เรือลำหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาเป็นจำนวนมาก ในจำนวน นี้มีพระภิกษุหลายรูปอาศัยเรือลำนี้มาด้วย ขณะที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้านั้นเรือที่กำลังแล่นมากลับหยุดขึ้นมา เฉยๆโดยไม่รู้สาเหตุ อีกทั้งลมก็ไม่พัด ทะเลหยุดเงียบสงบ จนกระทั่งเรือไม่สามารถจะใช้ใบได้ นายเรือจึงปรึกษากันว่าเรือลำนี้จะต้องมีคนกาลกิณีอยู่ในเรืออย่างแน่นอน เพราะทุกครั้งที่เดินทางไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นายเรือจึงได้บอกว่าเพื่อความยุติธรรม ให้ทุกคนจับสลาก ไม่เว้นแม้แต่ตัวเองและพระ ภิกษุทุกรูปในเรือนี้ มีเพียงฉลากเดียวเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครเป็นกาลกิณีี หากใครจับสลากนั้นได้ก็จะได้รู้กัน และจะได้ เอาคนที่เป็นกาลกิณีีออกไปจากเรือ
เมื่อทุกเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็เริ่มจับสลาก ปรากฏว่าผู้ที่จับสลากได้ว่าเป็นกาลกิณีคือภรรยาของนายเรือนั่นเอง นางยังอยู่ในวัยแรกรุ่นที่สดใสน่าดู และสวยกว่าสาวทุกคนที่อยู่ใน เรือลำนั้น
แม้ว่าจะมีการให้จับสลากกันถึง ๓ ครั้ง แต่นางก็ยังจับได้ถึง ๓ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกที่อยู่ในเรือพากันมองหน้านายเรือ เป็นเชิงหารือว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดี
นายเรือจึงได้กล่าวกับพวกเขาว่า
“เราไม่อาจให้พวกท่านทั้งหลายฉิบหาย เพื่อประโยชน์แก่นาง นี้ผู้เดียว พวกท่านทั้งหลายจงทิ้งนางลงน้ำไปเถิด”
สิ้นคำกล่าวของนายเรือ ชายหนุ่มหลายคนก็ตรงเข้ามาเพื่อ จะจับนางโยนลงน้ำ ข้างฝ่ายภรรยานายเรือเกิดความรู้สึกกลัวสุดขีดต่อความตายที่อยู่เบื้องหน้า จึงร้องอ้อนวอนขอชีวิต เมื่อนายเรือได้ยินเสียงร้องของภรรยา จึงได้พูดขึ้นว่า
“พวกท่านจงปลดเครื่องประดับทั้งหมดที่นางใส่อยู่นั้นให้หมด ให้นางสวมเสื้อผ้าเก่าเพียงผืนเดียวก็พอ แล้วทิ้งนางลงทะเลไป และเราก็ไม่อยากเห็นนางลอยขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเอาทรายใส่กระออม(หม้อน้ำ) ผูกที่คอนางแล้วโยนลงทะเลไปเสียเถอะ” เมื่อนายเรือพูดจบก็เดินไปจากที่นั้น
ชายหนุ่มทั้งหลายจึงได้ช่วยกันเอาเครื่องประดับออกจากตัวภรรยาของนายเรือ แล้วให้นุ่งผ้าเก่าๆ พร้อมกับผูกกระออมทรายที่คอนาง และจับโยนลงทะเล ร่างของนางจึงจมดิ่งลงใต้น้ำและขาดใจตาย เป็นอาหารของพวกปลาทั้งหลายที่เข้ามารุมกินเนื้อ!!
หลังจากภรรยานายเรือถูกโยนลงทะเลแล้ว เรือก็กลับแล่น เข้าฝั่งได้ดังปกติ เมื่อเรือถึงฝั่งแล้ว พระภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ทูลถามถึงเรื่อง กรรมของภรรยานายเรือว่าเป็นมาอย่างไร เพราะผู้อื่นไม่สามารถจะรู้กรรมของนางได้
เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย หญิงนั้นได้ทำกรรมไว้ในอดีตชาติ และได้เสวยกรรมที่ตนทำมาแล้วเหมือนกัน แล้วพระพุทธองค์ ก็ทรงเล่าถึงอดีตชาติของภรรยานายเรือว่า
ในอดีตกาล นางเป็นภรรยาคหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี นางได้ทำหน้าที่ทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเอง ทั้งตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น นอกจากนั้นนางยังได้เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เมื่อสุนัขโตขึ้นมันจะตามนางไปทุกหนทุกแห่ง คอยเฝ้านางอยู่ตลอดเวลา แม้จะไปป่าหาฟืนและไปเก็บผักก็ตาม ทำให้พวกหนุ่มๆแถวนั้นที่เห็นสุนัขตามนางตลอดเวลา พากันพูดเยาะเย้ยถากถางเมื่อนางเดินผ่านมาว่า
“ดูซิ..พรานสุนัขออกมาแล้ว วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ” คำเยาะเย้ยของบรรดาชายหนุ่ม ทำให้นางเกิดความรู้สึกอับอาย จึงคิดที่จะฆ่าสุนัขเสีย นางจึงเอาก้อนดินและท่อนไม้ปา ใส่สุนัข เจ้าสุนัขจึงได้หลบไป สักพักมันก็หวนกลับมาตามนางไปอีก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสุนัขตัวนี้เคยเป็นสามีของนางในภพชาติที่ ๓ และด้วยความรักความผูกพัน มันจึงไม่สามารถตัดขาดความรักที่มีต่อนางได้ จึงได้ติดตามนางตลอด แม้ว่าจะถูกตีหรือไล่ไปก็ตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นางจะไล่ตีอย่างไร สุนัขก็ไม่ยอมไปไหน ทำให้นางโกรธมาก จึงคิดหาแผนการณ์ที่จะฆ่าสุนัขนั้นเสีย วันหนึ่งนางจึงนำเชือกติดตัวไปด้วย ขณะที่นำอาหารไปให้สามียังที่นา สุนัขตัวนั้นก็ตามนางไปเหมือนเช่นเคย
หลังจากนำอาหารให้สามีเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้ถือกระออมเปล่าไปยังท่าน้ำ แล้วนำทรายมาใส่ไว้ในกระออมจนเต็ม จากนั้นจึงแสร้งพูดจาอ่อนหวานกับเจ้าสุนัขที่เดินตามมาอยู่ใกล้ๆ
ฝ่ายเจ้าสุนัข เมื่อได้ยินเสียงไพเราะอ่อนหวาน ก็รู้สึกดีใจ เพราะไม่เคยได้ยินเช่นนี้มานานแล้ว แต่มันไม่รู้เลย
ว่าความตายกำลังจะคืบคลานเข้ามาหามันแล้ว มันจึงกระดิกหางและเดินเข้าไปหานางด้วยความรัก
จังหวะนั้นเองนางจึงนำเชือกที่ติดตัวมา ผูกเข้าที่คอของสุนัข ส่วนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งผูกติดกับกระออมที่ใส่ทรายไว้ แล้วนางก็ผลักกระออมอย่างสุดแรง กระออมกลิ้งลงน้ำอย่างรวดเร็วพร้อมกับลากเอาสุนัขตัวนั้นตกลง ไปด้วย เจ้าสุนัขค่อยๆจมหายไป และขาดใจตายในน้ำนั่นเอง!!
ด้วยวิบากกรรมที่ทำกับสุนัขครั้งนี้ ทำให้นางต้องตกนรกหมกไหม้อยู่นาน และแม้จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่วิบากกรรมที่ยังเหลืออยู่ จึงทำให้นางต้องตายด้วยการถูกถ่วงน้ำถึง ๑๐๐ ชาติ!! แม้ในชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่าคนทำกรรมชั่วเอาไว้ หนีไปในอากาศก็ตาม หนีไปในภูเขาก็ตาม หนีไปในมหาสมุทร ก็ตาม ไม่สามารถที่จะหนีกรรมชั่วได้เลย
.....
ทุกคนที่เกิดมานั้น ไม่มีใครรู้เลยว่า ในภพชาติก่อนๆนั้น ได้เคยทำกรรมอะไรไว้บ้าง และก็ไม่รู้เลยว่าวิบากกรรม นั้นจะส่งผลอย่างไร จะต้องไปชดใช้ด้วยการตกนรกหมกไหม้นานแค่ไหน หรือไปเกิดในอัตภาพใดอีก อาจจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน และแม้กระทั่งได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว แต่วิบากกรรมก็ยังตามให้ผลอีกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาติ ดังเช่นภรรยานายเรือผู้นี้
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีเมื่อชาตินี้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งสามารถสร้างบุญกุศลได้ ก็ควรหมั่นสร้างไว้ให้มากๆ ทั้งทำบุญทำทาน ถือศีล เจริญภาวนา ตั้งกาย วาจา ใจ ในทางที่เป็นกุศล เพียรทำแต่ความดี ย่อมทำให้วิบากกรรมบรรเทาเบาบางลง เพราะอย่างน้อยๆชาตินี้ ถ้าทำดีมากกว่าทำชั่ว ก็มีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้น้อยลงไปเช่นกัน
ขอให้ทุกคนตั้งสติ ก่อนที่จะทำชั่ว เพราะทำไปแล้วเอาคืนไม่ได้เลย แต่ที่ได้คืนอย่างแน่นอนก็คือวิบากกรรมที่ ตนได้ทำมาแล้วนั่นเอง ยิ่งมีเจตนาที่จะกระทำชั่วด้วยแล้ว วิบากกรรมก็จะแรงยิ่งขึ้น เพราะมีเจตนาเป็นตัวกำหนด นั่นเอง
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดยพระมหา ดร.ณรงค์ศักดิ์ ฐิติยาโณ วัดใหม่ยายแป้น)
เมื่อทุกเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็เริ่มจับสลาก ปรากฏว่าผู้ที่จับสลากได้ว่าเป็นกาลกิณีคือภรรยาของนายเรือนั่นเอง นางยังอยู่ในวัยแรกรุ่นที่สดใสน่าดู และสวยกว่าสาวทุกคนที่อยู่ใน เรือลำนั้น
แม้ว่าจะมีการให้จับสลากกันถึง ๓ ครั้ง แต่นางก็ยังจับได้ถึง ๓ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกที่อยู่ในเรือพากันมองหน้านายเรือ เป็นเชิงหารือว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดี
นายเรือจึงได้กล่าวกับพวกเขาว่า
“เราไม่อาจให้พวกท่านทั้งหลายฉิบหาย เพื่อประโยชน์แก่นาง นี้ผู้เดียว พวกท่านทั้งหลายจงทิ้งนางลงน้ำไปเถิด”
สิ้นคำกล่าวของนายเรือ ชายหนุ่มหลายคนก็ตรงเข้ามาเพื่อ จะจับนางโยนลงน้ำ ข้างฝ่ายภรรยานายเรือเกิดความรู้สึกกลัวสุดขีดต่อความตายที่อยู่เบื้องหน้า จึงร้องอ้อนวอนขอชีวิต เมื่อนายเรือได้ยินเสียงร้องของภรรยา จึงได้พูดขึ้นว่า
“พวกท่านจงปลดเครื่องประดับทั้งหมดที่นางใส่อยู่นั้นให้หมด ให้นางสวมเสื้อผ้าเก่าเพียงผืนเดียวก็พอ แล้วทิ้งนางลงทะเลไป และเราก็ไม่อยากเห็นนางลอยขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเอาทรายใส่กระออม(หม้อน้ำ) ผูกที่คอนางแล้วโยนลงทะเลไปเสียเถอะ” เมื่อนายเรือพูดจบก็เดินไปจากที่นั้น
ชายหนุ่มทั้งหลายจึงได้ช่วยกันเอาเครื่องประดับออกจากตัวภรรยาของนายเรือ แล้วให้นุ่งผ้าเก่าๆ พร้อมกับผูกกระออมทรายที่คอนาง และจับโยนลงทะเล ร่างของนางจึงจมดิ่งลงใต้น้ำและขาดใจตาย เป็นอาหารของพวกปลาทั้งหลายที่เข้ามารุมกินเนื้อ!!
หลังจากภรรยานายเรือถูกโยนลงทะเลแล้ว เรือก็กลับแล่น เข้าฝั่งได้ดังปกติ เมื่อเรือถึงฝั่งแล้ว พระภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ทูลถามถึงเรื่อง กรรมของภรรยานายเรือว่าเป็นมาอย่างไร เพราะผู้อื่นไม่สามารถจะรู้กรรมของนางได้
เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย หญิงนั้นได้ทำกรรมไว้ในอดีตชาติ และได้เสวยกรรมที่ตนทำมาแล้วเหมือนกัน แล้วพระพุทธองค์ ก็ทรงเล่าถึงอดีตชาติของภรรยานายเรือว่า
ในอดีตกาล นางเป็นภรรยาคหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี นางได้ทำหน้าที่ทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเอง ทั้งตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น นอกจากนั้นนางยังได้เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เมื่อสุนัขโตขึ้นมันจะตามนางไปทุกหนทุกแห่ง คอยเฝ้านางอยู่ตลอดเวลา แม้จะไปป่าหาฟืนและไปเก็บผักก็ตาม ทำให้พวกหนุ่มๆแถวนั้นที่เห็นสุนัขตามนางตลอดเวลา พากันพูดเยาะเย้ยถากถางเมื่อนางเดินผ่านมาว่า
“ดูซิ..พรานสุนัขออกมาแล้ว วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ” คำเยาะเย้ยของบรรดาชายหนุ่ม ทำให้นางเกิดความรู้สึกอับอาย จึงคิดที่จะฆ่าสุนัขเสีย นางจึงเอาก้อนดินและท่อนไม้ปา ใส่สุนัข เจ้าสุนัขจึงได้หลบไป สักพักมันก็หวนกลับมาตามนางไปอีก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสุนัขตัวนี้เคยเป็นสามีของนางในภพชาติที่ ๓ และด้วยความรักความผูกพัน มันจึงไม่สามารถตัดขาดความรักที่มีต่อนางได้ จึงได้ติดตามนางตลอด แม้ว่าจะถูกตีหรือไล่ไปก็ตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นางจะไล่ตีอย่างไร สุนัขก็ไม่ยอมไปไหน ทำให้นางโกรธมาก จึงคิดหาแผนการณ์ที่จะฆ่าสุนัขนั้นเสีย วันหนึ่งนางจึงนำเชือกติดตัวไปด้วย ขณะที่นำอาหารไปให้สามียังที่นา สุนัขตัวนั้นก็ตามนางไปเหมือนเช่นเคย
หลังจากนำอาหารให้สามีเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้ถือกระออมเปล่าไปยังท่าน้ำ แล้วนำทรายมาใส่ไว้ในกระออมจนเต็ม จากนั้นจึงแสร้งพูดจาอ่อนหวานกับเจ้าสุนัขที่เดินตามมาอยู่ใกล้ๆ
ฝ่ายเจ้าสุนัข เมื่อได้ยินเสียงไพเราะอ่อนหวาน ก็รู้สึกดีใจ เพราะไม่เคยได้ยินเช่นนี้มานานแล้ว แต่มันไม่รู้เลย
ว่าความตายกำลังจะคืบคลานเข้ามาหามันแล้ว มันจึงกระดิกหางและเดินเข้าไปหานางด้วยความรัก
จังหวะนั้นเองนางจึงนำเชือกที่ติดตัวมา ผูกเข้าที่คอของสุนัข ส่วนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งผูกติดกับกระออมที่ใส่ทรายไว้ แล้วนางก็ผลักกระออมอย่างสุดแรง กระออมกลิ้งลงน้ำอย่างรวดเร็วพร้อมกับลากเอาสุนัขตัวนั้นตกลง ไปด้วย เจ้าสุนัขค่อยๆจมหายไป และขาดใจตายในน้ำนั่นเอง!!
ด้วยวิบากกรรมที่ทำกับสุนัขครั้งนี้ ทำให้นางต้องตกนรกหมกไหม้อยู่นาน และแม้จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่วิบากกรรมที่ยังเหลืออยู่ จึงทำให้นางต้องตายด้วยการถูกถ่วงน้ำถึง ๑๐๐ ชาติ!! แม้ในชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่าคนทำกรรมชั่วเอาไว้ หนีไปในอากาศก็ตาม หนีไปในภูเขาก็ตาม หนีไปในมหาสมุทร ก็ตาม ไม่สามารถที่จะหนีกรรมชั่วได้เลย
.....
ทุกคนที่เกิดมานั้น ไม่มีใครรู้เลยว่า ในภพชาติก่อนๆนั้น ได้เคยทำกรรมอะไรไว้บ้าง และก็ไม่รู้เลยว่าวิบากกรรม นั้นจะส่งผลอย่างไร จะต้องไปชดใช้ด้วยการตกนรกหมกไหม้นานแค่ไหน หรือไปเกิดในอัตภาพใดอีก อาจจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน และแม้กระทั่งได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว แต่วิบากกรรมก็ยังตามให้ผลอีกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาติ ดังเช่นภรรยานายเรือผู้นี้
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีเมื่อชาตินี้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งสามารถสร้างบุญกุศลได้ ก็ควรหมั่นสร้างไว้ให้มากๆ ทั้งทำบุญทำทาน ถือศีล เจริญภาวนา ตั้งกาย วาจา ใจ ในทางที่เป็นกุศล เพียรทำแต่ความดี ย่อมทำให้วิบากกรรมบรรเทาเบาบางลง เพราะอย่างน้อยๆชาตินี้ ถ้าทำดีมากกว่าทำชั่ว ก็มีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้น้อยลงไปเช่นกัน
ขอให้ทุกคนตั้งสติ ก่อนที่จะทำชั่ว เพราะทำไปแล้วเอาคืนไม่ได้เลย แต่ที่ได้คืนอย่างแน่นอนก็คือวิบากกรรมที่ ตนได้ทำมาแล้วนั่นเอง ยิ่งมีเจตนาที่จะกระทำชั่วด้วยแล้ว วิบากกรรมก็จะแรงยิ่งขึ้น เพราะมีเจตนาเป็นตัวกำหนด นั่นเอง
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดยพระมหา ดร.ณรงค์ศักดิ์ ฐิติยาโณ วัดใหม่ยายแป้น)