ขุนนางสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่มีนิสัยต่างกันมาก คนหนึ่งเป็นคนที่มีเมตตากรุณาโอบอ้อมอารี ทำงานช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านมิได้หยุดหย่อน ชาวบ้านจึงเรียกด้วยความรักใคร่ว่า “ขุนนางใจดี” ส่วนอีกคนหนึ่งมีนิสัยดุร้าย อิจฉา ริษยา ไม่เคยช่วยเหลือใคร มีแต่คอยรีดไถเงิน วันๆก็ไม่เคยสนใจหรือเอาใจใส่ทุกข์ สุขของชาวบ้าน ผู้คนในเมืองจึงเรียกด้วยความเกลียดชังว่า “ขุนนางใจดำ”
ทุกๆวันจะมีชาวบ้านนำข้าวปลาอาหารผักผลไม้ มาให้ขุนนางใจดี และในเทศกาลต่างๆก็มีขนมประจำเทศกาลมาให้มากมาย ซึ่งขุนนางใจดีก็ได้นำขนมไปแบ่งปันให้เพื่อน ที่ไม่เคยได้รับอะไรเลย แต่แทนที่ขุนนางใจดำจะรู้สึกยินดีและขอบคุณเพื่อน เขากลับรู้สึกอิจฉาริษยา ที่เห็นผู้คนทั้งเมืองรักใคร่เพื่อนของตน เขาจึงคิดหาวิธีที่จะกำจัดเพื่อน เพื่อให้ชาวบ้านมารักเขา
วันหนึ่งขุนนางใจดำจึงออกอุบายชวนเพื่อนให้มาร่วมกินอาหารค่ำที่บ้านของตน หลังกินอาหารแล้ว ขุนนางใจดำจึงแสร้งทำทีชวนเพื่อนออกไปเดินเล่นใกล้บ่อน้ำที่มีจระเข้ดุร้ายอยู่ และผลักเพื่อนตกลงไปในบ่อ จนถูกจระเข้กัดตาย
วันรุ่งขึ้นเมื่อชาวบ้านไม่เห็นขุนนางใจดี ก็คิดว่าคงจะเดินทางไปนอกเมือง แต่หลายวันหลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววของเขา ชาวบ้านจึงคิดว่า ขุนนางใจดี เสียชีวิตแล้ว ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญถึงความดีที่ขุนนางคนนี้ได้ทำมา และร่วมกันทำรูปปั้นไว้กราบไหว้
ฝ่ายขุนนางใจดำเห็นเช่นนั้น ก็ไม่พอใจ จึงตะโกนใส่ชาวบ้านว่า
“เจ้าขุนนางคนนี้ไม่เห็นจะเก่งกาจอะไร แค่ตกลงไปในบ่อจระเข้ก็เอาตัวไม่รอดแล้ว ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...”
เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่า ผู้ที่ฆ่าขุนนางใจดี ก็คือขุนนางใจดำนี่เอง ทุกคนจึงพากันวิ่งกรูเข้ามาหาขุนนางใจดำ เพื่อจะจับตัวไปส่งทางการ ขุนนางใจดำ จึงรีบหนีไปบ้าน เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีชาวบ้านวิ่งตามมาติดๆ เมื่อจวนตัวเขาจึงกระโดดลงไปในบ่อน้ำโดยลืมว่ามีจระเข้อยู่ และเขาก็ตกเป็นอาหารของ จระเข้ในบ่อ ท่ามกลางเสียงตะโกนสาปแช่งด่าทอของชาวบ้าน
......
อันความดีที่ทำไว้เท่านั้นที่จะติดตัวคนเราไปทุกหนแห่ง คนดีย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญกราบไหว้แม้ในขณะมีชีวิตหรือไม่มีก็ตาม ตรงข้ามกับคนที่ ไม่เคยทำความดี แถมยังประกอบกรรมชั่วอยู่เสมอ ย่อมได้รับแต่คำตำหนิติว่า ขาดคนรักใคร่ แม้ตายไปก็ไม่มีใครสนใจที่จะระลึกนึกถึง เพราะไม่มีความดีใด ให้ระลึกได้เลย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยนิรา)
ทุกๆวันจะมีชาวบ้านนำข้าวปลาอาหารผักผลไม้ มาให้ขุนนางใจดี และในเทศกาลต่างๆก็มีขนมประจำเทศกาลมาให้มากมาย ซึ่งขุนนางใจดีก็ได้นำขนมไปแบ่งปันให้เพื่อน ที่ไม่เคยได้รับอะไรเลย แต่แทนที่ขุนนางใจดำจะรู้สึกยินดีและขอบคุณเพื่อน เขากลับรู้สึกอิจฉาริษยา ที่เห็นผู้คนทั้งเมืองรักใคร่เพื่อนของตน เขาจึงคิดหาวิธีที่จะกำจัดเพื่อน เพื่อให้ชาวบ้านมารักเขา
วันหนึ่งขุนนางใจดำจึงออกอุบายชวนเพื่อนให้มาร่วมกินอาหารค่ำที่บ้านของตน หลังกินอาหารแล้ว ขุนนางใจดำจึงแสร้งทำทีชวนเพื่อนออกไปเดินเล่นใกล้บ่อน้ำที่มีจระเข้ดุร้ายอยู่ และผลักเพื่อนตกลงไปในบ่อ จนถูกจระเข้กัดตาย
วันรุ่งขึ้นเมื่อชาวบ้านไม่เห็นขุนนางใจดี ก็คิดว่าคงจะเดินทางไปนอกเมือง แต่หลายวันหลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววของเขา ชาวบ้านจึงคิดว่า ขุนนางใจดี เสียชีวิตแล้ว ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญถึงความดีที่ขุนนางคนนี้ได้ทำมา และร่วมกันทำรูปปั้นไว้กราบไหว้
ฝ่ายขุนนางใจดำเห็นเช่นนั้น ก็ไม่พอใจ จึงตะโกนใส่ชาวบ้านว่า
“เจ้าขุนนางคนนี้ไม่เห็นจะเก่งกาจอะไร แค่ตกลงไปในบ่อจระเข้ก็เอาตัวไม่รอดแล้ว ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...”
เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่า ผู้ที่ฆ่าขุนนางใจดี ก็คือขุนนางใจดำนี่เอง ทุกคนจึงพากันวิ่งกรูเข้ามาหาขุนนางใจดำ เพื่อจะจับตัวไปส่งทางการ ขุนนางใจดำ จึงรีบหนีไปบ้าน เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีชาวบ้านวิ่งตามมาติดๆ เมื่อจวนตัวเขาจึงกระโดดลงไปในบ่อน้ำโดยลืมว่ามีจระเข้อยู่ และเขาก็ตกเป็นอาหารของ จระเข้ในบ่อ ท่ามกลางเสียงตะโกนสาปแช่งด่าทอของชาวบ้าน
......
อันความดีที่ทำไว้เท่านั้นที่จะติดตัวคนเราไปทุกหนแห่ง คนดีย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญกราบไหว้แม้ในขณะมีชีวิตหรือไม่มีก็ตาม ตรงข้ามกับคนที่ ไม่เคยทำความดี แถมยังประกอบกรรมชั่วอยู่เสมอ ย่อมได้รับแต่คำตำหนิติว่า ขาดคนรักใคร่ แม้ตายไปก็ไม่มีใครสนใจที่จะระลึกนึกถึง เพราะไม่มีความดีใด ให้ระลึกได้เลย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยนิรา)