xs
xsm
sm
md
lg

ทรงพระเจริญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"...พรที่ให้ส่วนมากก็ขอให้ทรงพระเจริญ ซึ่งหมายถึงว่าให้มีผิวพรรณงาม มีความแข็งแรง มีอายุยืน แล้วโดยมากก็มักจะต่อด้วยว่าให้มีอายุยืน เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้ให้พร คือให้มีอายุยืนเพื่อปกป้องเขา ก็จะต้องสนองตอบตามคำที่คล้ายๆคำสั่ง ที่มาสั่งให้อายุยืนเพื่อปกป้องเขา ออกจะน่าขันว่าทำไม เขาให้พร แล้วทำไมรับพรที่เขาให้ ให้อายุยืน ความจริง คนเราถ้ามีชีวิตอยู่โดยมีความสุข ก็อยากอายุยืน เพราะอยากเสวยสุข ถ้ามีความทุกข์ บางคนก็บอกว่าอยากตาย ดังนั้น ถ้าบอกกับคนที่มีความทุกข์ว่าให้อายุยืน เขาไม่ชอบแน่ แต่การให้พรที่มาขอให้แข็งแรง ให้อายุยืน เพื่อให้ช่วยปกป้อง ให้เป็นมิ่งขวัญ ของผู้ให้พรนั้นมีความหมายอยู่ คือมีความหมายว่า ทุกคนอยากจะทำดี แต่ไม่ทราบว่าจะทำดีอย่างไร ก็เลยมาเหมาให้ปกป้อง...

เมื่อทราบว่าทุกคนจะมาให้พร ก็อยากให้พรที่ให้นั้นเป็นผล เป็นผลจริงๆ เป็นผลให้มีอนามัยแข็งแรง เป็นผลให้มีอายุยืน และที่พูดนี้ก็คล้ายๆเป็นคู่มือในการใช้ พรหรือการให้พร เพราะว่าการให้พรนั้น ถ้าให้โดยที่ไม่ได้เข้าใจคำที่ให้พร ก็เท่ากับไม่ได้ให้ ฉะนั้นการที่ทุกคนได้ให้พรให้แข็งแรง ให้อายุยืนนั้น จึงไม่ใช่สักว่าพูดออกมาหรือเขียนออกมา...แต่ว่าเป็นการปฏิบัติของ แต่ละคนที่จะต้องปฏิบัติต่อไปให้เหมาะสม เพื่อที่จะรักษาให้ทุกคน...ได้มีชีวิตเป็นส่วนรวม โดยเฉพาะชาติไทยอยู่ได้...ทุกคนต้องช่วยกันปฏิบัติ ทุกคนต้องปฏิบัติตลอดไป เพื่อรักษาความเรียบร้อย อุ้มชูส่วนรวม ให้มีความปลอดภัย ให้มีความดีอยู่ มีความเสื่อมเสียที่ไหน เราพยายามแก้ที่นั้น จึงจะเรียกว่าเป็นการถวาย พระพรให้ทรงพระเจริญ ถ้าทำอย่างนั้น พรนั้นจะเป็น ประโยชน์ พรนั้นจะสัมฤทธิ์ผล และถ้าพรนั้นสัมฤทธิ์ผล ก็สะท้อนไปถึงแต่ละคน เพราะว่าแต่ละคนที่ทำดีตามคู่มือที่ว่าไว้นี้ ย่อมเจริญและมีความสำเร็จในชีวิต...”


พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๒ ที่อัญเชิญมานี้ มุ่งหวังพสกนิกร ผู้ปรารถนาจะถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ตระหนักและรู้วิธีปฏิบัติในการถวายพระพรตามพระราชดำริ เพื่อถวายสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลแด่พระองค์ ในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา

การปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลในการให้พร ต้องอาศัยสามัญสำนึกของความเป็นคนดีในจิตใจ คนดีมีสิ่งใดเป็น เครื่องหมายแสดงให้ผู้อื่นได้รับรู้ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทวมหาเถระ) ทรงพระนิพนธ์เป็นภาษิตว่า ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี

ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมที่สังคมตะวันออกยกย่อง และสั่งสอนลูกหลานให้ปฏิบัติเป็นจารีตประเพณีสืบต่อกันมา

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องบุรพการีชน และบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทีว่าเป็นบุคคลหาได้ยากในโลก บุรพการีชน หมายถึง บุคคลผู้กระทำอุปการะก่อน เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ พระมหากษัตริย์ พระพุทธเจ้า เป็นต้น กตัญญู หมายถึงการระลึกรู้ถึงคุณ อันผู้อื่นได้กระทำแล้วต่อตน กตเวที หมายถึงการกระทำเพื่อตอบแทนพระคุณท่านผู้เป็นบุรพการีชนของตน

พระพุทธองค์ทรงอธิบายความนี้ไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัดและท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละการกระทำอย่างนั้น ยังไม่ ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือ ทำตอบแทนแล้วแก่มารดา บิดาเลย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดา บิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา”

ใน สรภังคชาดก มีคาถายกย่องความกตัญญู-กตเวทีว่า “บุคคลใดแลเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมีความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียกบุคคลเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ”

ใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โศภนวรรคที่ ๒ ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑ ความเป็นคนกตัญญูกตเวที ๑ เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ ฯ”

ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที ก็ความเป็นคน กตัญญูกตเวทีนี้ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีทั้งหมดนี้เป็นภูมิสัตบุรุษ”

ในประเทศไทย พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจ สูงสุดในแผ่นดิน ทรงเป็นประมุข และศูนย์รวมจิตใจชาวไทย ดูแลราษฎรให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ทำนุบำรุง ศาสนาให้รุ่งเรือง ทรงมีฐานะเหนือกว่าคนสามัญทั่วไป ทรงเป็น “ธรรมราชา” ด้วยทรงปฏิบัติตามทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตร อันเป็นราชธรรมในการปกครองบ้านเมือง ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุข ของพสกนิกร ดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงบำเพ็ญมาตลอดรัชสมัย ทำให้ พระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทรงเป็นบุรพการีชนของพสกนิกร ความกตัญญูกตเวทีที่พสกนิกรจะปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ ก็คือ “ความจงรักภักดี” ความจงรักภักดี หมายถึง การผูกใจรักด้วยความเคารพนับถือหรือ รู้คุณอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบาย ความจงรักภักดีในบทพระราชนิพนธ์ เรื่อง หลักราชการ ดังนี้
“ความจงรักภักดี นี้เป็นคุณวิเศษอัน ๑ ซึ่งได้มีผู้อธิบายมามากแล้วเป็นอเนกประการและด้วยนัยต่างๆ นานา เพราะฉะนั้น ในที่นี้ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวให้ยืดยาว และถ้าจะกล่าวให้ยืดยาวไปก็คงจะต้องซ้ำข้อความที่ใครๆ ได้กล่าวมาแล้วบ้าง แต่ครั้นจะไม่กล่าวถึงเสีย ทีเดียว ก็จะเป็นการบกพร่องไป เพราะความจงรักภักดีย่อมเป็นคุณอันวิเศษอัน ๑ ซึ่งพึงแสวงในตัวบุคคลที่จะได้รับมอบให้กระทำการในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาคนแล้วก็ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งขึ้น

ความจงรักภักดี แปลว่ากระไร? แปลว่า “ความยอม สละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน” คือถึงแม้ว่าตนจะต้อง ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ ตกระกำลำบากหรือจนถึง ต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด ก็ยอมได้ทั้งสิ้น เพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้มีแก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ผู้ที่จะยอมเสียสละเช่นนี้ได้โดยมิได้รู้สึกเสียดายเลย ต้องเป็นผู้ที่ถึงแล้วซึ่งความรุ่งเรืองชั้นสูง จึงจะเข้าใจซึมซาบว่าตนของตนนั้น แท้จริงเปรียบเหมือนปรมาณู ผงก้อนเล็กนิดเดียว ซึ่งเป็นส่วน ๑ แห่งภูเขาใหญ่ อันเราสมมตินามเรียกว่าชาติ และถ้าชาติของเราแตกสลาย ไปเสียแล้ว ตัวเราผู้เป็นผงก้อนเดียวนั้นก็จะต้องล่องลอย ตามลมไป สุดแท้แต่ลมจะหอบไปทางไหน เมื่อเข้าใจเช่นนี้โดยแน่ชัดแล้ว จึงจะเข้าใจได้ว่า แท้จริงราคาของตนนั้นที่มีอยู่แม้แต่เล็กน้อยปานใด ก็เพราะอาศัยเหตุที่ยังคงเป็นส่วน ๑ แห่งชาติ ซึ่งยังเป็นเอกราชไม่ต้องเป็นข้าใครอยู่เท่านั้น และเพื่อเหตุฉะนี้ ผู้ที่เข้าใจจริงแล้วจึงไม่รู้สึกเลยว่า การเสียสละส่วนตัวใดๆ จะเป็นข้อควรเป็นห่วงแหน นี้เป็นความจงรักภักดีแท้จริง และความจงรักภักดีแท้จริงนี้เอง คือความรักชาติซึ่งคนไทยสมัยใหม่พอใจพูดอยู่จนติดปาก แต่ซึ่งหาผู้เข้าใจ ซึมทราบจริงได้น้อยนัก”

บรรพชนไทยมุ่งหวังให้ข้าราชการได้ตระหนักในความจงรักภักดี จึงกำหนดให้มีพิธีถือน้ำสาบาน ถือเป็น พิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ กระทำต่อหน้าพระพักตร์พระมหากษัตริย์ เพื่อแสดงความจงรักภักดี โดยทำพิธีให้น้ำศักดิ์สิทธิ์ (น้ำพิพัฒน์สัตยา) ด้วยการอ่านโองการแช่งน้ำ แล้วแทง อาวุธลงในน้ำ ให้บรรดาผู้ที่ทำพิธีดื่มน้ำสาบานตน ผู้ที่ถือน้ำในพิธีดื่มน้ำสาบานได้แก่ข้าราชการประจำ ศัตรูที่เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทหารที่ถืออาวุธ การถือน้ำของข้าราชการประจำทำปีละ ๒ ครั้ง คือในเดือนห้า ขึ้น ๓ ค่ำ และในเดือนสิบ แรม ๑๓ ค่ำ พิธีนี้สืบต่อ มาและยกเลิกไปใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ในรัชสมัยปัจจุบันกำหนดให้มีการพิธีนี้ในการพระราชทานเครื่องราชอิสริ-ยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี

ในตอนท้ายโองการแช่งน้ำ มีบทอำนวยพรว่า “พระเจ้า แผ่นดินทรงมีอำนาจเต็ม ถึงสวรรค์เท่าเทวดา พระยศแผ่ไปทั้งสามโลก พระองค์พระราชทานขวัญและกำลังใจ ให้ผู้ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดี ด้วยการพระราชทานเมือง ยศถาบรรดาศักดิ์ ช้างม้าวัวควาย แก้วแหวนเงินทอง เพิ่มความเจริญรุ่งเรืองให้เขาเหล่านั้นอีกมากมาย ขอให้ผู้ที่สัตย์ซื่ออย่าได้มีอันตราย ให้คุณความดีแผ่กระจายไป เป็นสิริมงคลแก่วงศ์ตระกูล ได้รับพระราชทานผู้หญิง ควายที่มีทองประดับ ให้เทวดา และพระเจ้าแผ่นดินทรงรับรู้โดยเร็ว ให้ได้รับพระราชทาน เงินทองเต็มเรือ ยศ ขอให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ถูกฉกตัวไปสู่สวรรค์หลังจากตาย ให้โลกทั้งสามดำรงอยู่ ขอเทวดาบันดาลให้ผู้ที่สัตย์ซื่อมียศสูงๆ ขึ้น และมีใจกล้าแข็งดัง เพชร ขอให้สมเด็จพระรามาธิบดีผู้ทรงปกครองแผ่นดินสืบมาทรงมีความสุข ขอให้ทรงนำความสุขสมบูรณ์ มาให้แก่ประเทศยิ่งๆ ขึ้นไป”

คนที่มีความจงรักภักดี ด้วยกาย การกระทำ ด้วยวาจา การพูด และด้วยใจ การคิด ย่อมจะเป็นคนดี เป็น คนมีสามัญสำนึกแห่งกตัญญูกตเวที เป็นบุคคลที่หาได้ยาก ดังนั้นในฐานะพสกนิกรที่ดี ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีความจงรักภักดีที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นแรงจูงใจให้คนรอบข้างได้บำเพ็ญตนเป็นผู้มีความจงรักภักดี อันจะทำให้เกิดคนดีเพิ่มขึ้น
ในสังคมไทย การบำเพ็ญตนให้มีความจงรักภักดีได้ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สนองพระราชดำริตามพระราชดำรัสที่พระราชทาน เมื่อวันพุธ ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯความว่า

“...เมื่อประชากรอาจจะเพิ่มขึ้นไปอีก อย่าให้คนไม่ดี เพิ่มขึ้น ให้คนดีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนไม่ดี จะทำให้อนาคตแจ่มใส...ถ้าเราตั้งใจ เราระมัดระวังตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ทำอะไรที่เรียกว่าดี เชื่อว่าใน ๕๐ ปี เมื่อเรามาพบกัน จะมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี เมื่อมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี สังคมไทยย่อมจะสบายกว่า และแต่ละคนจะสบายกว่า

ปัญหามีอยู่ว่า คำว่า “ดี” คืออะไร ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์ศัพท์ว่า “ดี” คือคำว่า “ดี” นี่มันสั้นๆ รู้สึกว่าจะเป็นคำที่สั้นสุดในภาษา อาจจะไม่สั้นที่สุด ยังมีคำที่สั้นกว่า แต่อย่างไรก็สั้นมาก ใครจะมาวิเคราะห์คำนี้ได้ รู้สึกว่ายาก เพราะว่าแต่ละคนก็นึกว่าดี แต่ไม่แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดคร่าวๆ ความดี คนก็เข้าใจ แต่จะบอกว่าเป็นอะไรยาก ความดีคืออะไรที่ทำ ให้เรามีความสงบความสุขใจแท้ๆ เป็นผลดี คนที่ไม่ดี เรียกว่าคนเลว คำว่าเลวนี่ก็ยาวกว่าหน่อย คนเลวก็ไม่รู้ จะวิเคราะห์ว่าอะไร

คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่าคนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดี เข้มแข็งในความดี จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลว ยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี คนเลวมิได้อยาก ให้คนอื่นเลว เพราะว่าถ้าคนอื่นเลว คนเลวนั้นแหละจะเดือดร้อน เขารู้ดีว่าถ้าคนเลวทำให้คนอื่นเลว ก็หมาย ความว่าคนนั้นจะเบียดเบียนตัวเขาเอง ก็คือเบียดเบียน คนที่เลวทำให้ยิ่งแย่เข้า ไม่มีใครอยาก ฉะนั้นที่มีความ หวังว่าอีก ๕๐ ปีข้างหน้านี่ จำนวนคนเลวจะน้อยกว่าคนดี เพราะว่าคนเลวจะทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก ส่วนคนดีจะทำให้คนเลวเป็นคนดี ก็ไม่พ้นวิสัยทำได้ จึงมีหวังว่า อนาคตจะแจ่มใส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องให้คน ในสังคมนี้มีความตั้งใจ ถ้าไม่มีความตั้งใจแล้ว ก็เชื่อว่า ตัวคนดีจะกลายเป็นคนเลวด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมา ชักชวน มันก็เลวไป ก็ลงเหวลงนรก...คนดีชนะคนไม่ดีได้ แต่ยากพอใช้ เพราะว่ามีคนมากขึ้น ความต้องการ ของคนก็มากขึ้น การพัฒนาขึ้นมาไม่ทันกับการพัฒนาของประชากร...อันนี้ก็ขอฝากความคิดอันนี้ไว้ เพราะว่า เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าสักที่จะให้มีความรู้ทางเทคโนโลยีมาก ไม่พอ ต้องมีความเป็นคน คนดี รวมความแล้วว่า ต้อง อบรมบ่มนิสัยให้ได้ ก็ต้องหาวิธีที่จะทำ...”


มหามงคลสมัยที่พสกนิกรไทยทุกคนจะร่วมกันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรที่จะทำตนให้เป็นคนดี มีความจงรักภักดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ด้วยการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต และช่วยกันดูแลให้ถิ่นที่อยู่มีความสงบ เปี่ยมด้วยความสามัคคี เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความจงรักภักดี และเป็นพสกนิกรผู้เคารพนับถืออย่างยิ่ง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สุดย่อมทราบ พระราชประสงค์ที่แฝงอยู่ในพระราชดำรัส วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ ความว่า

“ความปรารถนาดี ที่จะให้เกิดความสุขสวัสดีแก่ข้าพเจ้านั้น จะสำเร็จได้ด้วยความพร้อมเพรียงและความสามารถของท่านทั้งปวง ที่จะร่วมกันบริหารงานของบ้านเมืองให้คงมีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็น ปกติสุข เพราะบ้านเมืองเป็นที่อาศัยของบุคคล บุคคลจะมีความสวัสดีได้ ก็ตราบเท่าที่ประเทศชาติยังมีความ มั่นคงปลอดภัยอยู่เท่านั้น”
เมื่อถวายพระพรว่า “ทรงพระเจริญ” ก็จักมีความภูมิใจว่าได้บำเพ็ญตนเป็นคนดีโดยแท้

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 85 ธ.ค. 50 โดยปภาโสภิกฺขุ (โต))
กำลังโหลดความคิดเห็น