พระพุทธรูปปางโปรดพญาช้างนาฬาคิรี อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายื่นไปข้างหน้าเสมอพระนาภี คว่ำพระหัตถ์ เป็นกิริยาทรงลูบกระพองศีรษะพญาช้างที่หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทด้วยพระเมตตา
ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางนี้มีว่า พระเทวทัตซึ่งเป็นอาจารย์ของพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง คิดแต่ทำลายพระพุทธเจ้า เพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ในสังฆมณฑล จึงพยายามหาหนทางกำจัดพระพุทธเจ้า ถึง ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ พระเทวทัตทูลขอนักแม่นธนูจากพระเจ้าอชาตศัตรูให้ไปลอบยิงพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร ด้วยลูกศรอาบยาพิษ แต่นายขมังธนูได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยไปตลอดชีวิต
ครั้งที่ ๒ เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ยอดเขาคิชกูฎ พระเทวทัตได้ลอบขึ้นไปบนเขาในเวลาเช้า แล้วผลักก้อนหินใหญ่หมายปลงพระชนม์พระบรมศาสดา ขณะเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ แต่ด้วยพุทธานุภาพ ทำให้ก้อนหินนั้นไม่ถูกพระวรกาย มีแค่สะเก็ดหินกระเด็นมาถูกพระบาทจนเกิดห้อพระโลหิต
ครั้งที่ ๓ พระเทวทัตทูลขอพญาช้างนาฬาคิรี ซึ่งเป็นช้างพระที่นั่ง จากพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อได้มาแล้วจึงสั่งให้ควาญช้างมอมเหล้าพญาช้างนาฬาคิรี เพื่อให้พญาช้างที่กำลังตกมันเกิดความคลุ้มคลั่ง แล้วจึงปล่อยไปทำร้ายพระพุทธเจ้าขณะเสด็จออกจากพระเวฬุวันวิหาร เพื่อบิณฑบาตโปรดสัตว์ ขณะที่พญาช้างส่งเสียงกึกก้องโกญจนาท วิ่งตรงเข้าหาพระพุทธองค์นั้น พระอานนท์ก็วิ่งออกมาขวางไว้ พระพุทธองค์จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้ช้างตกใจ พุ่งไปทางอื่น จากนั้นจึงทรงแผ่เมตตาจิต จนพญาช้างได้สติสิ้นพยศ หมอบลง ยกงวงขึ้นถวายอภิวาทพระศาสดา พระพุทธองค์จึงทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองศีรษะช้างด้วยความเมตตา และทรงประทานโอวาทแก่พญาช้างให้เลิกกระทำปาณาติบาต ไม่ให้มีจิตอาฆาตโกรธแค้น จงมีเมตตาจิตจ่อคนและสัตว์ จะได้พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 100 มี.ค. 52 โดยกานต์ธีรา)