงไปก็เปลืองข้าวเปลืองรำเปล่าๆ...แต่ลูกสาวได้ เข้ามาขัดขวาง ไม่ให้พ่อต้องทำผิดศีลข้อที่ 1 โดยการพูด ว่า “ปาณาติปาตา” เอ๊ยไม่ใช่ ..เธอพูดว่า “ไม่ยุติธรรม และไม่ใช่ความผิดของมันนี่คะที่เกิดมาตัวเล็ก แล้วถ้าหนูเกิดมาตัวเล็ก พ่อก็จะฆ่าหนูรึเปล่า?” เล่นเอาพ่อกับแม่ถึงกับอึ้งกิมกี่...และนั่นเป็นการรอดชีวิตครั้งที่ 1 ของวิลเบอร์
เมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไป เพราะยังไงๆ หมูก็ถูกเลี้ยงเอาไว้ฆ่าเป็นอาหารอยู่ดี บรรดา สสว. (สัตว์สูงวัย ในฟาร์ม) ต่างก็ยืนยันกันเป็นเสียงเดียวว่า “ไม่เคยมีหมูฤดูใบไม้ผลิตัวไหน ได้เห็นหิมะในวันคริสต์มาสสักตัวเดียว” เล่นเอาวิลเบอร์เสียววาบไปทั้งตัวและหัวใจ
แต่โชคดีที่วิลเบอร์มี เพื่อนแท้-เพื่อนดี หรือที่เรียกว่า “กัลยาณมิตร” ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ มิตรอุปการะ, มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข, มิตรแนะนำประโยชน์ และสุดท้าย มิตรมีน้ำใจ ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้รวมอยู่ในแมงมุมตัวเดียว ที่ชื่อว่า “ชาร์ล็อตต์”
หลายคนทำหน้างงๆ สัยว่า แมงมุมขยุ้มหลังปลา เอ๊ย หลังคาเนี่ยนะ จะมาช่วยชีวิตเจ้าหมูวิลเบอร์...มันจะเวอร์ไปหน่อยหรือเปล่า...อ้าว! ของอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขนาดหรือ size ของตัว แต่มันขึ้นอยู่ที่หัวสมอง (ปัญญา) + หัวใจ (size XL)
คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินพุทธภาษิตที่ว่า
“นตฺถิ ปัญญาสมา อาภา - แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี”
“ปญฺญา ว ธเนน เสยฺโย - ปัญญาแลประเสริฐกว่าทรัพย์”
“ปญฺญา เจนํ ปสาสติ - ปัญญาเป็นเครื่องปกครองตัว”
และปัญญาของชาร์ล็อตต์ ก็แสดงออกมาทั้งทางคำพูดและการกระทำตลอดทั้งเรื่อง ยกตัวอย่างพอเป็น กระสาย เช่น “เราอาจมีดีในบางเรื่อง แล้วก็ไม่ดีในบางเรื่องได้เหมือนกัน” เป็นตอนที่ชาร์ล็อตต์บอกวิลเบอร์ว่า แม้เธอจะทอใยได้เก่งและสวย แต่แมงมุมอย่างเธอ (รวมถึงแมงมุมทุกตัว) ล้วนมีสายตาสั้นมาก เป็นการสอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี
หรือเมื่อวิลเบอร์รู้สึกไม่ดีที่เห็นชาร์ล็อตต์ดักจับและกินแมลง เธอก็แสดงภูมิปัญญาให้เห็นว่า “ฉันไม่รู้ว่า ใครเป็นแมงมุมตัวแรกที่คิดวิธีชักใยอันน่าอัศจรรย์อย่างนี้ขึ้นมา แต่ก็คิดค้นขึ้นมาแล้วและเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมาก พวกเราทุกตัวก็ยึดถือปฏิบัติตามกันมา” และเมื่อวิลเบอร์ บอกว่า “น่ากลัวจัง” ชาร์ล็อตต์ก็ตอบว่า “เธอไม่มีสิทธิ์ จะว่า... เธอมีคนเอาอาหารมาให้ในรางทุกวัน...ไม่มีใครเลี้ยงฉัน ฉันก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้...ไม่คิดหรือว่า ถ้าฉันไม่คอยจับแมลงพวกนี้ มันอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วทำลายโลกจนไม่มีอะไรเหลือหรอ” นอกจากจะตอบ ปัญหาแล้ว ยังสอนเรื่องระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารไปในตัวอีกด้วย
และอีกครั้ง เมื่อวิลเบอร์อยากจะชักใยได้อย่างชาร์ล็อตต์ เธอก็พูดกับวิลเบอร์ว่า “เธอกับฉันมีชีวิตที่ต่างกัน เธอไม่มีความจำเป็นต้องชักใย” แต่เมื่อวิลเบอร์อยากจะลอง เธอก็ให้กำลังใจ...หลังผ่านไปหลายครั้งอย่างไม่ได้ผล เธอก็ให้สติว่า “อย่าเสียใจไปเลย...ใช่ว่าสัตว์ทุกตัวจะชักใยได้เมื่อไร แม้แต่มนุษย์ยังทำไม่ได้เลย ทั้งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเก่ง แล้วก็ลองทำทุกอย่าง เช่น สะพานควีนส์โบโรห์... รู้ไหมว่าพวกมนุษย์ใช้เวลานานแค่ไหนในการสร้าง แปดปีเต็มๆ...เวรกรรมจริงๆ”
เมื่อวิลเบอร์ถามว่า “เขาสร้างไว้ดักอะไร” เธอก็ตอบว่า “เปล่า เขาสร้างเอาไว้เพื่อข้ามไปเท่านั้น คงคิดว่าที่ปลายสะพานอีกด้านมีอะไรดีกว่าด้านที่ตัวอยู่ละมัง ถ้าพวกนี้ลองหยุดยืนเงียบๆ แถวกลางสะพานกันซะบ้าง อาจจะได้เห็นอะไรดีๆ มั่งก็ได้ แต่นี่มัวแต่เร่งรีบ รีบ รีบ รีบไปซะหมดทุกนาที...”
ด้วยปัญญาอันเฉียบคมและคุณสมบัติของความเป็นกัลยาณมิตรของชาร์ล็อตต์ จึงทำให้วิลเบอร์รอดพ้นจาก การถูกนำไปแปรรูปเป็น แฮม เบคอน สเต็ก และคากิ !!... แต่จะด้วยวิธีไหน คุณผู้อ่านก็ต้องไปหาหนังมาดูกันเอาเอง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น อย่าลืม!!! ไปซื้อหนังสือมาเก็บไว้อ่านให้ลูกหลานเหลนโหลนรวมทั้งตนเองฟังด้วย เพราะการอ่านนั้นจะให้อรรถรสบางอย่าง ที่บางครั้งไม่สามารถหา ได้จากหนังแผ่นหรือหนังโรง
หลังจากดูหนัง (+อ่านหนังสือ) เรื่องนี้จบลง ผมก็รู้สึกหลงรักแมงมุมมากขึ้นกว่าเดิมอีกแยะ...และอยากจะฝากคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยว่า ครั้งต่อๆไป หากจะทำความสะอาดบ้านช่องห้องหอ โดยเฉพาะตามซอกตามมุม ที่มีใยแมงมุม...กรุณาใช้ความระมัดระวังกันสักนิด เพราะไม่แน่ว่าเจ้าของใยตัวนั้นอาจจะมีสายสัมพันธ์ เป็นลูก-หลาน - เหลน - โหลน - ของชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรักของผมก็ได้
ฉบับนี้ ขอลาไปถักใย (สร้างพลังบุญพลังใจ ด้วยการไปไหว้พระที่สังเวชนียสถาน ที่อินเดีย) ให้แข็งแรง เพื่อเอาไว้ดักแมลง เอ๊ย กิเลสไม่ให้บินเข้ามารบกวนกายและจิตใจ...แล้วพบกันใหม่ เมื่อชาติและพระศาสนาต้องการ... นมัสการ....นมัสเต...
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 101 เม.ย. 52 โดยไพโรจน์ ชินศิรประภา)