หนึ่งในงานศิลปาชีพ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงให้การส่งสริมและสนับสนุนแก่ราษฎรทางภาคใต้ก็คืองานหัตถกรรมเครื่องจักสานที่ทำจาก‘ย่านลิเภา’ เช่น กระเป๋าถือ พาน และของใช้อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงซื้อไว้ทรงใช้ และพระราชทานเป็นของ ขวัญ ทั้งโปรดเกล้าฯให้อนุรักษ์ย่านลิเภาไว้ด้วย
โดยเมื่อมีการสร้างพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อ พ.ศ.2516 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงทอดพระเนตรเห็นต้นย่านลิเภาขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติจึงได้โปรดให้จัดกลุ่มจักสานย่านลิเภาขึ้นเป็นแห่งแรกที่จังหวัดนราธิวาส
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้มีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2521 เนื่องในโอกาสวันเฉลิม-พระชนมพรรษา ความตอนหนึ่งได้ตรัสถึงย่านลิเภาว่า
“..ย่านลิเภานี่ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหญ้าชนิดหนึ่ง แต่ตอน หลังเห็นชาวต่างประเทศเขาสนใจมาก จึงได้ทราบว่า เป็นใยชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลของเฟิน แข็งแล้วเหนียวมาก เหนียวแล้วอ่อน สลวยเชียวถักได้อย่างงดงาม สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดให้สมเด็จพระบรมราชินีต่างๆถือ ซึ่งบัดนี้อายุกว่า 100 ปีก็ยังอยู่สวยงาม เมื่อคราวท่านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมา ข้าพเจ้าก็ให้ดู เขาก็ตื่นเต้นบอกว่า แหมนี่เป็น ใยอะไรถึงได้สวยงามและอยู่ได้ทนทานกว่าหวายอยู่ถึง 100 ปี สียิ่งขรึมไป สวยเป็นมันอยู่ในที สวยกว่าถักใหม่ๆ อีก...”
และความตอนหนึ่งในพระราชดำรัส เมื่อวันที่11 สิงหาคม พ.ศ.2539 ว่า
“...ชาวต่างประเทศฉงนมาก ในการสานกระเป๋าลิเภา ที่เป็น วัชพืชอย่างหนึ่ง ขึ้นในต้นยาง สวนยาง สีดำ น้ำตาล และชาวภาคใต้ก็เอามาสานเป็นกระเป๋า ที่เรียกกระเป๋าลิเภา สานสวย งามมาก อันนี้เป็นสิ่งที่ตรึงตาตรึงใจชาวต่างประเทศ เพราะเขาเห็นว่าเป็นของยาก สานได้เหลือเส้นเล็กเท่ากับเส้นผม...”
ลิเภา เป็นพืชจำพวกเฟิน อยู่ในสกุล Lygodium วงศ์ Schizaeaceae มีอยู่หลายชนิด เช่น L.circinatum SW., L.flexuosum SW. เป็นต้น ซึ่งเฟินในสกุล Lygodium นี้จัดอยู่ในกลุ่มเฟิน เถาเลื้อย มีเหง้าลำต้นอยู่ในดิน ส่วนที่เป็นเถา คือส่วนของใบที่พัฒนาต่อยอดขึ้นไปเกาะเกี่ยวต้นไม้ที่อยู่ใกล้ เพื่อขึ้นไปรับแสงอาทิตย์ด้านบน บางชนิดเลื้อยได้ยาวถึง 5 เมตร แต่โดยทั่วไปยาวราว 1-2 เมตร เถาของลิเภามีลักษณะกลม เหนียว เมื่อแก่มีสีดำเป็นมัน ใบเป็นใบประกอบ ประกอบด้วย ใบย่อย บางชนิดมีรูปร่างแบบใบหอก ใบที่สร้างอับสปอร์จะเรียวยาวและขอบใบจะเป็นจักหยาบกว่าใบที่ไม่สร้างอับสปอร์ สามารถมองเห็นอับสปอร์ยื่นออกมาตามขอบใบ ขยายพันธุ์โดยการสร้างสปอร์และการแตกกอ
สันนิษฐานว่า คำว่า ‘ลิเภา’ คงจะเรียกเพี้ยนมาจากคำในภาษามาลายูว่า ‘ลิบู’ แปลว่าตีนจิ้งจก เพราะลักษณะใบของ ลิเภาชนิดหนึ่งมีลักษณะหยัก คล้ายตีนจิ้งจก และเหตุที่เรียกว่าย่านลิเภา เพราะภาษาทางภาคใต้เรียก ‘เถาวัลย์’ ว่า ‘ย่าน’ นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นๆเช่น หญ้าลิเภา หญ้ายายเภา ลิเภาใหญ่ ลิเภาหางไก่ เป็นต้น มักขึ้นอยู่ในแถบที่ชุ่มชื้น เป็นเฟิน ที่กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก ซึ่งค้นพบแล้วประมาณ 34 ชนิด
สำหรับสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรของย่านลิเภา ได้แก่ เถา ใช้ปรุงยาแก้พิษฝีภายใน ฝีภายนอก ราก ลำต้น เหง้า ทั้งต้น แก้เจ็บคอ เสียงแหบแห้ง ปวดหลัง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทาง เดินปัสสาวะ นิ่วในไต เลือดตกใน รากและใบ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก ส่วน ใบ ใช้ตำพอกแก้แผลอักเสบจากพิษงู ตะขาบ แมงป่อง และแมลงมีพิษกัดต่อย และใช้คั้นน้ำหยอดตาแก้ตาเจ็บ
ด้วยความที่หัตถกรรมจักสานจาก ย่านลิเภามีความสวยสดงดงาม จากฝีมืออันปราณีต จึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากทั้งในและนอกประเทศ
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย เรณุกา)