xs
xsm
sm
md
lg

ไตรลักษณ์ (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธาตุและธรรม

ปัญญาในธรรมนั้นก็มุ่งธรรมที่เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม คือธรรมที่ตั้งอยู่ ธรรมที่มีนิยาม คือความกำหนดแน่ อันธรรมที่ตั้งอยู่ที่มีความกำหนดแน่นี้เป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลาเป็นสัจจะคือความจริงที่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ และมีความกำหนดแน่อยู่ทุกกาลสมัย พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นหรือไม่ทรงอุบัติขึ้นในโลกธรรมที่เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยามนี้ก็คงตั้งอยู่คงมีความกำหนด แน่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง และก็ใช้อีกคำหนึ่งว่าธาตุ คำว่าธาตุและคำว่าธรรมนี้ใน ที่นี้ก็ใช้ความหมายเป็นอันเดียวกัน ธาตุก็แปลว่าตั้งอยู่ดำรงอยู่ คำว่าธรรมเอง ก็แปลว่าตั้งอยู่ดำรงอยู่ แต่ว่าเพื่อกระชับความให้แน่นเข้าให้เป็นที่เข้าใจ จึงได้เพิ่มคำว่าตั้งอยู่เข้ามาอีกคำหนึ่ง ว่าธาตุนั้นตั้งอยู่ในธรรมฐิติ ความตั้งอยู่ของธรรม คือธรรมตั้งอยู่ เป็นธรรมนิยาม ความกำหนดแน่ของธรรม คือธรรมมีนิยาม คือความกำหนดแน่นอน ข้อนี้ได้มีแสดงไว้ในธรรมนิยามสูตรที่แปลความว่า

“พระตถาคตพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นหรือไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นก็ตั้งอยู่เป็นธรรมฐิติเป็นธรรมนิยาม คือความตั้งอยู่ของธรรม ความกำหนดแน่ของ ธรรม ตั้งอยู่อย่างไร กำหนดแน่อย่างไร ก็คือตั้งอยู่กำหนดแน่นอนอยู่ว่า

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน


ดั่งนี้ พระตถาคตพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธาตุนั้น คือได้ตรัสรู้ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ดังกล่าว แล้วก็ได้ทรงบอก ได้ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงกำหนด ได้ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ได้ทรงกระทำให้ตื่น สั่งสอนให้บุคคลทั้งปวงได้ทราบ ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา”

เพราะฉะนั้น ข้อที่เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยามนั้นจึงเป็นธรรมที่ตั้งอยู่ที่กำหนด แน่อยู่ เป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เป็นสัจจะคือความจริงที่ตั้งอยู่ กำหนดแน่นอนทุกกาลสมัย

ธรรมฐิติ

ข้อที่ว่าธาตุนั้นตั้งอยู่เป็นธรรมฐิติ ความตั้งอยู่ของธรรมคือธรรมตั้งอยู่นั้น ก็มีความหมายว่าตั้งอยู่ดำรงอยู่โดยเป็นสัจจะคือความจริงที่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ ไม่มีที่จะดับหายเปลี่ยนแปลง คงตั้งอยู่ดำรงอยู่อย่างนั้น ดั่งนี้ เป็นความหมายของ คำว่าธาตุนั้นตั้งอยู่เป็นธรรมฐิติ ความตั้งอยู่ของธรรมคือธรรมตั้งอยู่

ธรรมนิยาม

คราวนี้ถ้าหากว่าตั้งอยู่ดำรงอยู่แต่ไม่มีนิยามคือความกำหนดแน่หรือว่าเครื่องกำหนดแน่อันทำให้สามารถกำหนดรู้ได้หรือทำให้นิยามได้ ก็จะไม่มีใคร สามารถจะรู้ได้จะเข้าใจได้ แต่เพราะธรรมที่ตั้งอยู่นั้นมีนิยามคือความกำหนดหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้นิยามได้กำหนดได้ จึงสามารถที่จะรู้ได้ สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฉะนั้นจึงมีคำว่าธรรมนิยามคู่เข้ามาอีกคำหนึ่งกับคำว่าธรรมฐิติ ความตั้งอยู่ของธรรมคู่กันว่าธาตุนั้นตั้งอยู่เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม คือเป็นธรรมที่ตั้งอยู่เป็นธรรมที่นิยามได้ ที่กำหนดแน่ลงไปได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ได้ และเมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงสั่งสอนจำแนกธรรมกระทำให้ตื้น ให้เวไนยนิกรคือหมู่แห่งชนที่พึงแนะนำได้รู้ตามพระองค์ได้

ลักษณะสาม

อันคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั้น เมื่อมุ่งถึงภาวะที่ไม่เที่ยง ภาวะที่เป็นทุกข์ ภาวะที่เป็นอนัตตา ก็เรียกว่า อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตตตา ความเป็นอนัตตตา มิใช่อัตตาตัวตน นี้เป็นภาวะ และภาวะทั้งสามนี้ย่อมมีนิยามคือเครื่องกำหนดหรือความกำหนดแน่ลงไปสำหรับที่จะให้รู้ได้โดยทางไหน คือจะนิยามได้โดยทางไหน จะกำหนดแน่ได้โดยทางไหนว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ก็นิยามได้กำหนดได้โดยลักษณะคือเครื่องกำหนด เพราะฉะนั้น เมื่อว่าโดยลักษณะก็มีสามคืออนิจจลักษณะหรืออนิจจลักขณะ ลักษณะคือเครื่องกำหนด หมาย ว่าไม่เที่ยง ทุกขลักษณะหรือทุกขลักขณะ เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตลักษณะหรืออนัตตลักขณะ เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นอนัตตามิใช่ ตัวตน ดังที่เรียกกันคุ้นหูว่าไตรลักษณ์ อันแปลว่าลักขณะสามหรือลักษณะทั้งสาม

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 82 ก.ย. 50 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
กำลังโหลดความคิดเห็น