•สมฺมาสมฺพุทฺโธ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)
สัมมาสัมพุทโธ มาจากสมาสของ สัมมา + สัมพุทธะ, สัมมา (samma) แปลว่าที่ถูกที่ชอบ, สัมพุทธะ คือคำว่า พุทธะ (buddha) ที่แปลว่า รู้ แจ้ง เติมอุปสัค (Prefix) สํ (samํ) เข้าไปได้ความ หมายว่ารู้แจ้งรู้พร้อม คำว่า สัมมาสัมพุทธะ มี -ะ เป็นการันต์, เพศชาย, เอกพจน์ เมื่อแจกปฐมาวิภัตติ จึงได้เป็น สัมมาสัมพุทโธ (samma sambuddho)
พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปญฺโญ) หรือพุทธทาสภิกขุ อธิบาย สัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรมธรรมภาคต้น ว่า
“...คำว่า พุทธ ไม่ได้หมายความถึง พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ แต่ก็เป็นคำคำเดียวกัน ซึ่งในภาษาบาลี ใช้แก่พระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีการจำแนก ประเภทเป็น :-สัมมาสัมพุทธ ปัจเจกพุทธ อนุพุทธ สุตพุทธ จากทั้ง ๔ ประเภทนี้ จะเห็นได้ว่า ‘พุทธ’ ในความหมายทั่วไป ไม่ได้หมายเฉพาะแต่สัมมาสัมพุทธเจ้า
สัมมาสัมพุทธ ประเภทแรกนี้ รู้พร้อมโดยชอบ รู้เองโดยชอบ (สํ = เองก็ได้ พร้อมก็ได้)
ปัจเจกพุทธ รู้เฉพาะตนผู้เดียว (ปัจจ + เอกะ = รู้เฉพาะตนผู้เดียว)
อนุพุทธ อนุ = รู้ตามผู้อื่น.
สุตพุทธ รู้เพราะได้ฟัง ได้ศึกษา สุตะ แปลว่า ฟัง เพราะสมัยก่อน การศึกษาคือการฟัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เองโดยชอบ คือถูกต้อง และสมบูรณ์ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วย ปลุกผู้อื่น ได้ด้วย ส่วนพระปัจเจกพุทธ รู้เพียงพอเท่าที่ตนจะตื่น ไม่คำนึงถึงการปลุกผู้อื่น หรือไม่สนใจด้วยซ้ำไป อนุพุทธนั้นคือคนที่ถูกปลุกมากๆ ก็ตื่นเหมือน กัน ตื่นตามผู้ปลุก สุตพุทธ นี้คือผู้ศึกษาเล่าเรียนทั่วๆไป เป็นพุทธ เพราะการศึกษาเล่าเรียน ก็ตื่นได้ รู้ เป็นพุทธะ เพราะการศึกษาเล่าเรียนก็รู้ได้ จึงแยก เป็น พุทธะสมบูรณ์ พุทธะเฉพาะตน พุทธะเพราะรู้ตาม พุทธะเพราะได้ศึกษา พระพุทธเจ้าท่านอยู่ในพวกสัมมาสัมพุทธ พระพุทธเจ้าใน ๓ วัตถุ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น เราหมายถึงพระสัมมาสัมพุทธะ...”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถาปุคคลบัญญัติปกรณ์ อธิบาย “ความเป็นสัมมาสัมพุทธะ” ว่า “บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วย ปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองในธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ”
คัมภีร์ วิสุทธิมรรค ภาค ๑ ตอน ๒ แก้อรรถบท สมฺมาสมฺพุทฺโธ ว่า
“ส่วนที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงพระนามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็เพราะทรงรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและโดยพระองค์เอง จริงอย่างนั้น พระองค์ทรงรู้โดยชอบด้วย โดยพระองค์เองด้วย ซึ่งธรรม ทั้งปวงคือ ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นอภิญไญย โดยความเป็นธรรมที่พึงรู้ยิ่ง* ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็น ปริญไญย โดยความเป็นธรรมที่พึงกำหนดรู้ (ทุกขสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นปหาตัพพะ โดยความ เป็นธรรมที่พึงละ (สมุทัยสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นสัจฉิกาตัพพะ โดยความเป็นธรรมที่พึงทำให้ แจ้ง (นิโรธสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นภาเวตัพพะ โดยความเป็นธรรมที่พึงเจริญ (มรรคสัจ) ก็เพราะเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัส (แก่เสลพราหมณ์เป็น คาถา) ว่า “สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเราได้รู้ยิ่งแล้ว และสิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว สิ่งที่ควรละเราก็ได้ละแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพุทธะนะพราหมณ์”
อีกนัยหนึ่ง พระองค์ตรัสรู้โดยชอบ และโดยพระองค์เอง ซึ่งธรรมทั้งปวง โดยยกขึ้นเอาทีละบท ดังนี้ก็ได้ว่า จักษุเป็นทุกขสัจ ตัณหาอันมีมาแต่ภพ ก่อน ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิด โดยความเป็นตัวเหตุที่เป็น มูลแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทัยสัจ ความไม่เป็นไปแห่งจักษุ และจักษุสมุทัยทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ ในโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และมนะ ก็นัยนี้ อายตนะ ๖ มีรูปเป็นต้น หมวดวิญญาณ ๖ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ ๖ มีจักขุสัมผัสเป็นต้น เวทนา ๖ มีจักขุสัมผัสชาเวทนา เป็นต้น สัญญา ๖ มีรูปสัญญาเป็นต้น เจตนา ๖ มี รูปสัญเจตนาเป็นต้น หมวดตัณหา ๖ มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก ๖ มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เป็นต้น ขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์เป็นต้น กสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ สัญญา ๑๐ โดยมีอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น อาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ภพ ๙ มีกามภพเป็นต้น** ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น อัปปมัญญา ๔ มีเมตตาภาวนาเป็นต้น อรูปสมาบัติ ๔ และองค์แห่งปฏิจจสมุบาทโดยปฏิโลมมีชรามรณะเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น (เหล่านี้) ก็พึงประกอบ(ความ)เข้าโดยนัยนั้นแล
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรค เสลสูตรที่ ๗ พระบรมศาสดาทรงประกาศความเป็นสัมมาสัมพุทธะไว้ดังนี้
เสลพราหมณ์กราบทูลว่า “พระองค์ทรงปฏิญาณ ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรมราชาชั้นเยี่ยม ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวกเสนาบดีของ พระองค์ ผู้ประพฤติตามพระศาสดา ใครจะยังธรรม จักรที่พระองค์ให้เป็นไปแล้วนี้ ให้เป็นไปตามฯ”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรเสลพราหมณ์ สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เราให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ดูกรพราหมณ์ ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ ควรให้เจริญ เราได้ให้เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นพระพุทธะ ดูกรพราหมณ์ ท่านจงขจัดความสงสัยในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธะทั้งหลายเนืองๆ เป็นกิจที่ได้โดยยาก ความปรากฏเนืองๆแห่งพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์ใดแล หาได้ยากในโลก เราเป็นพระสัมพุทธะองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม เราเป็นผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารแลเสนามารเสียได้ ทำปัจจามิตรทั้งหมดไว้ในอำนาจไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ฯ”
อรรถกถาเสลสูตร อธิบายขยายความตอนนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สมฺมาสมพุทฺโธ เพราะตรัสรู้สัจธรรมโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง
เสลพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำพระองค์ให้แจ่มแจ้งอย่างนี้แล้ว จึงเกิดปีติโสมนัส เพื่อทำให้มั่นยิ่งขึ้นจึงกล่าวคาถาที่สองว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ทรงปฏิญาณว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้
ในบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ เสนาปติ เสลพราหมณ์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเป็น เสนาบดี ยังธรรมจักรที่เป็นไปแล้ว โดยธรรมของพระธรรมราชาให้เป็นไปตามได้
สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ ณ ข้างเบื้องขวา ของพระผู้มีพระภาคเจ้างดงามด้วยสิริดุจก้อนทอง พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกะเสลพราหมณ์
จึงตรัสคาถาว่า มยา ปวตฺติตํ ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้ว
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุชาโต ตถาคตํ พระสารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต ความว่า พระสารีบุตรผู้เกิดตาม เพราะเหตุตถาคต คือเกิดเพราะตถาคต เป็นเหตุ
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงพยากรณ์ปัญหาว่า โก นุ เสนาปติ ใครหนอเป็นเสนาบดีอย่างนี้แล้ว มีพระประสงค์จะทำให้เสลพราหมณ์ที่กล่าวว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นสัมพุทธะ ให้หมดสงสัยในข้อนั้น เพื่อให้รู้ว่าเรามิได้ปฏิญาณเพียงข้อปฏิญาณเท่านั้น แม้เราก็ปฏิญาณว่าเป็นพุทธะด้วยเหตุนี้ จึงตรัสคาถาว่า อภิญฺเญยฺยํ เราได้รู้ยิ่งแล้ว
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิญฺเญยฺยํ ได้แก่ วิชชาและวิมุตติอันเป็นมรรคสัจ และสมุทยสัจ ที่ควรเจริญและควรละ ในข้อนี้เป็นอันท่านอธิบายไว้อย่าง นี้ว่า แม้นิโรธสัจและทุกขสัจอันเป็นผลแห่งมรรคสัจและสมุทยสัจเหล่านั้น เป็นอันท่านกล่าวจากความ สำเร็จแห่งผล ด้วยคำพูดอันเป็นเหตุ เพราะธรรมที่ควรทำให้แจ้งเราได้ทำให้แจ้งแล้ว ธรรมที่ควรรู้เรา ทำให้รู้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงการยังสัจจะ ๔ ให้เกิด ผลของการเจริญสัจจะ ๔ วิชชาและวิมุตติ จึงทรง ประกาศความเป็นพุทธะด้วยเหตุที่กล่าวแล้วว่า เราตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้วจึงเป็นพุทธะ ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทำพระองค์ให้ปรากฏโดยตรงอย่างนี้แล้ว เมื่อจะยังพราหมณ์ให้รีบขวนขวายเพื่อข้ามพ้นความสงสัยในพระองค์ จึงตรัสคาถาที่สามว่า วินยสฺส ท่านจงกำจัดเสีย
ในบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลกตฺโต เป็นศัลยแพทย์ คือผ่าตัดลูกศรที่เสียบสัตว์ มีลูกศรคือราคะเป็นต้น ออกได้ บทว่า พฺรหฺมภูโต คือ เป็นผู้ประเสริฐ บทว่า อติตุโล ไม่มีผู้เปรียบ คือล่วงเลยการชั่ง ล่วงเลย การเปรียบ อธิบายว่า เปรียบไม่ได้เลย.
บทว่า มารเสนปฺปมทฺทโน ย่ำยีมารและเสนามาร เสียได้ คือย่ำยีมารและเสนามาร กล่าวคือบริษัทของมารที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปเร จ อวชานติ ดูหมิ่นผู้อื่น มีอาทิว่า กามา เต ปฐมา เสนา กามเป็น เสนาที่หนึ่งของท่าน
บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่ ข้าศึกทั้งหมดมีขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมารเป็นต้น บทว่า วสีกตฺวา คือ ให้เป็นไปในอำนาจ ของตน บทว่า อกุโตภโย คือ ไม่มีภัยแต่ไหนๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า)
เชิงอรรถ
*อภิญไญยธรรม มหาฎีกาว่า คือ ธรรมที่พึงรู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง และว่าหมายเอาอริยสัจ ๔ นั่นเอง ที่ว่ารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ก็คือในกาลเบื้องต้นทรงรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา ในขณะที่บรรลุผล ก็ทรงรู้ด้วยมรรคปัญญา ในกาลต่อมา ก็ทรงรู้ด้วยพุทธญาณทั้งหลายมีสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
**มหาฎีกา ขยายความว่า ภพ ๙ นั้น คือ ภพ ๓ มีกามภพเป็นต้น (คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ) หมวด ๑ ภพ ๓ มีสัญญีภพเป็นต้น (คือ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ) หมวด ๑ ภพ ๓ มีเอกโวการภพเป็นต้น (คือเอกโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ ๑ คือ รูปขันธ์อย่างเดียว จตุโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ ๔ ปัญจโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ครบ ๕) หมวด ๑ จึงรวมเป็น ๙
นี่เป็นการประกอบ (ความ) บท ๑ ในธรรมเหล่านั้น (คือ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม โดยชอบและโดยพระองค์เอง ซึ่งธรรมทั้งปวง โดยยก ขึ้นเอาทีละบทอย่างนี้ว่า
“ชรามรณะเป็นทุกขสัจ ชาติเป็นสมุทัยสัจ ความออกไปแห่งทุกข์และสมุทัยนั้นทั้งสองเป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ” (ดังนี้เป็นตัวอย่าง) เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึง ว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงพระนามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็เพราะทรงรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบ และโดยพระองค์เอง” ดังนี้
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 82 ก.ย. 50 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม )
สัมมาสัมพุทโธ มาจากสมาสของ สัมมา + สัมพุทธะ, สัมมา (samma) แปลว่าที่ถูกที่ชอบ, สัมพุทธะ คือคำว่า พุทธะ (buddha) ที่แปลว่า รู้ แจ้ง เติมอุปสัค (Prefix) สํ (samํ) เข้าไปได้ความ หมายว่ารู้แจ้งรู้พร้อม คำว่า สัมมาสัมพุทธะ มี -ะ เป็นการันต์, เพศชาย, เอกพจน์ เมื่อแจกปฐมาวิภัตติ จึงได้เป็น สัมมาสัมพุทโธ (samma sambuddho)
พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปญฺโญ) หรือพุทธทาสภิกขุ อธิบาย สัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรมธรรมภาคต้น ว่า
“...คำว่า พุทธ ไม่ได้หมายความถึง พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ แต่ก็เป็นคำคำเดียวกัน ซึ่งในภาษาบาลี ใช้แก่พระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีการจำแนก ประเภทเป็น :-สัมมาสัมพุทธ ปัจเจกพุทธ อนุพุทธ สุตพุทธ จากทั้ง ๔ ประเภทนี้ จะเห็นได้ว่า ‘พุทธ’ ในความหมายทั่วไป ไม่ได้หมายเฉพาะแต่สัมมาสัมพุทธเจ้า
สัมมาสัมพุทธ ประเภทแรกนี้ รู้พร้อมโดยชอบ รู้เองโดยชอบ (สํ = เองก็ได้ พร้อมก็ได้)
ปัจเจกพุทธ รู้เฉพาะตนผู้เดียว (ปัจจ + เอกะ = รู้เฉพาะตนผู้เดียว)
อนุพุทธ อนุ = รู้ตามผู้อื่น.
สุตพุทธ รู้เพราะได้ฟัง ได้ศึกษา สุตะ แปลว่า ฟัง เพราะสมัยก่อน การศึกษาคือการฟัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เองโดยชอบ คือถูกต้อง และสมบูรณ์ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วย ปลุกผู้อื่น ได้ด้วย ส่วนพระปัจเจกพุทธ รู้เพียงพอเท่าที่ตนจะตื่น ไม่คำนึงถึงการปลุกผู้อื่น หรือไม่สนใจด้วยซ้ำไป อนุพุทธนั้นคือคนที่ถูกปลุกมากๆ ก็ตื่นเหมือน กัน ตื่นตามผู้ปลุก สุตพุทธ นี้คือผู้ศึกษาเล่าเรียนทั่วๆไป เป็นพุทธ เพราะการศึกษาเล่าเรียน ก็ตื่นได้ รู้ เป็นพุทธะ เพราะการศึกษาเล่าเรียนก็รู้ได้ จึงแยก เป็น พุทธะสมบูรณ์ พุทธะเฉพาะตน พุทธะเพราะรู้ตาม พุทธะเพราะได้ศึกษา พระพุทธเจ้าท่านอยู่ในพวกสัมมาสัมพุทธ พระพุทธเจ้าใน ๓ วัตถุ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น เราหมายถึงพระสัมมาสัมพุทธะ...”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถาปุคคลบัญญัติปกรณ์ อธิบาย “ความเป็นสัมมาสัมพุทธะ” ว่า “บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วย ปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองในธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ”
คัมภีร์ วิสุทธิมรรค ภาค ๑ ตอน ๒ แก้อรรถบท สมฺมาสมฺพุทฺโธ ว่า
“ส่วนที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงพระนามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็เพราะทรงรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและโดยพระองค์เอง จริงอย่างนั้น พระองค์ทรงรู้โดยชอบด้วย โดยพระองค์เองด้วย ซึ่งธรรม ทั้งปวงคือ ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นอภิญไญย โดยความเป็นธรรมที่พึงรู้ยิ่ง* ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็น ปริญไญย โดยความเป็นธรรมที่พึงกำหนดรู้ (ทุกขสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นปหาตัพพะ โดยความ เป็นธรรมที่พึงละ (สมุทัยสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นสัจฉิกาตัพพะ โดยความเป็นธรรมที่พึงทำให้ แจ้ง (นิโรธสัจ) ทรงรู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นภาเวตัพพะ โดยความเป็นธรรมที่พึงเจริญ (มรรคสัจ) ก็เพราะเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัส (แก่เสลพราหมณ์เป็น คาถา) ว่า “สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเราได้รู้ยิ่งแล้ว และสิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว สิ่งที่ควรละเราก็ได้ละแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพุทธะนะพราหมณ์”
อีกนัยหนึ่ง พระองค์ตรัสรู้โดยชอบ และโดยพระองค์เอง ซึ่งธรรมทั้งปวง โดยยกขึ้นเอาทีละบท ดังนี้ก็ได้ว่า จักษุเป็นทุกขสัจ ตัณหาอันมีมาแต่ภพ ก่อน ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิด โดยความเป็นตัวเหตุที่เป็น มูลแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทัยสัจ ความไม่เป็นไปแห่งจักษุ และจักษุสมุทัยทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ ในโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และมนะ ก็นัยนี้ อายตนะ ๖ มีรูปเป็นต้น หมวดวิญญาณ ๖ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ ๖ มีจักขุสัมผัสเป็นต้น เวทนา ๖ มีจักขุสัมผัสชาเวทนา เป็นต้น สัญญา ๖ มีรูปสัญญาเป็นต้น เจตนา ๖ มี รูปสัญเจตนาเป็นต้น หมวดตัณหา ๖ มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก ๖ มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เป็นต้น ขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์เป็นต้น กสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ สัญญา ๑๐ โดยมีอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น อาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ภพ ๙ มีกามภพเป็นต้น** ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น อัปปมัญญา ๔ มีเมตตาภาวนาเป็นต้น อรูปสมาบัติ ๔ และองค์แห่งปฏิจจสมุบาทโดยปฏิโลมมีชรามรณะเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น (เหล่านี้) ก็พึงประกอบ(ความ)เข้าโดยนัยนั้นแล
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรค เสลสูตรที่ ๗ พระบรมศาสดาทรงประกาศความเป็นสัมมาสัมพุทธะไว้ดังนี้
เสลพราหมณ์กราบทูลว่า “พระองค์ทรงปฏิญาณ ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรมราชาชั้นเยี่ยม ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวกเสนาบดีของ พระองค์ ผู้ประพฤติตามพระศาสดา ใครจะยังธรรม จักรที่พระองค์ให้เป็นไปแล้วนี้ ให้เป็นไปตามฯ”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรเสลพราหมณ์ สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เราให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ดูกรพราหมณ์ ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ ควรให้เจริญ เราได้ให้เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นพระพุทธะ ดูกรพราหมณ์ ท่านจงขจัดความสงสัยในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธะทั้งหลายเนืองๆ เป็นกิจที่ได้โดยยาก ความปรากฏเนืองๆแห่งพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์ใดแล หาได้ยากในโลก เราเป็นพระสัมพุทธะองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม เราเป็นผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารแลเสนามารเสียได้ ทำปัจจามิตรทั้งหมดไว้ในอำนาจไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ฯ”
อรรถกถาเสลสูตร อธิบายขยายความตอนนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สมฺมาสมพุทฺโธ เพราะตรัสรู้สัจธรรมโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง
เสลพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำพระองค์ให้แจ่มแจ้งอย่างนี้แล้ว จึงเกิดปีติโสมนัส เพื่อทำให้มั่นยิ่งขึ้นจึงกล่าวคาถาที่สองว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ทรงปฏิญาณว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้
ในบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ เสนาปติ เสลพราหมณ์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเป็น เสนาบดี ยังธรรมจักรที่เป็นไปแล้ว โดยธรรมของพระธรรมราชาให้เป็นไปตามได้
สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ ณ ข้างเบื้องขวา ของพระผู้มีพระภาคเจ้างดงามด้วยสิริดุจก้อนทอง พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกะเสลพราหมณ์
จึงตรัสคาถาว่า มยา ปวตฺติตํ ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้ว
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุชาโต ตถาคตํ พระสารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต ความว่า พระสารีบุตรผู้เกิดตาม เพราะเหตุตถาคต คือเกิดเพราะตถาคต เป็นเหตุ
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงพยากรณ์ปัญหาว่า โก นุ เสนาปติ ใครหนอเป็นเสนาบดีอย่างนี้แล้ว มีพระประสงค์จะทำให้เสลพราหมณ์ที่กล่าวว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นสัมพุทธะ ให้หมดสงสัยในข้อนั้น เพื่อให้รู้ว่าเรามิได้ปฏิญาณเพียงข้อปฏิญาณเท่านั้น แม้เราก็ปฏิญาณว่าเป็นพุทธะด้วยเหตุนี้ จึงตรัสคาถาว่า อภิญฺเญยฺยํ เราได้รู้ยิ่งแล้ว
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิญฺเญยฺยํ ได้แก่ วิชชาและวิมุตติอันเป็นมรรคสัจ และสมุทยสัจ ที่ควรเจริญและควรละ ในข้อนี้เป็นอันท่านอธิบายไว้อย่าง นี้ว่า แม้นิโรธสัจและทุกขสัจอันเป็นผลแห่งมรรคสัจและสมุทยสัจเหล่านั้น เป็นอันท่านกล่าวจากความ สำเร็จแห่งผล ด้วยคำพูดอันเป็นเหตุ เพราะธรรมที่ควรทำให้แจ้งเราได้ทำให้แจ้งแล้ว ธรรมที่ควรรู้เรา ทำให้รู้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงการยังสัจจะ ๔ ให้เกิด ผลของการเจริญสัจจะ ๔ วิชชาและวิมุตติ จึงทรง ประกาศความเป็นพุทธะด้วยเหตุที่กล่าวแล้วว่า เราตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้วจึงเป็นพุทธะ ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทำพระองค์ให้ปรากฏโดยตรงอย่างนี้แล้ว เมื่อจะยังพราหมณ์ให้รีบขวนขวายเพื่อข้ามพ้นความสงสัยในพระองค์ จึงตรัสคาถาที่สามว่า วินยสฺส ท่านจงกำจัดเสีย
ในบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลกตฺโต เป็นศัลยแพทย์ คือผ่าตัดลูกศรที่เสียบสัตว์ มีลูกศรคือราคะเป็นต้น ออกได้ บทว่า พฺรหฺมภูโต คือ เป็นผู้ประเสริฐ บทว่า อติตุโล ไม่มีผู้เปรียบ คือล่วงเลยการชั่ง ล่วงเลย การเปรียบ อธิบายว่า เปรียบไม่ได้เลย.
บทว่า มารเสนปฺปมทฺทโน ย่ำยีมารและเสนามาร เสียได้ คือย่ำยีมารและเสนามาร กล่าวคือบริษัทของมารที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปเร จ อวชานติ ดูหมิ่นผู้อื่น มีอาทิว่า กามา เต ปฐมา เสนา กามเป็น เสนาที่หนึ่งของท่าน
บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่ ข้าศึกทั้งหมดมีขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมารเป็นต้น บทว่า วสีกตฺวา คือ ให้เป็นไปในอำนาจ ของตน บทว่า อกุโตภโย คือ ไม่มีภัยแต่ไหนๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า)
เชิงอรรถ
*อภิญไญยธรรม มหาฎีกาว่า คือ ธรรมที่พึงรู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง และว่าหมายเอาอริยสัจ ๔ นั่นเอง ที่ว่ารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ก็คือในกาลเบื้องต้นทรงรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา ในขณะที่บรรลุผล ก็ทรงรู้ด้วยมรรคปัญญา ในกาลต่อมา ก็ทรงรู้ด้วยพุทธญาณทั้งหลายมีสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
**มหาฎีกา ขยายความว่า ภพ ๙ นั้น คือ ภพ ๓ มีกามภพเป็นต้น (คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ) หมวด ๑ ภพ ๓ มีสัญญีภพเป็นต้น (คือ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ) หมวด ๑ ภพ ๓ มีเอกโวการภพเป็นต้น (คือเอกโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ ๑ คือ รูปขันธ์อย่างเดียว จตุโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ ๔ ปัญจโวการภพ-ภพของสัตว์ที่มีขันธ์ครบ ๕) หมวด ๑ จึงรวมเป็น ๙
นี่เป็นการประกอบ (ความ) บท ๑ ในธรรมเหล่านั้น (คือ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม โดยชอบและโดยพระองค์เอง ซึ่งธรรมทั้งปวง โดยยก ขึ้นเอาทีละบทอย่างนี้ว่า
“ชรามรณะเป็นทุกขสัจ ชาติเป็นสมุทัยสัจ ความออกไปแห่งทุกข์และสมุทัยนั้นทั้งสองเป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ” (ดังนี้เป็นตัวอย่าง) เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึง ว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงพระนามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็เพราะทรงรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบ และโดยพระองค์เอง” ดังนี้
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 82 ก.ย. 50 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม )