xs
xsm
sm
md
lg

กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : พูดชั่วเป็นเหตุ เกิดเป็น 'เปรตปากเน่า'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชีวิตของคนเราจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนกระทำเป็นสำคัญ ทำความดีชีวิตก็ดี ทำความชั่วชีวิตก็ได้พบแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน การกระทำกรรมนั้นเราทำได้สามทางด้วยกันคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการกระทำกรรมทางวาจา ชอบพูดชั่ว พูดยุแหย่ให้คนแตกแยกกัน ดังเรื่องที่องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้ว่า
ในอดีตกาล สมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ มีกุลบุตร ๒ คนบวชอยู่ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัด มีจริยวัตรที่งดงามสมบูรณ์ เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส พระทั้งสองรูปอาศัยอยู่ในวัดใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ขณะนั้นมีภิกษุอาคันตุกะรูปหนึ่งซึ่งชอบทำความชั่ว ชอบส่อเสียด ได้เข้าไปยังวัดที่พระทั้งสองรูปนั้นพักอยู่ พระเถระทั้งสองก็ต้อนรับเป็นอย่างดี จัดสถานที่พักให้อย่างเรียบร้อย และพาท่าน ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านด้วย
พวกชาวบ้านเห็นพระภิกษุทั้งสามแล้ว ก็ยกมือไหว้ด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้ถวายภัตตาหารคาวหวานอันประณีตต่างๆ มากมาย
หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันกลับไปที่วัด พระอาคันตุกะคิดว่า “พวกชาวบ้านที่นี่ดีจริงๆ มีความ ศรัทธาเลื่อมใส ได้ถวายอาหารคาวหวานอันประณีตจำนวนมากมาย วัดแห่งนี้ช่างสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ เราสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างสุขสบาย แต่ถ้าภิกษุสองรูปนั้นอยู่ด้วย เราก็จะอยู่ไม่สะดวกสบาย เราก็จะเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางทำให้พระทั้งสองรูปนั้นแตกแยกกัน และต้องทำให้ท่านทั้งสองย้ายออกไปจากวัดแห่งนี้ให้ได้”
วันหนึ่ง ภิกษุผู้ชอบทำความชั่วได้เข้าไปหาพระมหาเถระแล้วบอกว่าพระเถระผู้เป็นสหายของท่าน ต่อหน้าก็ทำตัวดีเป็นมิตรที่ดี พอลับหลังชอบกล่าวให้ร้าย ว่าท่านเป็นผู้โอ้อวด มีมายา หลอกลวง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ
พระมหาเถระได้ฟังครั้งแรกก็ไม่เชื่อ แถมยังตอบกลับไปว่า ภิกษุผู้เป็นสหายของท่าน คงไม่ว่าเช่นนั้น เพราะ ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์มาแล้ว ก็รู้ว่าท่านมีศีลเป็นที่รัก มีกัลยาณธรรม
ภิกษุรูปนั้นจึงกล่าวยุยงต่อไปว่า ที่พระมหาเถระคิดอย่างนั้นก็เพราะว่าเป็นผู้มีศีล มีจิตบริสุทธิ์ แต่ที่นำเรื่องนี้มาบอกนั้นตนก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใจกับพระเถระรูปนั้น แล้วจะไปใส่ร้ายทำไม แต่ก็ช่างเถอะ ต่อไปท่านจะได้รู้ความจริงเอง
ฝ่ายพระมหาเถระเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ก็เพราะท่านก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ท่านจึงเกิดความรังเกียจว่า สงสัยจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลังจากยุยงพระมหาเถระแล้ว ภิกษุรูปนั้นก็ได้ไปยุยงพระเถระอีกรูปหนึ่ง เหมือนกับที่กล่าวใส่ร้ายพระเถระนั่นเอง
ต่อมาอีกสองวันพระเถระทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย ต่างคนต่างเข้าไปบิณฑบาต กลับมาก็ฉันข้าวอยู่ในกุฏิของตนเอง กิจต่างๆก็ไม่ยอมทำร่วมกัน และคืนวันที่สองนั่น เองต่างคนก็แอบหนีออกจากวัดไปอยู่ที่อื่นโดยไม่บอกกัน
ฝ่ายพระภิกษุผู้ชอบทำความชั่วนั้นรู้สึกดีใจมากเมื่อทราบข่าว จึงเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส พวกชาวบ้านเห็นท่านมารูปเดียว จึงถามว่า พระเถระทั้งสองรูปไปไหน จึงไม่ได้มาด้วย ท่านก็บอกว่า
“พระเถระทั้งสองรูปนั้นทะเลาะกันตลอดทั้งคืน แม้ว่าอาตมาจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง อาตมาอุตส่าห์เตือนว่า อย่าทะเลาะกันเลยให้สามัคคีกันไว้เถิด การทะเลาะกันมีแต่จะนำความพินาศมาให้ ก่อให้เกิดความทุกข์ในอนาคต เป็นทางแห่งอกุศล แม้คนสมัยก่อน ก็เคยพลาดจากประโยชน์ใหญ่ เพราะการทะเลาะกันนั่นเอง แต่จะพูดอย่างไรก็ไม่เป็นประโยชน์ พระทั้งสองรูปนั้นไม่ฟังอาตมา เลย ต่างพากันหนีไปอยู่ที่อื่น”
เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้น ก็ขอร้องท่านให้อยู่ที่วัดนี้ พระรูปนั้นก็รีบรับปากทันที เพราะเป็นความต้องการอยู่แล้ว ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ท่านจึงคิดได้ว่าตนยุยงภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมให้แตกแยกกัน ก็เพราะว่าอยากเป็นเจ้าอาวาส ขวนขวายแต่ทำกรรมชั่วไว้มากมาย
ท่านครุ่นคิดแต่เรื่องนี้จนเกิดความร้อนอกร้อนใจ เศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดสุขภาพก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ต่อมาไม่นานนักก็มรณภาพลง และไปบังเกิดในอเวจีมหานรก!!
หลังจากไปตกนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรูปนั้นก็ได้มาเกิดเป็นเปรตปากเน่า มีหนอนยั้วเยี้ยไต่ออกจากปาก เจาะกินปากข้างโน้นข้างนี้ กลิ่นปากของเปรตนั้นเหม็นฟุ้งขจรขจายไปไกลในอากาศ แต่ทว่าร่างกายกลับมีสีเหมือนทองคำ!!
ในเวลานั้น ขณะที่พระนารทะลงจากเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปบิณฑบาตรในกรุงราชคฤห์ ท่านก็ได้พบเปรตปากเน่าซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ จึงถามถึงกรรมที่เปรตเคยกระทำไว้ว่า
“ท่านมีผิวพรรณงามดังทิพย์ ยืนอยู่ในอากาศกลางหาว แต่ปากของท่านมีกลิ่นเหม็น มีหนอนพากันชอนไชอยู่ เมื่อก่อนท่านเคยทำกรรมอะไรไว้”
เปรตจึงเล่าให้พระเถระฟังว่า เมื่อก่อนเป็นพระชั่ว ชอบพูดชั่ว พูดยุแหย่ ใส่ร้ายผู้อื่น ไม่สำรวมปาก เพราะกรรมที่กล่าววาจาส่อเสียด จึงทำให้ปากเหม็น แต่เหตุที่มีผิวพรรณเหมือนดังทองคำ ก็เพราะว่าบุญที่เกิดจาการบวชนั่นเอง
ครั้นบอกกรรมที่ตนได้ทำไว้อย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวเตือนพระนารทะว่า “ท่านได้เห็นรูปร่างของข้าพเจ้าด้วยตนเองแล้ว ท่านผู้ฉลาดผู้อนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า ท่านอย่าพูดส่อเสียดและอย่าพูดมุสา จงสำรวมวาจา หลังจากมรณภาพแล้ว ท่านจะได้เป็นเทพเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา มีแต่ความสุขความเจริญ”
พระนารทะได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงได้ทรงนำเรื่องนี้ไปเทศนาสอนประชาชนต่อไป
กรรมชั่วเมื่อทำแล้วย่อมให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ผู้กระทำ ทุกคนจึงควรหลีกหนีจากกรรมชั่วทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นกรรมชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจก็ตาม
กรรมชั่วไม่เคยทำให้ใครมีความสุข มีแต่นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ ทั้งในภพนี้และภพหน้า ผู้ฉลาดมองเห็นประโยชน์ในระยะยาว จึงต้องหลีกหนีจากความชั่วให้เด็ดขาด


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 102 พ.ค. 52 โดยมาลาวชิโร)
กำลังโหลดความคิดเห็น