ในป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้หลากสายพันธุ์เติบโตอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ละต้นล้วนพึงพอใจกับกิ่งก้านสาขา และความสูงสง่าของตนเอง นกทั้งหลายต่างบินมาทำรัง บ้างมาเกาะเพื่อพักพิงอาศัยในร่มเงาไม้เพื่อคลายร้อน
ต้นไม้แต่ละต้นต่างเติบโตเต็มที่ จนกิ่งก้านสาขาเกาะเกี่ยวกันไปมา แต่ไม้ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหา ยกเว้นไม้หนุ่มจอมยะโสกับไม้หนุ่มจอมโอหังที่อยู่ติดกัน และกิ่งไม้ของแต่ละต้นก็เกี่ยวพันกัน ทั้งสองต่างเกิดความรู้สึกอึดอัด และต้องการนำกิ่งก้านของไม้อีกต้นหนึ่งออกไปจากตัวเอง เพื่อให้กิ่งก้านของตัวเองสวยสง่าโดดเด่น
วันหนึ่งไม้หนุ่มจอมยะโสก็เอ่ยท้าทายไม้หนุ่มจอมโอหังว่า
“ฤดูแล้งนี้เรามาต่อสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยดีกว่า ดูซิว่า กิ่งก้านของใคร จะแข็งแรงกว่ากัน”
ไม้หนุ่มจอมโอหังรับคำท้า เมื่อวันนัดมาถึงทั้งคู่จึงพยายามเบียดเสียดสีกิ่งไม้ของแต่ละฝ่ายที่เคยอยู่รวมกันให้แตกหักลง จนลำต้นของทั้งสองสั่นไหว และเปลือกไม้ของทั้งคู่หลุดร่อน ขณะนั้นเองก็ได้เกิดประกายไฟลุกไหม้ขึ้นตามกิ่งก้านสาขาของไม้แต่ละต้น แต่ไม้จอมยะโสและไม้จอมโอหังดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าภัยกำลังมาถึงตัวแล้ว และไม่ช้าประกายไฟก็รุนแรงขึ้น
เมื่อต้นไม้อื่นๆที่อยู่รอบบริเวณ เห็นดังนั้น ต่างพากันตระหนกตกใจ ร้องระงมกันลั่นป่า แต่ก็สายเกินไปที่จะแก้ไข เพราะไฟได้ลุกไหม้ต้นไม้ทั้งสองอย่างรวดเร็ว และลุกลามไปยังต้นไม้อื่นๆ
แต่โชคยังดี ก่อนที่ไฟจะไหม้ต้นไม้หมดป่า พายุฝนก็พัดกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ไฟดับ ภาพที่ปรากฏหลังฝนหยุดก็คือบรรดาตอไม้ที่ดำสนิท ไร้กิ่งก้านสาขา เหลือเพียงไม้ชราไม่กี่ต้นที่รอดจากการถูกเผา
“เป็นเพราะความไม่สามัคคีปรองดอง และต้องการชิงดีชิงเด่นกันแท้ๆ จึงทำให้พวกเราต้องกลายเป็นแบบนี้” ไม้ชรารำพึง
.....
การอาศัยอยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมีความเอื้ออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูล และมี ความรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้อยู่ร่วม กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข หากแตกความสามัคคี ชิงดีชิงเด่นกันเมื่อใด ภัยย่อม มาถึงตัวและหมู่คณะเมื่อนั้น
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย ไม้หอม)
ต้นไม้แต่ละต้นต่างเติบโตเต็มที่ จนกิ่งก้านสาขาเกาะเกี่ยวกันไปมา แต่ไม้ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหา ยกเว้นไม้หนุ่มจอมยะโสกับไม้หนุ่มจอมโอหังที่อยู่ติดกัน และกิ่งไม้ของแต่ละต้นก็เกี่ยวพันกัน ทั้งสองต่างเกิดความรู้สึกอึดอัด และต้องการนำกิ่งก้านของไม้อีกต้นหนึ่งออกไปจากตัวเอง เพื่อให้กิ่งก้านของตัวเองสวยสง่าโดดเด่น
วันหนึ่งไม้หนุ่มจอมยะโสก็เอ่ยท้าทายไม้หนุ่มจอมโอหังว่า
“ฤดูแล้งนี้เรามาต่อสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยดีกว่า ดูซิว่า กิ่งก้านของใคร จะแข็งแรงกว่ากัน”
ไม้หนุ่มจอมโอหังรับคำท้า เมื่อวันนัดมาถึงทั้งคู่จึงพยายามเบียดเสียดสีกิ่งไม้ของแต่ละฝ่ายที่เคยอยู่รวมกันให้แตกหักลง จนลำต้นของทั้งสองสั่นไหว และเปลือกไม้ของทั้งคู่หลุดร่อน ขณะนั้นเองก็ได้เกิดประกายไฟลุกไหม้ขึ้นตามกิ่งก้านสาขาของไม้แต่ละต้น แต่ไม้จอมยะโสและไม้จอมโอหังดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าภัยกำลังมาถึงตัวแล้ว และไม่ช้าประกายไฟก็รุนแรงขึ้น
เมื่อต้นไม้อื่นๆที่อยู่รอบบริเวณ เห็นดังนั้น ต่างพากันตระหนกตกใจ ร้องระงมกันลั่นป่า แต่ก็สายเกินไปที่จะแก้ไข เพราะไฟได้ลุกไหม้ต้นไม้ทั้งสองอย่างรวดเร็ว และลุกลามไปยังต้นไม้อื่นๆ
แต่โชคยังดี ก่อนที่ไฟจะไหม้ต้นไม้หมดป่า พายุฝนก็พัดกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ไฟดับ ภาพที่ปรากฏหลังฝนหยุดก็คือบรรดาตอไม้ที่ดำสนิท ไร้กิ่งก้านสาขา เหลือเพียงไม้ชราไม่กี่ต้นที่รอดจากการถูกเผา
“เป็นเพราะความไม่สามัคคีปรองดอง และต้องการชิงดีชิงเด่นกันแท้ๆ จึงทำให้พวกเราต้องกลายเป็นแบบนี้” ไม้ชรารำพึง
.....
การอาศัยอยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมีความเอื้ออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูล และมี ความรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้อยู่ร่วม กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข หากแตกความสามัคคี ชิงดีชิงเด่นกันเมื่อใด ภัยย่อม มาถึงตัวและหมู่คณะเมื่อนั้น
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย ไม้หอม)