xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี ; กตัญญูต่อแผ่นดิน คือความดีสูงสุดในชีวิต 'ศตวรรษ เศรษฐกร'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาหลายคนคงคุ้นชื่อของ ‘เต๊ะ’ ศตวรรษ เศรษฐกร หนุ่มหล่อหน้าใสในวัย 26 ปี อดีตนักร้องนำวงวัยรุ่นชื่อดัง Teen 8 Grade A จากนั้นไม่นาน เต๊ะก็ได้สร้างผลงานออกมาสู่สายตาแฟนๆภาพยนตร์ กำลังภายในด้วยการรับบทเป็นพระเอกภาพยนตร์จีนกำลังภายในหลายเรื่องที่ออกอากาศฉายไปเกือบทั่วโลก จนส่งผลให้เขากลายเป็นนักแสดงขวัญใจวัยใสที่ประเทศไต้หวัน
แม้ว่าเขาจะไปโด่งดังยังต่างแดนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอม รับของคนทั่วไป แต่อีกมุมหนึ่งในชีวิตของชายหนุ่มคนนี้ สิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิตของการเป็นนักแสดงและความเป็นมนุษย์ก็คือ ‘ความกตัญญู’ ต่อผู้มีพระคุณ และผืนแผ่นดินเกิด และไม่ว่าเขาจะอยู่มุมใดของโลกก็ตาม แต่ในยามที่บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ในภาวะไม่ปกติสุข เขาก็พร้อมจะลุกขึ้นมาสู้ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด เพราะเขาถือว่าสิ่งนี้คือความดีสูงสุดในชีวิต และสิ่งนี้จะชักพาไปพบเจอกับสิ่งที่ดีงามในชีวิตต่อไป
“ผมเคยดูโฆษณาที่มีใจความตอนหนึ่งว่า ถ้าเราไม่รักบ้านเรา แล้วใครจะมารัก ผมชอบคำพูดนี้มาก เพราะไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตามอย่าลืมกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด ผมคิดว่าทุกวันนี้ที่ประเทศชาติเกิดความวุ่นวาย เพราะคนไม่ค่อยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ก็เลยไม่รู้ว่าบรรพบุรุษ ต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปเท่าไรกว่าประเทศชาติจะเป็นปึกแผ่น พอคนไม่รู้จึงไม่ค่อยมีคนลุกขึ้นมาปกป้องประเทศชาติ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทั้งๆที่ผ่านมาถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดี เราจะรู้ว่าทุกครั้งที่เราสามารถชนะศัตรู ได้ก็เพราะคนไทยทั้งประเทศช่วยกันนั่นเอง”
เต๊ะเล่าว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนที่ปฏิบัติตนอย่าง เคร่งครัดตามหลักพระพุทธศาสนา แต่ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง เขายังมีสิ่งหนึ่งที่เป็นหลักปฏิบัติและยึดถือในการดำเนินชีวิตเรื่อยมาก็คือเรื่องความกตัญญู เพราะเขาถือว่าเป็นสิ่งแรกในการทำความดีทั้ง กาย วาจา และใจ
“ผมเป็นคนกาญจนบุรี เห็นภาพการทำบุญของคนต่างจังหวัดมาโดยตลอด เพราะกิจกรรมทางศาสนาในต่างจังหวัด จะไม่เหมือนกับคนกรุงเทพฯ คือไม่มีความรีบเร่ง เดินออกจากบ้านไปเพียง 500 เมตรก็มีวัดให้เข้าแล้ว ดังนั้นด้วยความที่ผมเป็นเด็ก และคุณแม่เป็นคนธัมมะธัมโมมาก ผมจึงมีโอกาสตามแม่ไปวัด ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปทำไม พอเราเห็นแม่ถวายสังฆทานก็เอามือไป แตะๆตามแม่เท่านั้น เพราะแม่บอกว่าทำแล้วได้บุญ”
กระทั่งเมื่อเขาเติบใหญ่จึงรู้ว่าการที่แม่พาไปวัดและการถวายสังฆทานให้กับพระสงฆ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพระธรรมขึ้นมาคุ้มกันจิตใจของเขาให้แข็งแกร่ง
“ตอนเป็นเด็กเราก็ไม่เข้าใจว่า แม่จะถวายสังฆทานเพื่ออะไร แต่พอโตขึ้นจึงเริ่มเข้าใจว่าการที่ไปวัดทำบุญถวายสังฆทานเป็นการทำเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา และเผื่อแผ่ความดีนี้ไปยังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเราไม่ได้ เพียงแค่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังได้ช่วยเหลือชาวบ้านอีกด้วย เพราะอาหารที่เรานำไปถวายวัดหลังจากที่พระฉันเสร็จ ชาวบ้านก็ยังได้กิน และสังฆทานบางส่วนทางวัดก็จะนำไปบริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้ต่อไป”
ชายหนุ่มอธิบายต่อว่าการที่เขามีโอกาสได้เข้าวัดและเรียนรู้พระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก สิ่งนอกเหนือที่ได้จากการบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปแล้ว ยังทำ ให้เขามีความยับยั้งชั่งใจไม่ทำในสิ่งไม่ดี และมีความละอายต่อการทำบาปทุกชนิด
“สำหรับผมคิดว่า การตกนรกในใจน่ากลัวที่สุด และเป็นสิ่งที่ผมยึดถือมาโดยตลอด มันเป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจไม่ให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราทำไม่ดีกับใครสักคนไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นภายในใจของเราก็คือความรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา ซึ่งมันน่ากลัวยิ่งกว่านรกจริงๆ ที่เราคิดไว้เสียอีก ผมก็ไม่รู้ว่า นรก จะมีจริงหรือเปล่า ดังนั้นคนเราในยามที่ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่างควรทำสิ่งดีๆให้กับคนรอบข้าง ให้เขาได้พบแต่รอยยิ้มและความสุข”
เพราะความสำนึกรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวมและประเทศชาติที่เขาอาศัยอยู่ ขณะนี้ชายหนุ่มจึงสวมอีกบท บาทหนึ่งในชีวิต ด้วยการเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิ ธรรมรัศมีมณีรัตน์ ที่ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยเหลือและบรรเทา ทุกข์แก่ผู้ประสบเหตุต่างๆ เขาให้เหตุผลที่เข้าไปทำงานนี้ ว่า เขาพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นผลดีกับคนอื่นให้มากที่สุด
“ทุกครั้งที่เราได้ช่วยเหลือคน นอกจากภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจเราไม่ให้เราประมาทแล้ว สิ่งที่เราได้รับมากกว่านั้นคือถึงแม้ว่าเราจะเห็นคราบน้ำตา ของญาติผู้ป่วยหรือเสียชีวิต แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็เดินเข้ามาขอบคุณเราที่ช่วยเหลือญาติของเขา มีคนบอกว่าเราทำความดีแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่สำหรับผมไม่รู้ว่าสวรรค์มีจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เมื่อเราทำเสร็จแล้วเรามีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนอื่น เพียงแค่ชีวิตหนึ่ง ที่เราสามารถช่วยไว้ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ผมก็รู้สึกว่ามันอิ่มเอิบใจ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นสวรรค์บนดินในชีวิตผม”
สำหรับต้นแบบความดีของหนุ่มคนนี้ เขาบอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่มากนัก แต่ทั้งสองท่านคือต้นแบบความดีที่ทำให้ลูกชายใช้เป็นหลักยึดในการทำความดีเสมอมา
“ตลอดชีวิตของผมเห็นว่าพ่อกับแม่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผมเชื่อว่าคนเราไม่มีใครดีไปเสียทุกเรื่องซึ่งพ่อกับแม่ก็คงจะเคยทำในสิ่งที่ไม่ดีบ้าง แต่เราเลือกที่จะจดจำด้านดีๆของท่านไว้ ผมโชคดีที่เจอแต่คนดีๆอยู่รอบข้าง ท่านมักจะสอนให้ผมใช้หลัก อโหสิกรรมมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต อย่าไปทำ ร้ายใครทั้งกายวาจาและใจ เช่นบางครั้งมีคนมาทำร้ายเราไม่ว่าจะด้วยวาจา หรือการกระทำ เราก็จะพยายามปล่อยวางกับสิ่งรอบข้าง คิดไว้อย่างเดียวเท่านั้นว่าเราไม่สามารถไปบังคับจิตใจคนทั้งโลกให้มามีความคิดเหมือนกับเราได้
ผมคิดว่าบางครั้งคนเราคิดไม่เหมือนกันได้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาทำร้ายด้วยการหักหาญทางการกระทำ หรือมาฟาดฟันกัน ส่วนตัวผมอยากจะให้คนที่คิดจะทำร้ายประเทศชาติหันมามองนิดหนึ่งว่า ทุกวันนี้คุณได้สู้เพื่อคนที่คุณไหว้ทุกวันก่อนออกจากบ้านแล้วหรือยัง ชาวนาชาวไร่วันไหนที่ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลคุณได้รับข้าว ซึ่งเป็นขวัญถุงให้นำไปใช้ในการดำรงชีพ แต่วันนี้คุณสู้เพื่อคนคนนั้นแล้วหรือยัง คุณลืมเขาแล้วหรือยัง ดังนั้นผมอยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาสู้เพื่อพ่อหลวงของเรา” ชายหนุ่มเล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย
เนื่องในวันออกพรรษที่จะมาเยือนในอีกไม่ช้านี้ พระเอกหนุ่มรูปหล่อยังได้ชวนเชิญชาวไทยทุกคน ร่วมกับสืบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยการเข้าวัดไปร่วมทำบุญและฟังธรรมเทศนา เพื่อเผยแพร่ความดีและบุญกุศลนี้ไปยังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้ได้พบเจอกับสิ่งดีๆในชีวิต เพื่อจะได้มีแรงใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับประเทศชาติต่อไป

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 95 ต.ค. 51 โดยศศิวิมล แถวเพชร)
กำลังโหลดความคิดเห็น