xs
xsm
sm
md
lg

ทางเอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้คิดเรื่องอายตนะ
แต่ทรงสอนให้รู้ชัดถึงความเป็นรูปนามของอายตนะ
และรู้ชัดถึงสังโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลังการกระทบอารมณ์ด้วย
ซึ่งจิตจะเกิดสังโยชน์หรือกิเลสใดๆ ภายหลังการกระทบอารมณ์ได้
ก็ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติไม่ได้เพ่งจ้องหรือแทรกแซงจิตด้วยการทำสมถกรรมฐาน


ครั้งที่ 76
บทที่ 5 หัวใจกรรมฐาน
ตอน วิธีการรู้รูปนามในธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน

6.4.3 อายตนะ

การจำแนกสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" ออกเป็นอายตนะภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ กับอายตนะภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์นั้น เป็นคำสอนที่เน้นหนักสำหรับผู้สนใจการรู้รูปมากกว่ารู้นาม เพราะอายตนะส่วนใหญ่เป็นรูปธรรม มีสิ่งที่เป็นนามธรรมเฉพาะใจกับธัมมารมณ์บางอย่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเจริญสติปัฏฐานในอายตนบรรพนั้น พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงสอนให้รู้แค่อายตนะ แต่ท่านสอนให้รู้ถึงนามคือสังโยชน์ที่อาศัยอายตนะเกิดขึ้นด้วย เช่นเมื่อตาเห็นรูป หรือเมื่อใจรู้ธัมมารมณ์แล้ว หากสังโยชน์ใดเกิดขึ้นที่จิต ท่านก็ให้รู้สังโยชน์นั้นด้วย สังโยชน์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นแม้จะทรงจำแนกสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" ด้วยอายตนะที่เป็นรูปเป็นหลัก แต่ก็ทรงสอนให้รู้นามไปด้วยเสมอๆ

คำสอนตรงจุดนี้ของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ผู้เขียนขอฝากให้เพื่อนนักปฏิบัติสนใจสังเกตให้ดี เพราะทุกวันนี้มีเพื่อนนักปฏิบัติจำนวนไม่น้อย ที่พยายามตัดการทำงานของจิตภายหลังการกระทบสัมผัสอารมณ์ทางอายตนะทั้งปวงเพื่อไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นได้ ด้วยการรีบพิจารณาอายตนะว่าเป็นรูปนาม เช่นพอตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง หรือใจรู้ธัมมารมณ์ ก็รีบใช้ความคิดพิจารณาตาและรูป หูและเสียง ใจและธัมมารมณ์ว่าเป็นเพียงรูปนาม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เมื่อจิตคิดปรุงแต่งไปในเรื่องธรรมะอันเป็นกุศลเสียแล้ว จิตก็ไม่ปรุงแต่งอกุศลหยาบๆ คือกิเลสตัณหาใดๆขึ้นมา จิตเกิดความนิ่ง สงบ สบาย อันเป็นผลของการคิดถึงธรรม ซึ่งก็คือธัมมานุสติอันเป็นการเจริญสมถกรรมฐานนั่นเอง แล้วผู้ปฏิบัติก็ภูมิใจว่าเราสามารถระงับกิเลสไม่ให้เกิดขึ้นภายหลังการกระทบอารมณ์ทางทวารทั้ง 6 ได้ ขอให้สังเกตให้ดีว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ทำเช่นนั้น คือไม่ได้สอนให้คิดเรื่องอายตนะ แต่ทรงสอนให้รู้ชัดถึงความเป็นรูปนามของอายตนะ และรู้ชัดถึงสังโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลังการกระทบอารมณ์ด้วย ซึ่งจิตจะเกิดสังโยชน์หรือกิเลสใดๆ ภายหลังการกระทบอารมณ์ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติไม่ได้เพ่งจ้องหรือแทรกแซงจิตด้วยการทำสมถกรรมฐาน

แท้จริงการปฏิบัติไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดให้ยุ่งยากเลย เมื่อตาเห็นรูป หากจิตเกิดความยินดียินร้ายก็ให้รู้ทัน เมื่อหูได้ยินเสียง หากจิตเกิดความยินดียินร้ายก็ให้รู้ทัน และเมื่อใจรู้ธัมมารมณ์ หากจิตเกิดความยินดียินร้ายก็ให้รู้ทัน เท่านี้ก็พอแล้ว เมื่อปฏิบัติมากเข้าก็จะเห็นว่า ทั้งรูปและนามทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ดังนั้น แม้เพียงเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานในอายตนบรรพอย่างเดียว ก็ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เพราะมีปัญญารู้ทั่วถึงความจริงของรูปนามได้ทั้งหมด

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/โพชฌงค์)
กำลังโหลดความคิดเห็น