ตาล เป็นไม้ยืนต้นในตระกูลปาล์ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Borassus flabellifer Linn. อยู่ในวงศ์ Palamae มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ตาลโตนด ตาลใหญ่ ตาลนา เป็นต้น มีความสูงราว 15-40 เมตร โคนต้นอวบใหญ่ ลำต้นสีน้ำตาลเข้ม ขณะที่ต้นยังเตี้ยอยู่จะมีทางใบแห้งติดแน่น และมีกาบขอบใบติดอยู่ประมาณ 5 เมตร ไม่แตกกิ่งก้าน สาขา ใบเป็นใบเดี่ยวอยู่ตรงยอดลำต้นมีรูปร่างคล้ายพัด มีก้านเป็นทางยาวราว 1-2 เมตร ขอบก้านใบหยักเป็นฟันเลื่อย ดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น ตาลตัวผู้ออก ดอกเป็นงวงคล้ายมะพร้าว ไม่มีผล ส่วนตาลตัวเมียออกดอกเป็นช่อเดี่ยวๆ ดอกสีขาว อมเหลือง และมีผลใหญ่กลมโตสีเขียวอมน้ำตาล ภายในมีเมล็ดราว 2-4 เมล็ด เมื่อยังอ่อนเรียกว่าลอนตาล ถ้าจาวที่เกิดจากเมล็ดแก่ที่งอกแล้ว เรียกว่าจาวตาล
ประโยชน์ของตาลมีมากมาย เช่น ลำต้น ใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ และใช้ทำเรือขุด ที่เรียกว่า เรืออีโปง ใบอ่อนใช้ในการจักสานเช่น ทำหมวก ทำของเล่นเด็ก ส่วนใบแก่ ใช้มุงหลังคา ทำพัด รากใช้ต้มกินแก้โรคตานขโมย ผลใช้เปลือกหุ้มผลอ่อน ปรุงเป็นอาหาร และคั้นนำจากผลแก่ใช้ปรุงแต่งกลิ่นขนม ใยตาล ใช้ทำเครื่องจักสาน และทำเป็นเชือก งวงตาล ให้น้ำหวานที่เรียกว่าน้ำตาลสด นำมากินสดๆหรือใช้ทำน้ำตาล ส่วนเมล็ด ที่มักเรียกกันว่าลูกตาล นำมารับประทานสดหรือกินกับน้ำเชื่อม และจาวตาล นำมาเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน
ในพุทธประวัติได้กล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ในพรรษาที่สองได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองเมืองราชคฤห์ แต่เนื่องจากในเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงนับถือชฎิลสามพี่น้อง คืออุรุเวลกัสสป นทีกัสสป และคยากัสสป ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงไปโปรดชฎิลสามพี่น้องก่อน เมื่อทรงแสดงธรรมจนกระทั่งชฎิลสาม พี่น้องละความเชื่อดังเดิมของตน ยอมเป็นสาวกของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงพาชฏิล ทั้งสาม พร้อมสาวกอีกพันรูป เสด็จไปประทับยังลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม)ซึ่งอยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองราชคฤห์ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้สดับข่าว จึงเสด็จพร้อมประชาชนจำนวนมากไปยังสวนตาลหนุ่ม และเมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว ก็เกิดธรรมจักษุ และประกาศพระองค์เป็นอุบาสก
นอกจากนี้ ตาลปัตร ที่พระสงฆ์ใช้ในพิธีกรรมต่างๆนั้น สมัยโบราณทำมาจากใบตาล ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่า ‘ตาลปตฺต’ ซึ่งแปลว่าใบตาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันพระสงฆ์บ้านเราไม่นิยมใช้ตาลปัตรที่ทำจากใบลานแล้ว แต่พระสงฆ์ในประเทศอื่นที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น พม่า ศรีลังกากัมพูชา ลาว ยังนิยมใช้พัดที่ทำจากใบตาลอยู่ และถือเป็นพัดสารพัดประโยชน์ใช้พัดวีโบกไล่แมลง รวมทั้งใช้บังแดดด้วย
และด้วยลักษณะของต้นตาลซึ่งเมื่อตัดยอดไปแล้วกลายเป็น “ตาลยอดด้วน” ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป ดังคำที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสไว้ในพระสูตรต่างๆในพระไตรปิฎก ซึ่งขอยกมาบางตอนดังนี้
“...สมบัติ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา... ”
“...ดูกรชีวก บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา...”
“...ดูกรราธะ เธอจงสละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลินความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เธอจงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ในเวทนา...ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ วิญญาณนั้นจักเป็นธรรมชาติอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาด แล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา...”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 82 ก.ย. 50 โดยเรณุกา)