หากนึกถึงเรื่องราวความภาคภูมิใจในชีวิต เชื่อแน่ว่าแต่ละคนต่างต้องมีความประทับใจอันแสนปลื้ม ปีติ ที่ทำให้หัวใจพองฟูทุกครั้งเมื่อได้ย้อนคิดถึงเช่นเดียวกับ ดี้ ‘นิติพงษ์ ห่อนาค’ ที่โลดแล่นผ่านท่วงทำนองของชีวิตนักแต่งเพลงมา 25 ปี และกว่า 300 บทเพลงจากปลายปากกา ถูกกลั่นออกมาจากประสบการณ์ในชีวิตหลายหลากมุมมอง ที่นอกจากมีความไพเราะเป็นการันตีแล้ว ยังสะท้อนแง่คิดที่ต้องการนำเสนอสู่สังคมด้วย
นิติพงษ์ในฐานะหัวเรือใหญ่ของค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกเล่าถึงเพลงสำคัญที่สุดในชีวิตที่ได้ประพันธ์ก็คือ เพลง ‘ต้นไม้ของพ่อ’ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ.2539, เพลง ‘ของขวัญจากก้อนดิน’ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 และล่าสุดเพลง ‘รูปที่มีทุกบ้าน’ เพื่อเฉลิม พระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
นับเป็นการแต่งเพลงที่ต้องระดมมันสมองทั้งหมดของตัวเองที่มีอยู่ เพื่อให้ครอบคลุม และบ่งบอกสัญลักษณ์อันสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้า-อยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่เปรียบมิได้
“การทำงานเพลงถวายพระองค์ท่านในมุมของเรา ก็เป็นสิ่งทำให้ค่อนข้างหนักใจตรงที่ปกติเป็นคนเขียนเพลงที่ใช้ภาษาชาวบ้านธรรมดา ภาษาตลาด เพื่อสื่อสารให้คนรู้เรื่อง เข้าใจง่าย ต้องการถ่ายทอดด้วยเจตนาที่ดีด้วยความบริสุทธิ์ ใจ ก็เหมือนชาวบ้านซื่อๆคนหนึ่งที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมา ตั้งใจไว้ว่าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะพูดถึงพระองค์ท่านโดยตรง แต่เป็น ในลักษณะของการเล่าเรื่องให้ประชาชนคนไทยฟังว่า พระองค์ท่านเป็นอย่างไร พระองค์ทรงทำอะไร
และในปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ท่านทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา เพลง ‘รูปที่มีทุกบ้าน’ มีแนวความคิดมา จากตัวเองที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบไหน ขอให้เป็นบ้านคนไทยรับรองต้องมีแน่นอน เพราะทุกคนรักพระองค์ท่าน เวลาจะทำอะไรก็มองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์สักหน่อย จะได้รู้ว่า ควรจะทำตัวอย่างไร จะได้มีกำลังใจ มีการยับยั้งชั่งใจบ้าง ก็เลยได้ความคิดว่าจะแต่งเพลงที่ชื่อว่ารูป ที่มีทุกบ้าน” นักแต่งเพลงรุ่นเก๋าบอกแรงบันดาลใจ
เขายังได้บอกเล่าถึงรูปที่มีทุกบ้านในความทรงจำของตัวเองว่า ตอนสมัยเด็กๆ พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ส่วนใหญ่เป็นภาพขาว-ดำ เป็นรูปสมัยทรงครองราชย์ใหม่ๆ พระพักตร์ตรง สวมพระมาลา ตอนนั้นทรงเป็นยุวกษัตริย์ ต่อมาย้ายบ้านบ่อยก็มีภาพใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม ส่วนใหญ่จะเป็น ปฏิทิน จนทุกวันนี้ที่บ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านจำนวนมาก ประดับอยู่เกือบทุกมุมของบ้าน ถ้าพูด อย่างภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าเป็นแฟนคลับของพระองค์ท่าน ล่าสุดก็ได้ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ วาดโดยศิลปินท่านหนึ่งเป็นลิมิเต็ด พริ้นท์บนผ้าใบ ซึ่งอัญเชิญไว้ในห้องพระ
พระองค์ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมดวงใจ ของคนไทยทั้งมวล แต่ยังทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ว่าประชาชนจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารสักแค่ไหน พระองค์ก็เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน ก่อให้เกิดโครงการตามพระราชดำริ ซึ่งเป็นประโยชน์สุขอันยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่ปวงพสกนิกรทุกหัวระแหง
“ความหมายของ ‘พ่อของแผ่นดิน’ นั้นมีมากมายจนหยิบ ยกมาตอบไม่ถูก แต่แบบอย่างที่ได้เห็นจากพระองค์ท่านอยู่เสมอ จนจำได้ติดใจ คือ ความเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง ของพระบรมราโชวาท กับการทรงงานหนักอย่างจริงจัง ทรงทราบจริงถึงรายละเอียดในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ ผมพยายามทำตามแบบอย่างพระองค์ท่านอยู่เหมือนกันครับ แต่คิดว่ายังไม่ได้สักเสี้ยว หนึ่งเลย” นิติพงษ์ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อพ่อของแผ่นดิน
ดังนั้น พระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นทั้งมงคลสูงสุด และเป็นคำสั่งสอนที่ทุกคนต้องจดจำไว้ชั่วชีวิต
“ผมก็คงเหมือนกับหลายล้านคนในประเทศนี้ ที่ได้รับพระราชดำรัส
มาเก็บไว้ใส่เกล้า เป็นทั้งมงคล เป็นทั้งคำสั่งสอนให้รู้เรื่อง และรู้สำนึก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแข่งขัน ‘เกินเหตุ’ ความอยากเอาชนะ อยากได้ ‘เกินควร’ ของระบบทุน นิยมปัจจุบัน แต่ก็ได้เพียงเก็บไว้ในใจ เกรงว่าจะถูกหาว่าเป็นพวกไม่รู้จักก้าวหน้า ไม่สร้างสรรค์
พอได้ยินพระราชดำรัสแนวคิด ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ก็ยกมือท่วมหัวว่า เป็นบุญนักที่ในหลวงท่านทรงไม่เห็นด้วยกับความ ‘เกินเหตุ’ และก็ทำให้ผู้คนมากมายได้ข้อคิด และกระทำตาม แต่ก็มีหลายคนตีความ ‘พอเพียง’ ไปต่างๆ นานาๆ ท้ายที่สุดภาพออกมาดูคล้ายกับว่า ความ ‘พอเพียง’ คือ การยอมรับในความ ‘ยากจน’ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะพระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“พอเพียงนี้อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติงานก็พอเพียง ...ฉะนั้น ความพอเพียงนี้ก็แปลว่าความพอประมาณและความมีเหตุผล...”
ผมยึดแนวพระราชดำรัสนี้ครับ และพยายามทำตามให้ได้ให้มากที่สุด” ชายหนุ่มบอกหลักยึดในชีวิต
นอกจากนี้เขายังบอกเล่าเรื่องราวในฐานะที่เคยเป็นลูกของพ่อ รวมถึงบทบาทเมื่อได้เป็นพ่อของลูกอย่างน่าสนใจว่า
“จากวัยเด็กเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน คนไทยส่วนใหญ่โดย เฉพาะต่างจังหวัด ยังใช้สุภาษิต ‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’ อยู่ ไม่ค่อยแสดงความรักต่อลูกแบบฝรั่งมากนัก ไม่ค่อยจะพูด คำว่ารัก ไม่ค่อยมีกอด มีหอมแก้มอย่างสมัยใหม่นี้ บ้านไหนลูกโตแล้วยังกอดยังหอม ดูจะเป็นเรื่องไม่คุ้นตา ดูเคอะเขิน
แต่ในขณะเดียวกัน ลูกแบบผมก็ไม่เคยเถียงพ่อเถียงแม่ฉอดๆ แบบเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่สไตล์อเมริกันทุกวันนี้ บ้านผมพี่น้องแปดคน ก็ไม่เคยรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือรักลูกคนไหนมากกว่าคนไหน อาจจะเนื่องจากความลำบากยากจนแต่ไม่ยากแค้น พ่อก็ใช้สถานการณ์แต่ละครั้งเป็นตัวช่วยสอนลูกๆมาตลอด
สมัยนี้ เห็นจะใช้วิธีแสดงความรักแบบพ่อผมคงไม่ได้ เพราะรอบตัวลูก พ่อแม่สมัยใหม่ มักแสดงความรักต่อลูกอย่างใกล้ชิดเสมอๆ พ่อแม่คนไหนที่ทำท่าเหมือนสมัยพ่อแม่ผม คงจะเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกมีปมด้อย ขาดแคลนสิ่งที่ เพื่อนๆรอบข้างเขาได้รับกัน ผมก็กอดลูกผม พร้อมกับกอด แม่เขาด้วยไปพร้อมๆกันทุกๆวันไม่ขาด
การสอนให้รู้จักสิ่งใดควรหรือไม่ควร ก็จำจากที่พ่อสอน มาทั้งทางตรงทางอ้อม คือการปฏิบัติตัวของพ่อที่ไม่ทำอะไรให้ใครเขา ‘นินทาเอาได้’ คือ ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทำร้าย ใคร และมีเมตตาต่อคนอื่นๆ
เพียงแต่วิธีการของผมในสมัยนี้ ไม่เหมือนของพ่อ สมัยนี้ต้องเป็นเพื่อนกับลูกมากขึ้น เคารพซึ่งกันและกัน แม้เขาจะอายุห้าหกขวบ ใช้เหตุใช้ผล ยอมฟังคำเถียงของลูกอย่าง ใส่ใจ แล้วอธิบาย หรือถ้าผมผิด ก็จะขอโทษลูก”
แฟมิลี่แมนบอกบทสรุปความเป็นพ่อจากอดีตถึงปัจจุบัน
ตามแบบฉบับของตัวเองที่ใช้ตำราการให้ความรักและตำราการสอนลูกเล่มเดียวกัน หากแต่วิธีการและเครื่องมือช่วยการสอนแตกต่างกันเท่านั้นเอง
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 85 ธ.ค. 50 โดยนันทยา)
นิติพงษ์ในฐานะหัวเรือใหญ่ของค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกเล่าถึงเพลงสำคัญที่สุดในชีวิตที่ได้ประพันธ์ก็คือ เพลง ‘ต้นไม้ของพ่อ’ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ.2539, เพลง ‘ของขวัญจากก้อนดิน’ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 และล่าสุดเพลง ‘รูปที่มีทุกบ้าน’ เพื่อเฉลิม พระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
นับเป็นการแต่งเพลงที่ต้องระดมมันสมองทั้งหมดของตัวเองที่มีอยู่ เพื่อให้ครอบคลุม และบ่งบอกสัญลักษณ์อันสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้า-อยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่เปรียบมิได้
“การทำงานเพลงถวายพระองค์ท่านในมุมของเรา ก็เป็นสิ่งทำให้ค่อนข้างหนักใจตรงที่ปกติเป็นคนเขียนเพลงที่ใช้ภาษาชาวบ้านธรรมดา ภาษาตลาด เพื่อสื่อสารให้คนรู้เรื่อง เข้าใจง่าย ต้องการถ่ายทอดด้วยเจตนาที่ดีด้วยความบริสุทธิ์ ใจ ก็เหมือนชาวบ้านซื่อๆคนหนึ่งที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมา ตั้งใจไว้ว่าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะพูดถึงพระองค์ท่านโดยตรง แต่เป็น ในลักษณะของการเล่าเรื่องให้ประชาชนคนไทยฟังว่า พระองค์ท่านเป็นอย่างไร พระองค์ทรงทำอะไร
และในปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ท่านทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา เพลง ‘รูปที่มีทุกบ้าน’ มีแนวความคิดมา จากตัวเองที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบไหน ขอให้เป็นบ้านคนไทยรับรองต้องมีแน่นอน เพราะทุกคนรักพระองค์ท่าน เวลาจะทำอะไรก็มองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์สักหน่อย จะได้รู้ว่า ควรจะทำตัวอย่างไร จะได้มีกำลังใจ มีการยับยั้งชั่งใจบ้าง ก็เลยได้ความคิดว่าจะแต่งเพลงที่ชื่อว่ารูป ที่มีทุกบ้าน” นักแต่งเพลงรุ่นเก๋าบอกแรงบันดาลใจ
เขายังได้บอกเล่าถึงรูปที่มีทุกบ้านในความทรงจำของตัวเองว่า ตอนสมัยเด็กๆ พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ส่วนใหญ่เป็นภาพขาว-ดำ เป็นรูปสมัยทรงครองราชย์ใหม่ๆ พระพักตร์ตรง สวมพระมาลา ตอนนั้นทรงเป็นยุวกษัตริย์ ต่อมาย้ายบ้านบ่อยก็มีภาพใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม ส่วนใหญ่จะเป็น ปฏิทิน จนทุกวันนี้ที่บ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านจำนวนมาก ประดับอยู่เกือบทุกมุมของบ้าน ถ้าพูด อย่างภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าเป็นแฟนคลับของพระองค์ท่าน ล่าสุดก็ได้ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ วาดโดยศิลปินท่านหนึ่งเป็นลิมิเต็ด พริ้นท์บนผ้าใบ ซึ่งอัญเชิญไว้ในห้องพระ
พระองค์ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมดวงใจ ของคนไทยทั้งมวล แต่ยังทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ว่าประชาชนจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารสักแค่ไหน พระองค์ก็เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน ก่อให้เกิดโครงการตามพระราชดำริ ซึ่งเป็นประโยชน์สุขอันยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่ปวงพสกนิกรทุกหัวระแหง
“ความหมายของ ‘พ่อของแผ่นดิน’ นั้นมีมากมายจนหยิบ ยกมาตอบไม่ถูก แต่แบบอย่างที่ได้เห็นจากพระองค์ท่านอยู่เสมอ จนจำได้ติดใจ คือ ความเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง ของพระบรมราโชวาท กับการทรงงานหนักอย่างจริงจัง ทรงทราบจริงถึงรายละเอียดในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ ผมพยายามทำตามแบบอย่างพระองค์ท่านอยู่เหมือนกันครับ แต่คิดว่ายังไม่ได้สักเสี้ยว หนึ่งเลย” นิติพงษ์ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อพ่อของแผ่นดิน
ดังนั้น พระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นทั้งมงคลสูงสุด และเป็นคำสั่งสอนที่ทุกคนต้องจดจำไว้ชั่วชีวิต
“ผมก็คงเหมือนกับหลายล้านคนในประเทศนี้ ที่ได้รับพระราชดำรัส
มาเก็บไว้ใส่เกล้า เป็นทั้งมงคล เป็นทั้งคำสั่งสอนให้รู้เรื่อง และรู้สำนึก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแข่งขัน ‘เกินเหตุ’ ความอยากเอาชนะ อยากได้ ‘เกินควร’ ของระบบทุน นิยมปัจจุบัน แต่ก็ได้เพียงเก็บไว้ในใจ เกรงว่าจะถูกหาว่าเป็นพวกไม่รู้จักก้าวหน้า ไม่สร้างสรรค์
พอได้ยินพระราชดำรัสแนวคิด ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ก็ยกมือท่วมหัวว่า เป็นบุญนักที่ในหลวงท่านทรงไม่เห็นด้วยกับความ ‘เกินเหตุ’ และก็ทำให้ผู้คนมากมายได้ข้อคิด และกระทำตาม แต่ก็มีหลายคนตีความ ‘พอเพียง’ ไปต่างๆ นานาๆ ท้ายที่สุดภาพออกมาดูคล้ายกับว่า ความ ‘พอเพียง’ คือ การยอมรับในความ ‘ยากจน’ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะพระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“พอเพียงนี้อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติงานก็พอเพียง ...ฉะนั้น ความพอเพียงนี้ก็แปลว่าความพอประมาณและความมีเหตุผล...”
ผมยึดแนวพระราชดำรัสนี้ครับ และพยายามทำตามให้ได้ให้มากที่สุด” ชายหนุ่มบอกหลักยึดในชีวิต
นอกจากนี้เขายังบอกเล่าเรื่องราวในฐานะที่เคยเป็นลูกของพ่อ รวมถึงบทบาทเมื่อได้เป็นพ่อของลูกอย่างน่าสนใจว่า
“จากวัยเด็กเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน คนไทยส่วนใหญ่โดย เฉพาะต่างจังหวัด ยังใช้สุภาษิต ‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’ อยู่ ไม่ค่อยแสดงความรักต่อลูกแบบฝรั่งมากนัก ไม่ค่อยจะพูด คำว่ารัก ไม่ค่อยมีกอด มีหอมแก้มอย่างสมัยใหม่นี้ บ้านไหนลูกโตแล้วยังกอดยังหอม ดูจะเป็นเรื่องไม่คุ้นตา ดูเคอะเขิน
แต่ในขณะเดียวกัน ลูกแบบผมก็ไม่เคยเถียงพ่อเถียงแม่ฉอดๆ แบบเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่สไตล์อเมริกันทุกวันนี้ บ้านผมพี่น้องแปดคน ก็ไม่เคยรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือรักลูกคนไหนมากกว่าคนไหน อาจจะเนื่องจากความลำบากยากจนแต่ไม่ยากแค้น พ่อก็ใช้สถานการณ์แต่ละครั้งเป็นตัวช่วยสอนลูกๆมาตลอด
สมัยนี้ เห็นจะใช้วิธีแสดงความรักแบบพ่อผมคงไม่ได้ เพราะรอบตัวลูก พ่อแม่สมัยใหม่ มักแสดงความรักต่อลูกอย่างใกล้ชิดเสมอๆ พ่อแม่คนไหนที่ทำท่าเหมือนสมัยพ่อแม่ผม คงจะเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกมีปมด้อย ขาดแคลนสิ่งที่ เพื่อนๆรอบข้างเขาได้รับกัน ผมก็กอดลูกผม พร้อมกับกอด แม่เขาด้วยไปพร้อมๆกันทุกๆวันไม่ขาด
การสอนให้รู้จักสิ่งใดควรหรือไม่ควร ก็จำจากที่พ่อสอน มาทั้งทางตรงทางอ้อม คือการปฏิบัติตัวของพ่อที่ไม่ทำอะไรให้ใครเขา ‘นินทาเอาได้’ คือ ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทำร้าย ใคร และมีเมตตาต่อคนอื่นๆ
เพียงแต่วิธีการของผมในสมัยนี้ ไม่เหมือนของพ่อ สมัยนี้ต้องเป็นเพื่อนกับลูกมากขึ้น เคารพซึ่งกันและกัน แม้เขาจะอายุห้าหกขวบ ใช้เหตุใช้ผล ยอมฟังคำเถียงของลูกอย่าง ใส่ใจ แล้วอธิบาย หรือถ้าผมผิด ก็จะขอโทษลูก”
แฟมิลี่แมนบอกบทสรุปความเป็นพ่อจากอดีตถึงปัจจุบัน
ตามแบบฉบับของตัวเองที่ใช้ตำราการให้ความรักและตำราการสอนลูกเล่มเดียวกัน หากแต่วิธีการและเครื่องมือช่วยการสอนแตกต่างกันเท่านั้นเอง
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 85 ธ.ค. 50 โดยนันทยา)