xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นอนวันละไม่ถึง 6 ชั่วโมงอาจเสี่ยงมะเร็งเต้านม
การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารบริติช เจอร์นัล ออฟ แคนเซอร์ นำเสนอ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่า การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอมีความสำคัญต่อการปกป้องมะเร็งเต้านม
นักวิจัยในญี่ปุ่นได้ติดตามรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้หญิงเกือบ 24,000 คนนานถึง 8 ปี ซึ่งพบว่าคนที่นอนวันละ 6 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น มีแนวโน้มมากขึ้นถึง 62% ที่จะเป็นโรคมะเร็งดังกล่าว ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่นอนวันละ 7 ชั่วโมง ขณะที่ผู้หญิงที่นอนเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมงมีแนวโน้มน้อยลงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม 28%
นักวิจัยสงสัยว่าเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตออกมาขณะหลับและควบคุมนาฬิกาชีวภาพในร่างกายคนเรา มีบทบาทสำคัญในการปกป้องมะเร็งเต้านมจากการจำกัดปริมาณการหลั่งเอสโตรเจน ซึ่งรู้กันว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งชนิดนี้
ทีมนักวิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ ในเซนได ญี่ปุ่นได้ศึกษาข้อมูลของผู้หญิงอายุระหว่าง 40-79 ปี ที่ร่วมทำการสำรวจสุขภาพ และรูปแบบการดำเนินชีวิต ซึ่งรวมถึงคำถามเกี่ยวกับระยะเวลาการนอนหลับ ในแต่ละคืน
ระหว่างการศึกษานาน 8 ปี ปรากฏว่ามีกลุ่มตัวอย่าง143 คนถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม เมื่อนักวิจัยวิเคราะห์พฤติกรรมการนอนของผู้ป่วยมะเร็งเหล่านี้ พบว่า การนอนดึกและตื่นเช้าเป็นปัจจัยสำคัญ
งานศึกษาอีกหลายฉบับแสดงให้เห็นว่าเนื้องอกจะโตเร็วกว่าปกติ 2 เท่าเมื่อขาดเมลาโทนินในเลือด
ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นชุดเดียวกันรายงาน เมื่อต้นปีว่า ผู้ชายที่นอนวันละ 9 ชั่วโมงมีแนวโน้มน้อยลงครึ่งหนึ่งที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อเทียบกับคนที่ นอนน้อยกว่านั้น
แคนเซอร์ รีเสิร์ช ยูเค แสดงความคิดเห็นว่าแม้มีผลศึกษามากขึ้นที่ชี้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอกับมะเร็ง กระนั้น ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า ผลกระทบจากพฤติกรรมนี้มีความสำคัญมากเพียง ใดเมื่อเทียบกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ในรูปแบบการดำเนินชีวิต เช่น น้ำหนักตัว การออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ศาสตราจารย์จิม ฮอร์น จากมหาวิทยาลัยลัฟโบโรห์ ในอังกฤษ วิจารณ์ว่า การศึกษาผู้ป่วยมะเร็งของทีมนักวิจัยญี่ปุ่นมีขนาดเล็กเกินไป และเป็นการเหมารวมคนที่นอนหลับคืนละไม่เกิน 6 ชั่วโมง สำหรับตนแล้วคิดว่าความเสี่ยงโรคดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นจากการนอนวันละไม่ถึง 5 ชั่วโมงมากกว่า
“ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีอะไรต้องกังวลเรื่องนี้ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการนอนนานๆ ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมแต่อย่างใด”

ขยัน-สร้างสรรค์-ใช้ชีวิตอย่างมีสติเคล็ดลับยาอายุวัฒนะขนานใหม่
ดร.โฮเวิร์ด ฟรายด์แมน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย,ริเวอร์ไซด์ ผู้นำการวิจัย ได้ทำการศึกษาบุคลิกภาพ และอายุขัยโดยเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 8,900 คน
“คนที่มีสติในการครองชีวิตมีอายุยืนกว่าคนอื่นๆ เฉลี่ย 2-4 ปี มีหลักฐานที่สามารถอธิบายเรื่องนี้มากมาย เป็นต้นว่าคนที่มีสติมีแนวโน้มต่ำที่จะสูบ บุหรี่ ดื่มเหล้าเมามาย หรือมีพฤติกรรมที่เสี่ยงเกินไป นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องจริงที่ว่าคนมีสติดำเนินชีวิตในรูปแบบ ที่เรียบง่าย มั่นคง และไม่สร้างความกดดันให้ตัวเอง สุดท้ายคือ หลักฐานที่บ่งชี้ความเกี่ยวข้องของปัจจัยทางชีววิทยาที่ส่งผลทั้งทางด้านบุคลิกภาพและสุขภาพ”
ดร.ฟรายด์แมนนำผลการศึกษา 20 ฉบับมาวิเคราะห์รวมกันโดยเปรียบเทียบอายุขัยกับการทดสอบพื้นฐานทางจิตวิทยา ก่อนที่จะเผยแพร่ผลการค้นพบในวารสารเฮลท์ ไซโคโลจี้
สิ่งที่พบคือ กลุ่มตัวอย่างที่มีสติน้อย ที่สุดมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยมากกว่าคนที่มีสติถึง 50%
รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า คนที่ใช้ ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบมีอายุยืนรองลงมา

แพทย์แนะหลักปรับ 4 เติม 3 แก้จิตตก
นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า มีหลักในการแก้ปัญหาขณะที่เกิดวิกฤตในชีวิตคือ “ปรับ 4 เติม 3 วิธีสร้างพลังสุขภาพจิต เพื่อการผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจการ เมือง และวิกฤตชีวิตครอบครัว” ซึ่งหมายถึงการปรับตัว (ปรับ 4) และการใช้ต้นทุนเดิมที่มีอยู่ (เติม 3) ปรับ 4 ได้ แก่ 1.ปรับอารมณ์ มีสติ ไม่ใช้อารมณ์ใน การตัดสินปัญหา 2.ปรับความคิด คิดเชิงบวก มองเห็นด้านดีของเหตุการณ์ 3.ปรับการกระทำ เราทำให้เหตุการณ์ดีขึ้นได้แม้สิ่งที่ทำจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ 4.ปรับเป้าหมายชีวิต รู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ส่วนการเติม 3 นั้น คือ การใช้ต้นทุนเดิมที่มีอยู่แล้วเติม 1.การเติม ศรัทธา เชื่อว่าชีวิตมีคุณค่าและมีความหวัง ซึ่งอาจจะถูกทดสอบจากวิกฤตบ้าง แต่จะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้น 2.การเติมมิตร ในสังคมมีคนที่พร้อมจะรับฟังและ ช่วยเหลือเรา 3.การเติมจิตใจให้กว้าง เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย

ปวดเมนส์เรื้อรัง สัญญาณอันตราย!
รศ.นพ.สุวิทย์ บุณยะชีวิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาสูตินรีเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือนว่า อาการปวดท้องเมนส์ธรรมดา ปวดในระยะที่มาวันแรกๆ คือ วันที่ 1 หรือ 2 แล้วหายไป เป็นเรื่องปกติ อาจจะมีการใช้ยาพาราเซตามอลหรือพอนสแตนร่วมด้วย ก็ถือ ว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากมีการปวดท้องเมนส์ที่มากผิดปกติ คือวันที่ 4 ที่ 5 แล้วก็ยังปวด ปวดมากแบบต้องกินยาตลอด และเป็นอาการเรื้อรังที่ปวดมากขึ้นทุกเดือนๆ มากกว่า 6 เดือน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย
ผู้ที่มีอาการเช่นนี้ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการปวดโดยมีผลการวิจัยระบุว่า 59% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมดมีอาการปวดประจำเดือน และ 10% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมดมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)ไม่ว่าจะปวดหรือไม่ปวดประจำเดือนมากผิดปกติก็ตามที
ทั้งนี้ จากการศึกษาตัวอย่างทั้งหมด 1,100 คน ที่เป็นสตรีซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง 25-44 ปี จาก 4 ภาค 5 แห่ง (รวมกรุงเทพฯ) พบว่า ผู้ที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนแบบรุนแรงจนต้องหยุดงานทุกเดือนและปวดเรื้อรังมากกว่า 6 เดือนราวๆ 60% เมื่อรับการตรวจจะพบว่าป่วยด้วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ผู้หญิงที่อายุมากจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย ผู้หญิงที่มีประจำเดือนออกมากจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีประจำเดือนออกน้อยและผู้หญิงที่มีบุตรแล้วจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่ยังไม่มี

หมอเตือนอย่าเชื่อ ‘กาแฟ’ ลดน้ำหนัก ชี้ ‘ระวังสารอันตราย’
นพ.ฆนัท ครุธกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจหลอดเลือดและเมตาบอลิก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า กาแฟมีส่วนช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึม ซึ่งเป็นการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นใน ระดับสัตว์ทดลองและมนุษย์ด้วย แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายดีจนทำให้ร่างกายผอมเพรียว แถมหากดื่มมากเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในกระแสเลือดมากกว่าปกติเหตุเพราะส่วนผสมในการดื่มกาแฟด้วย
ส่วนนายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัยกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย ซึ่งอาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 97 ธ.ค. 51 โดยธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น