มรรคสมังคี
ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมอบรมอุดหนุนกันและกันให้เป็นไป ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิตให้วิมุตติหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายได้ในที่สุด และกล่าวอีกอย่างหนึ่งปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมศีล ต่างอบรมอาศัยกันและกันดังนี้ขึ้นไป เป็นอันว่าผู้ปฏิบัติธรรมพึงปฏิบัติทั้ง 3 อย่าง ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสามนี้เป็นมรรคสมังคี ความพร้อมเพรียงกันของมรรค จึงอบรมจิตให้บรรลุวิมุตติ ได้ในที่สุด ปัญญาอบรมจิตนั้น ก็อบรมจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย เพราะปัญญาเห็นธรรมที่เป็นสัจจะอันมีอยู่ในจิตนั้นเอง ก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จิตจึงจะบรรลุถึงความหลุดพ้นที่เป็นวิมุตติ ตามภูมิตามชั้นขึ้นไป ปัญญาที่เห็นธรรม นี้จะกล่าวว่าเห็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดั่งนี้ก็ได้ จะกล่าวว่าเห็นอริยสัจจ์ทั้งสี่ก็ได้เหมือนกัน เพราะเมื่อเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นอันว่า ได้เห็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม และก็เห็นอริยสัจจ์ด้วย
อริยสัจจะ
อริยสัจจะนั้นก็แปลกันว่า สัจจะที่ทำผู้รู้ให้เป็นอริยะหรือสัจจะที่เป็นอริยะคือประเสริฐ หรือว่าสัจจะของผู้เป็นอริยะ โดยความจึงต่างจากสามัญสัจจะ หรือโลกิยสัจจะ เพราะอริยสัจจะนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นโลกุตตรสัจจะ แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า ไม่เป็นฐานะที่โลกิยชนหรือสามัญชนทั่วไปพึงรู้ เพราะโดยที่แท้แล้วก็เป็นธรรมที่โลกิยชนหรือสามัญชนทั่วไปพึงรู้นั้นเอง และเมื่อรู้ ผู้รู้ก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นอริยชน อริยชนในพุทธศาสนานั้นหมายถึง ท่านผู้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง หมายถึงพระอริยบุคคลแปด คือท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ท่านผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ท่านที่ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ก็เป็นแปดจำพวก เจ็ดจำพวกข้างต้นเป็นเสขบุคคล ส่วนจำพวกที่แปดเป็นอเสขบุคคล
ท่านแสดงว่า ความตั้งอยู่ในมรรคและผลของพระอริยบุคคลในทุกชั้นนั้นมีอยู่ชั่วขณะจิตเล็กน้อยเท่านั้น แล้วท่านก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ กล่าวง่ายๆ ก็จะมีอยู่สี่จำพวกดั่งนี้ กำหนดด้วยการละสังโยชน์ทั้งสิบ ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องต้นได้สาม คือ ละสักกายทิฎฐิ ความเห็นยึดถือว่ากายของตน ละวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัยเป็นต้น สีลัพพตปรามาส ความยึดถือศีลและวัตรหรือเรียกว่าลูบคลำศีลและวัตร ก็เป็นพระโสดาบัน ท่านผู้ละสังโยชน์ ทั้งสามนี้ได้ และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงยิ่งขึ้นไปกว่า ก็เป็นพระสกทาคามี ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งห้า คือเพิ่มกามระคะ ความติดใจยินดีในกามปฏิฆะหรือพยาบาท ก็เป็นพระอนาคามี ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องบนได้อีกห้าก็เป็นพระอรหันต์ จึงกำหนดด้วยการละสังโยชน์ได้เด็ดขาดดั่งนี้ และในการปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ตั้งแต่เบื้องต้นก็ต้องปฏิบัติในมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็น หนทางกลาง สรุปเข้าก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาดังกล่าวแล้ว เมื่อการปฏิบัติในมรรคมี องค์แปด หรือรวมเข้าในไตรสิกขานั้นเป็นมรรคสมังคีเต็มที่ ก็เป็นโสดาปัตติมรรคขึ้นมา ก็ตัดสังโยชน์ได้สาม ก็เป็นโสดาปัตติผล ผู้บรรลุก็เป็นพระโสดาบัน เมื่อบำเพ็ญยิ่งขึ้นไปอีก ก็มรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขานั่นแหละจนเป็นสกทาคามิมรรค ก็ตัดสังโยชน์ทั้งสามนั้นได้ และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ก็เป็นสกทาคามิผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระสกทาคามี ก็บำเพ็ญมรรคมีองค์แปดนั้น หรือไตรสิกขาให้ยิ่งขึ้นไป จนเป็นอนาคามิมรรค ก็ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งห้า ก็เป็นอนาคามิผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระอนาคามี ก็ปฏิบัติในมรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขา ให้ยิ่งขึ้นไปอีกจนเป็นอรหัตตมรรค ก็ตัดสังโยชน์ได้ทั้งสิบ ก็เป็นอรหัตผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์องค์แรก ซึ่งเป็นผู้ทรงพบทางคือมัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่มรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขานั้นด้วยพระองค์เอง ทรงปฏิบัติจนมรรคมีองค์ แปด หรือไตรสิกขานั้น เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้นขึ้นมา จนถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล ก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์แรกในโลก และทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้ได้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็ได้ทรงแสดงธรรมสั่งสอนพระสาวกซึ่งเป็นผู้สดับคำสั่งสอน ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์ แปดหรือไตรสิกขานั้นจนได้บรรลุถึงมรรคผลขึ้นไปโดยลำดับ ถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันตสาวก และได้ชื่อว่าเป็นพระอนุพุทธ คือเป็นพระผู้ที่ตรัสรู้ตามหรือตรัสรู้ภายหลัง เพราะมิได้ค้นคว้าพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทานั้นด้วยองค์ท่านเอง แต่อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา คือเป็นผู้สั่งสอนแสดงธรรม เมื่อได้เป็นพระอรหันต์จึงเป็นพระอนุพุทธ ฉะนั้น การปฏิบัติจึงทิ้งหลักไตรสิกขาหรือมรรคมีองค์แปดนี้ไม่ได้ ต้องปฏิบัติไปด้วยกัน และท่านผู้บรรลุมรรคผลตั้งแต่ชั้นต้นขึ้นไปนั้น เดิมก็เป็นสามัญชนหรือปุถุชนอยู่เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่งสอนก็มุ่งสั่งสอนสามัญชนหรือปุถุชนทั่วไปนี้แหละ ให้ได้รู้ได้เห็นธรรมอันเป็นสัจจธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ มิได้หมายความว่าทรงมุ่งสั่งสอนแต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลแล้ว แม้อริยสัจจ์สี่ หรือว่าธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อันเรียกว่าไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ ลักษณะที่ทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง ก็มุ่งแสดง สั่งสอนแก่สามัญชนนี้เองเพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นตามเป็นจริง แต่ปัญญาที่จะรู้เห็นตามเป็นจริงนั้นก็ต้องมีสมาธิและมีศีลอบรมกันมาโดยลำดับให้เป็นมรรคสมังคี คือความพร้อมเพรียงกันของมรรค และปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริงนั้นก็รู้เห็นในธรรมฐิติหรือในธรรมนิยามนั้นเอง เริ่มต้นดังที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ปฏิบัติกันอยู่ใน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนี้เอง ปัญญาที่เห็นสัจจะนับเข้าในวิปัสสนากรรมฐานคือเป็นกรรมฐานที่จะต้องใช้ปัญญาพิจารณา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 84 พ.ย. 50 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมอบรมอุดหนุนกันและกันให้เป็นไป ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิตให้วิมุตติหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายได้ในที่สุด และกล่าวอีกอย่างหนึ่งปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมศีล ต่างอบรมอาศัยกันและกันดังนี้ขึ้นไป เป็นอันว่าผู้ปฏิบัติธรรมพึงปฏิบัติทั้ง 3 อย่าง ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสามนี้เป็นมรรคสมังคี ความพร้อมเพรียงกันของมรรค จึงอบรมจิตให้บรรลุวิมุตติ ได้ในที่สุด ปัญญาอบรมจิตนั้น ก็อบรมจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย เพราะปัญญาเห็นธรรมที่เป็นสัจจะอันมีอยู่ในจิตนั้นเอง ก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จิตจึงจะบรรลุถึงความหลุดพ้นที่เป็นวิมุตติ ตามภูมิตามชั้นขึ้นไป ปัญญาที่เห็นธรรม นี้จะกล่าวว่าเห็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดั่งนี้ก็ได้ จะกล่าวว่าเห็นอริยสัจจ์ทั้งสี่ก็ได้เหมือนกัน เพราะเมื่อเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นอันว่า ได้เห็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม และก็เห็นอริยสัจจ์ด้วย
อริยสัจจะ
อริยสัจจะนั้นก็แปลกันว่า สัจจะที่ทำผู้รู้ให้เป็นอริยะหรือสัจจะที่เป็นอริยะคือประเสริฐ หรือว่าสัจจะของผู้เป็นอริยะ โดยความจึงต่างจากสามัญสัจจะ หรือโลกิยสัจจะ เพราะอริยสัจจะนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นโลกุตตรสัจจะ แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า ไม่เป็นฐานะที่โลกิยชนหรือสามัญชนทั่วไปพึงรู้ เพราะโดยที่แท้แล้วก็เป็นธรรมที่โลกิยชนหรือสามัญชนทั่วไปพึงรู้นั้นเอง และเมื่อรู้ ผู้รู้ก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นอริยชน อริยชนในพุทธศาสนานั้นหมายถึง ท่านผู้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง หมายถึงพระอริยบุคคลแปด คือท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ท่านผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ท่านที่ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ก็เป็นแปดจำพวก เจ็ดจำพวกข้างต้นเป็นเสขบุคคล ส่วนจำพวกที่แปดเป็นอเสขบุคคล
ท่านแสดงว่า ความตั้งอยู่ในมรรคและผลของพระอริยบุคคลในทุกชั้นนั้นมีอยู่ชั่วขณะจิตเล็กน้อยเท่านั้น แล้วท่านก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ กล่าวง่ายๆ ก็จะมีอยู่สี่จำพวกดั่งนี้ กำหนดด้วยการละสังโยชน์ทั้งสิบ ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องต้นได้สาม คือ ละสักกายทิฎฐิ ความเห็นยึดถือว่ากายของตน ละวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัยเป็นต้น สีลัพพตปรามาส ความยึดถือศีลและวัตรหรือเรียกว่าลูบคลำศีลและวัตร ก็เป็นพระโสดาบัน ท่านผู้ละสังโยชน์ ทั้งสามนี้ได้ และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงยิ่งขึ้นไปกว่า ก็เป็นพระสกทาคามี ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งห้า คือเพิ่มกามระคะ ความติดใจยินดีในกามปฏิฆะหรือพยาบาท ก็เป็นพระอนาคามี ท่านผู้ละสังโยชน์เบื้องบนได้อีกห้าก็เป็นพระอรหันต์ จึงกำหนดด้วยการละสังโยชน์ได้เด็ดขาดดั่งนี้ และในการปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ตั้งแต่เบื้องต้นก็ต้องปฏิบัติในมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็น หนทางกลาง สรุปเข้าก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาดังกล่าวแล้ว เมื่อการปฏิบัติในมรรคมี องค์แปด หรือรวมเข้าในไตรสิกขานั้นเป็นมรรคสมังคีเต็มที่ ก็เป็นโสดาปัตติมรรคขึ้นมา ก็ตัดสังโยชน์ได้สาม ก็เป็นโสดาปัตติผล ผู้บรรลุก็เป็นพระโสดาบัน เมื่อบำเพ็ญยิ่งขึ้นไปอีก ก็มรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขานั่นแหละจนเป็นสกทาคามิมรรค ก็ตัดสังโยชน์ทั้งสามนั้นได้ และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ก็เป็นสกทาคามิผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระสกทาคามี ก็บำเพ็ญมรรคมีองค์แปดนั้น หรือไตรสิกขาให้ยิ่งขึ้นไป จนเป็นอนาคามิมรรค ก็ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งห้า ก็เป็นอนาคามิผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระอนาคามี ก็ปฏิบัติในมรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขา ให้ยิ่งขึ้นไปอีกจนเป็นอรหัตตมรรค ก็ตัดสังโยชน์ได้ทั้งสิบ ก็เป็นอรหัตผล ท่านผู้บรรลุก็เป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์องค์แรก ซึ่งเป็นผู้ทรงพบทางคือมัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่มรรคมีองค์แปด หรือไตรสิกขานั้นด้วยพระองค์เอง ทรงปฏิบัติจนมรรคมีองค์ แปด หรือไตรสิกขานั้น เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้นขึ้นมา จนถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล ก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์แรกในโลก และทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้ได้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็ได้ทรงแสดงธรรมสั่งสอนพระสาวกซึ่งเป็นผู้สดับคำสั่งสอน ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์ แปดหรือไตรสิกขานั้นจนได้บรรลุถึงมรรคผลขึ้นไปโดยลำดับ ถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันตสาวก และได้ชื่อว่าเป็นพระอนุพุทธ คือเป็นพระผู้ที่ตรัสรู้ตามหรือตรัสรู้ภายหลัง เพราะมิได้ค้นคว้าพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทานั้นด้วยองค์ท่านเอง แต่อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา คือเป็นผู้สั่งสอนแสดงธรรม เมื่อได้เป็นพระอรหันต์จึงเป็นพระอนุพุทธ ฉะนั้น การปฏิบัติจึงทิ้งหลักไตรสิกขาหรือมรรคมีองค์แปดนี้ไม่ได้ ต้องปฏิบัติไปด้วยกัน และท่านผู้บรรลุมรรคผลตั้งแต่ชั้นต้นขึ้นไปนั้น เดิมก็เป็นสามัญชนหรือปุถุชนอยู่เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่งสอนก็มุ่งสั่งสอนสามัญชนหรือปุถุชนทั่วไปนี้แหละ ให้ได้รู้ได้เห็นธรรมอันเป็นสัจจธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ มิได้หมายความว่าทรงมุ่งสั่งสอนแต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลแล้ว แม้อริยสัจจ์สี่ หรือว่าธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อันเรียกว่าไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ ลักษณะที่ทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง ก็มุ่งแสดง สั่งสอนแก่สามัญชนนี้เองเพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นตามเป็นจริง แต่ปัญญาที่จะรู้เห็นตามเป็นจริงนั้นก็ต้องมีสมาธิและมีศีลอบรมกันมาโดยลำดับให้เป็นมรรคสมังคี คือความพร้อมเพรียงกันของมรรค และปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริงนั้นก็รู้เห็นในธรรมฐิติหรือในธรรมนิยามนั้นเอง เริ่มต้นดังที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ปฏิบัติกันอยู่ใน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนี้เอง ปัญญาที่เห็นสัจจะนับเข้าในวิปัสสนากรรมฐานคือเป็นกรรมฐานที่จะต้องใช้ปัญญาพิจารณา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 84 พ.ย. 50 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)