ทั้งทั้งหลายในโลกที่เราได้พบ เห็นกันอยู่ทุกวันเวลานั้น ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความเขลา เราก็ เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยปัญญา เราก็จะไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เพราะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเขาเรียกว่า มันเปลี่ยนหน้าตาไป
บางครั้งก็เป็นไปในทางดีใจ บางครั้งก็เป็นไปในทางเสียอกเสียใจ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งสองอย่าง ดีใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียใจก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง ส่วนเสียใจนั้นเป็นทุกข์เปิดเผย มองเห็นได้ทัน ท่วงที
ความดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ภายหลัง เมื่อสิ่งที่เราดีใจนั้นสูญเสียไป อันนี้เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ที่จิตใจของท่านทั้งหลาย ในรอบเดือนหนึ่งที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีอะไรๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราหลายเรื่องหลายประการ บางเรื่องก็เป็นอย่างหนึ่ง บางเรื่องก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเราไม่ค่อยจะได้เอามาพิจารณา เท่าใดนัก มักจะปล่อยให้มันผ่านพ้นไปตามเรื่องตามราว เช่นความสุขเกิดขึ้นผ่านพ้นไป เราก็ให้มันผ่านพ้นไปเฉยๆ ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมันผ่านพ้นไปแล้ว ก็ผ่านพ้นไปเฉยๆ อย่างนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นในด้านปัญญา คือเราไม่ได้นำเรื่องนั้นมาพิจารณาว่าเกิดขึ้นจากอะไร และเราควรจะทำใจของเราอย่างไร เราไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ ก็ไม่เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น อยู่อย่างใดก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป
แต่ถ้าหากว่าเราได้นำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรามาพิจารณาเป็น เรื่องๆไป เราก็จะเข้าใจเรื่องนั้นได้ถูกต้อง มากขึ้น ได้ปัญญามากขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเราทั้งหลายให้อยู่ด้วยปัญญา หมายความว่าให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ได้เรื่องเสีย เรื่องความสุขความทุกข์ เรื่องความเสื่อมหรือความเจริญที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราแล้ว เราก็ต้องนำเรื่องนั้นมาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
การรู้ชัดตามสภาพที่มันเป็นนั่นแหละ จะทำให้เราคลายปัญหาได้ และเราจะไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีกในวิถีชีวิตของเรา เพราะว่าปกติคนเรานั้นมักชอบสร้างปัญหา ทำปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ บางทีปัญหาเหล่านั้นมันซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อยไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น นั่นก็เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณาในเรื่องนั้นๆ ไม่เอาเรื่องนั้นมาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ จึงได้สร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก
เหมือนคนโกรธแล้วโกรธอีก เกลียด แล้วเกลียดอีก พยาบาทแล้วก็พยาบาทอีกเรื่อยไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นกันเสียที ก็เพราะว่าไม่ได้นำมาพิจารณา ว่าทำไมเราจึงได้โกรธ ทำไมเราจึงได้เกลียด ทำไมเราจึงได้พยาบาทในบุคคลนั้น ในวัตถุนั้นๆ แล้วเราก็ไม่ได้พิจารณาว่า ในเวลาเราโกรธนั้น สภาพจิตใจเป็นอย่างไร มีความร้อนหรือมีความเย็นอย่างไร เวลาเราเกลียด สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เราไม่ได้นำมาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ ก็เลยเผลอไปประมาทไปทำสิ่งนั้นบ่อยๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ไม่รู้ จักจบไม่รู้จักสิ้น อันเป็นคำที่เราเรียกกันว่า ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าเราไม่ได้นำมาพิจารณา อันนี้เรียกว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมะนั่นเอง
การปฏิบัติธรรมะก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองในเรื่องอะไรๆ ต่างๆที่มันเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราอยู่บ่อยๆ แม้เรื่องนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว เราก็นำมาพิจารณาด้วยปัญญาได้ การนำอะไรที่ผ่านพ้นไปแล้วมาพิจารณาด้วยปัญญานั้น ไม่เป็นเรื่องเสียหาย แต่ถ้าเรานำมาพิจารณาด้วยความเขลา คือไม่ได้พิจารณา นำมานั่งคิดนั่งนึกกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความวิตกกังวลด้วยปัญหาอะไรต่างๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในจิตใจของเราบ่อยๆ ญาติโยมทุกคนคงจะเป็นอย่างนั้น เช่นมีความเสียใจไม่รู้จักจบ มีความโกรธไม่รู้จักจบ มีความเกลียดอะไรในเรื่องของใครๆ ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ว่าเรานำเรื่องนั้นมาคิดเท่านั้นเอง มาคิดด้วยความอาลัย คิดด้วยความโง่ความเขลา เมื่อเราคิดด้วยความโง่ความเขลามันก็สร้างปัญหาขึ้นมาในจิตใจของเรา
แต่ถ้าเราคิดด้วยปัญญา จะไม่สร้างปัญหา แต่เป็นการคลายปัญหานั้นให้หมดไป คำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า“อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยอาลัย” การคิดถึงอะไรที่ล่วงมาแล้วด้วยความอาลัย หมายความว่าด้วยความเสียดายในเรื่อง นั้นๆ เราจะมีความทุกข์ในเรื่องนั้น การคิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรานำมาคิด เพื่อให้เกิดปัญญา เรียกว่าเอามาวิเคราะห์วิจัยในเรื่องนั้นให้รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างนี้ไม่เป็น เรื่องเสียหาย แต่เป็นเรื่องที่จะช่วยให้เรา หูตาสว่าง มีจิตใจสว่างขึ้นด้วย
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
บางครั้งก็เป็นไปในทางดีใจ บางครั้งก็เป็นไปในทางเสียอกเสียใจ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งสองอย่าง ดีใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียใจก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง ส่วนเสียใจนั้นเป็นทุกข์เปิดเผย มองเห็นได้ทัน ท่วงที
ความดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ภายหลัง เมื่อสิ่งที่เราดีใจนั้นสูญเสียไป อันนี้เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ที่จิตใจของท่านทั้งหลาย ในรอบเดือนหนึ่งที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีอะไรๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราหลายเรื่องหลายประการ บางเรื่องก็เป็นอย่างหนึ่ง บางเรื่องก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเราไม่ค่อยจะได้เอามาพิจารณา เท่าใดนัก มักจะปล่อยให้มันผ่านพ้นไปตามเรื่องตามราว เช่นความสุขเกิดขึ้นผ่านพ้นไป เราก็ให้มันผ่านพ้นไปเฉยๆ ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมันผ่านพ้นไปแล้ว ก็ผ่านพ้นไปเฉยๆ อย่างนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นในด้านปัญญา คือเราไม่ได้นำเรื่องนั้นมาพิจารณาว่าเกิดขึ้นจากอะไร และเราควรจะทำใจของเราอย่างไร เราไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ ก็ไม่เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น อยู่อย่างใดก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป
แต่ถ้าหากว่าเราได้นำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรามาพิจารณาเป็น เรื่องๆไป เราก็จะเข้าใจเรื่องนั้นได้ถูกต้อง มากขึ้น ได้ปัญญามากขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเราทั้งหลายให้อยู่ด้วยปัญญา หมายความว่าให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ได้เรื่องเสีย เรื่องความสุขความทุกข์ เรื่องความเสื่อมหรือความเจริญที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราแล้ว เราก็ต้องนำเรื่องนั้นมาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
การรู้ชัดตามสภาพที่มันเป็นนั่นแหละ จะทำให้เราคลายปัญหาได้ และเราจะไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีกในวิถีชีวิตของเรา เพราะว่าปกติคนเรานั้นมักชอบสร้างปัญหา ทำปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ บางทีปัญหาเหล่านั้นมันซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อยไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น นั่นก็เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณาในเรื่องนั้นๆ ไม่เอาเรื่องนั้นมาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ จึงได้สร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก
เหมือนคนโกรธแล้วโกรธอีก เกลียด แล้วเกลียดอีก พยาบาทแล้วก็พยาบาทอีกเรื่อยไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นกันเสียที ก็เพราะว่าไม่ได้นำมาพิจารณา ว่าทำไมเราจึงได้โกรธ ทำไมเราจึงได้เกลียด ทำไมเราจึงได้พยาบาทในบุคคลนั้น ในวัตถุนั้นๆ แล้วเราก็ไม่ได้พิจารณาว่า ในเวลาเราโกรธนั้น สภาพจิตใจเป็นอย่างไร มีความร้อนหรือมีความเย็นอย่างไร เวลาเราเกลียด สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เราไม่ได้นำมาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ ก็เลยเผลอไปประมาทไปทำสิ่งนั้นบ่อยๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ไม่รู้ จักจบไม่รู้จักสิ้น อันเป็นคำที่เราเรียกกันว่า ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าเราไม่ได้นำมาพิจารณา อันนี้เรียกว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมะนั่นเอง
การปฏิบัติธรรมะก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองในเรื่องอะไรๆ ต่างๆที่มันเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราอยู่บ่อยๆ แม้เรื่องนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว เราก็นำมาพิจารณาด้วยปัญญาได้ การนำอะไรที่ผ่านพ้นไปแล้วมาพิจารณาด้วยปัญญานั้น ไม่เป็นเรื่องเสียหาย แต่ถ้าเรานำมาพิจารณาด้วยความเขลา คือไม่ได้พิจารณา นำมานั่งคิดนั่งนึกกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความวิตกกังวลด้วยปัญหาอะไรต่างๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในจิตใจของเราบ่อยๆ ญาติโยมทุกคนคงจะเป็นอย่างนั้น เช่นมีความเสียใจไม่รู้จักจบ มีความโกรธไม่รู้จักจบ มีความเกลียดอะไรในเรื่องของใครๆ ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ว่าเรานำเรื่องนั้นมาคิดเท่านั้นเอง มาคิดด้วยความอาลัย คิดด้วยความโง่ความเขลา เมื่อเราคิดด้วยความโง่ความเขลามันก็สร้างปัญหาขึ้นมาในจิตใจของเรา
แต่ถ้าเราคิดด้วยปัญญา จะไม่สร้างปัญหา แต่เป็นการคลายปัญหานั้นให้หมดไป คำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า“อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยอาลัย” การคิดถึงอะไรที่ล่วงมาแล้วด้วยความอาลัย หมายความว่าด้วยความเสียดายในเรื่อง นั้นๆ เราจะมีความทุกข์ในเรื่องนั้น การคิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรานำมาคิด เพื่อให้เกิดปัญญา เรียกว่าเอามาวิเคราะห์วิจัยในเรื่องนั้นให้รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างนี้ไม่เป็น เรื่องเสียหาย แต่เป็นเรื่องที่จะช่วยให้เรา หูตาสว่าง มีจิตใจสว่างขึ้นด้วย
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)