xs
xsm
sm
md
lg

คำสอนจากแม่..หลักยึดในชีวิต จีรนันท์ มโนแจ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในยุคสมัยที่อิทธิพลของอารยประเทศแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การกิน การใช้ชีวิต และอีกหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาแวดล้อม ทว่าหากไม่รู้จักตั้งหลักในชีวิตให้มั่นคง ซ้ำยังพลาดพลั้งกระโจนลงไปตามกระแสสังคมอันเชี่ยวกราก โดยปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจด้วยแล้ว คงเป็นการยากที่จะดำเนินชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยในสังคมปัจจุบัน

และสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญ แถมยังอยู่ใกล้ตัวมาก ที่สุด เห็นจะเป็น ‘สถาบันครอบครัว’ ซึ่งถือเป็นหน่วยเล็กๆ ในสังคมที่มีศักยภาพในการสร้างคนให้มีทั้งคุณภาพและคุณธรรมประจำใจ

ดังนั้นการมีครอบครัวที่อบอุ่น รักใคร่ ใกล้ชิด และดูแล ซึ่งกันและกัน นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต เช่นเดียวกับ ‘ยุ้ย’ จีรนันท์ มโนแจ่ม ดาราสาวยอดกตัญญูที่มาร่วมแบ่งปันความดีงามในชีวิตให้เป็นแบบอย่างกับเยาวชนไทยที่ดูเหมือนกำลังห่างไกลครอบครัวออกไปทุกที

นางเอกสาววัย 26 ปีเริ่มต้นย้อนชีวิตว่า ด้วยความที่เป็น เด็กต่างจังหวัด ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวย ดังนั้นทุกคน ในครอบครัว โดยเฉพาะแม่ของเธอจึงต้องทำงานหนัก และจำใจต้องอยู่ไกลห่างจากลูกๆ เพื่อแลกความเป็นอยู่ของชีวิต ที่ดีขึ้นในอนาคต

ตั้งแต่จำความได้ เธอและพี่สาวอีกสองคนจึงพยายามแบ่งเบาภาระของตาและยายที่ทั้งสามอาศัยอยู่ด้วย ส่วนใหญ่หน้าที่ประจำที่ต้องรับผิดชอบของทั้งสามใบเถาคงเป็นเรื่องงานบ้านต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กสาวสามารถช่วยเหลือบุพการีได้ในช่วงวัยเยาว์

“ชีวิตของยุ้ยจะผูกพันกับแม่และยายมากที่สุด เพราะอยู่ กับยายที่อยุธยามาตั้งแต่เกิด ส่วนแม่ไปขายของที่สระบุรี แต่ ก็จะมาหาทุกอาทิตย์ ยุ้ยกับพี่สาวสองคนต้องอยู่กับตาและยายมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เห็นพวกท่านเหนื่อยยากกว่าจะเลี้ยง เรามาจนโต

ตอนเป็นเด็กยังไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ สิ่งที่จะประพฤติ ปฏิบัติตัวกับ ตา ยาย และแม่ ให้มีความสุขความสบายใจได้ คือ เราต้องเชื่อฟังคำแนะนำสั่งสอน สิ่งใดที่ท่านไม่ชอบ ก็จะไม่ทำ และสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการตั้งใจเรียน

พอกลับมาบ้านก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านบ้าง ช่วยทำงานบ้าน ซึ่งพวกเราสามคนพี่น้องจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน บ้าน อย่างพี่สาวจะมีหน้าที่ประจำคือถูบ้าน ส่วนยุ้ยมีหน้าที่ ล้างจานกับกรอกน้ำ ส่วนยายจะทำกับข้าวเท่านั้น นอกนั้นงานบ้านอื่นๆ พวกหลานๆ จะรับผิดชอบหมด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทำได้ตอนที่เป็นเด็กๆ” ลูกสาวคนเล็กของบ้านบอกเล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์ที่ผ่านมา

จนวันหนึ่งเมื่อโชคเข้าข้างเด็กสาววัย 19 ปีที่มีความฝันอยากเข้าวงการบันเทิง ก็ได้แจ้งเกิดในเวทีดัชชี่เกิร์ล ปี 2000 ซึ่งถือเป็นบันไดขั้นแรกในชีวิตการแสดง ทั้งยังผลให้เธอได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณบุพการีตั้งแต่เพิ่งย่างเข้าอายุ 20 ปีเท่านั้นเอง

“ตั้งแต่เด็กคิดอยู่เสมอว่า ถ้าทำงานหาเงิน ได้เมื่อไหร่จะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา ตา ยาย และแม่จะไม่ต้องลำบาก ยุ้ยจะทำงาน หาเงินดูแลให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายที่สุด ตอนนั้นก็คิดได้แค่นั้น ซึ่งก็เป็นความฝันที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ ให้ได้

อาจเป็นเพราะความคิดที่อยากจะทำสิ่งดีๆให้กับครอบครัว รวมทั้งการที่ตัวเรามีเป้าหมายว่าจะเป็นคนดี คิดดี ทำดี ในที่สุดพอมีโอกาสได้เข้าวงการบันเทิง แม้จะต้องทำงานเหนื่อยมากแค่ไหน แต่ด้วยความที่เรามีความฝันที่จะทำเพื่อครอบครัว จากนั้นก็พยายามตั้งใจทำงานเก็บเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝันถึงได้มาเร็วกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

ยุ้ยทำงานในวงการบันเทิงได้เพียง 2-3 ปีก็เก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถให้แม่กับยายมีชีวิตสุขสบายได้แล้ว ยังเคยคิดเลยว่าจากเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ชีวิตเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่เคยฝันได้ แล้วก็ทำได้ดีด้วย เพราะโอกาสดีๆ ที่ได้มาในชีวิต” นางเอกสาวเผยความตั้งใจ

การรู้จักประหยัด มัธยัสถ์ รวมทั้งการเป็นคนมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคำสอนจากแม่และยายที่เธอ จดจำและนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี

เธอเล่าว่า คำสอนที่ยายพร่ำบอกเสมอ คือ เรื่องความประหยัด เงินทองที่ได้มาให้ใช้เท่าที่จำเป็น เพราะอนาคตเป็น เรื่องที่ไม่แน่นอน อยากให้รู้จักเก็บออมเงินไว้ใช้ยามจำเป็น อีกเรื่องที่สำคัญคือการมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัวเสมอ

“การเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ สิ่งที่ตามมาก็คือ ผู้ใหญ่ที่ได้พบเจอเรา หรือคนที่ได้ร่วมงาน กับเราทุกคนจะรักเรา ไม่เท่านั้นทุกคนยังชมไปถึงยายกับแม่ว่าสั่งสอนเรามาดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด เพราะคนอื่นไม่ได้ชมแค่ตัวเรา แต่ชมไปถึงครอบครัวว่าอบรมสั่งสอน เราเป็นอย่างดี” หญิงสาวบอกความภาคภูมิใจ

แม้ว่าวันนี้เธอจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หากสิ่งที่เธอประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่ครั้งสมัยเป็นเด็กยังเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวมาจนปัจจุบัน ทั้งยังไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ละเลยในการปฏิบัติสิ่งดีงามแบบไทยๆ ที่มีอุปนิสัยไปลามาไหว้บุพการี เสมอ นอกจากนี้การแสดงความรักในครอบครัว เช่น การกอด ถือเป็นการแสดงความรักที่มีต่อกันและกันได้อย่างลึกซึ้ง

“เรื่องการแสดงความรักในครอบครัว ยุ้ยกับแม่จะกอดกันเป็นประจำ ชอบนอนกอดแม่ แต่กับยายยุ้ยจะกราบยาย ทุกครั้งก่อนที่เอาเงินไปให้ยาย ไม่ใช่แค่ยื่นเงินให้ท่านเท่านั้น แล้วยายก็จะให้ศีลให้พรทุกครั้งด้วย

ที่สำคัญก่อนจะออกจากบ้าน หรือกลับมาจากทำงานก็จะไหว้แม่กับยายทุกครั้ง ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันทุกวัน ทำแบบ นี้มาตั้งแต่สมัยก่อนที่เราเป็นเด็กซึ่งสิ่งเหล่านี้เด็กสมัยใหม่จะไม่ค่อยทำกัน อย่างน้อยยุ้ยก็จะทำให้หลานๆเห็นว่าขนาด เราโตแล้วก็ยังต้องไหว้ยายกับแม่ตลอด ฉะนั้นเด็กๆก็ต้องให้ความเคารพกับผู้ใหญ่ในบ้านด้วย แถมยังเป็นเหมือนความสุขทางใจที่ได้ไหว้ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านที่เราควรจะเคารพบูชาด้วย” ดารายอดกตัญญูบอกวิธีแสดงความรักในครอบครัว

และเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ในฐานะที่เธอเคยได้รับรางวัลลูกกตัญญู เนื่องในวันแม่แห่งชาติ จากสภาสังคมสงเคราะห์ ปีพ.ศ.2544 ก็ได้ฝากข้อคิดมาถึงเยาวชนไทยว่า “ขอให้รักพ่อแม่ให้มากๆ บางคนอาจจะคิดว่าเกิดมาพ่อแม่ไม่เคยให้อะไรกับตัวเองเลย โดยลืมไปว่าใครกันเป็นผู้ให้ชีวิตแก่เราถ้าไม่ใช่พ่อแม่

พ่อแม่เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราทุกคน ยิ่งเราทำดีกับท่านมากเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น อยากให้รีบทำความดีให้กับพวกท่านตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีพวกท่านอยู่ให้ตอบแทน คนที่ยังมีพ่อแม่ให้ตอบแทน พระคุณถือว่าโชคดีมาก เพราะพ่อแม่เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด เป็นเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราควรจะเคารพบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเราเอง”


เช่นเดียวกับเธอซึ่งทุกวันนี้ได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูครบถ้วน และทำดีที่สุดแล้วนั่นเอง

(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย นันทยา)

กำลังโหลดความคิดเห็น