ปัจจุบัน กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘ว.วชิรเมธี’ หรือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แห่งวัดเบญจบพิตรดุสิตวนาราม พระนักเผยแผ่ชื่อดัง ผู้มีผลงาน การเขียนหนังสือมากมายจนเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ผู้อ่านทุกเพศวัย หลายเรื่องได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนฮอตฮิตติดลมบน อาทิ เรื่องธรรมะติดปีก ซึ่งต่อมาชื่อ ‘ธรรมะติดปีก’ ได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ ‘ว.วชิรเมธี’ ไปแล้ว
ล่าสุดสำนักพิมพ์ Actionframe kids ได้จัดทำหนังสือการ์ตูนชีวประวัติของพระมหาวุฒิชัย ในชื่อ ‘ว.วชิรเมธี ผู้ติดปีกให้ธรรมะ’ หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมชีวประวัติของท่าน ซึ่งยังไม่เคยเผยแพร่ที่ใด มาก่อน มาถ่ายทอดผ่านตัวการ์ตูนลายเส้น สวยงาม พร้อมสอดแทรกธรรมะผ่านคำสอนของท่านอย่างสนุกสนาน เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชนได้เพลิดเพลินกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาและสามารถนำ ไปปฎิบัติต่อได้อย่างมีคุณค่า
โดยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ Actionframe kids ได้จับมือกับพันธมิตรร่วมอย่างร้านนายอินทร์ สยามพารากอน และ READ Write เปิดตัวหนังสือการ์ตูนเล่มดังกล่าว ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
ทั้งนี้บรรยากาศภายในงานเปิดตัวหนังสือ เต็มไปด้วยเหล่าบรรดาลูกศิษย์คนดังจากหลาก หลายวงการ อาทิ ดารานักแสดงหนุ่มชื่อดัง ‘หนุ่ม’ กรรชัย กำเนิดพลอย ‘ฮาร์ท’ สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล พิธีกรรายการโทรทัศน์ และสองนางสาวไทย ‘หมิง’ ชาลิสา บุญครองทรัพย์ และ ‘บุ๋ม’ ปนัดดา วงศ์ผู้ดี มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์คำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี กันอย่างสนุกสนาน
นิธิ เจริญกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ Actionframe kids ในฐานะที่เป็นโต้โผหลักในการจัดงานครั้งนี้ ได้เล่าถึงเหตุผลในการหยิบประวัติของพระที่กำลังอินเทรนด์มาจัดทำว่า ต้องการจะให้ประชาชนทุกคนได้รู้ประวัติของพระอาจารย์ ที่ยังไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ตั้งแต่ชีวิตในวัยเยาว์ จนถึงชีวิตภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ และกลายมาเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ ‘ติดปีกให้ธรรมะ’ ให้อยู่ในความสนใจของประชาชนทุกเพศทุกวัยอย่างน่าฉงน โดยผ่านเส้น สายลายการ์ตูนในการบอกเล่า เพื่อให้เข้าใจกันได้อย่างง่ายๆ
นอกจากนี้ในงานวันเปิดตัวหนังสือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ยังได้เล่าถึงเนื้อหาบางส่วน ในหนังสือชีวประวัติเล่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ชีวิตของท่านในวัยเยาว์ตั้งแต่จำความได้ก็รู้สึก ว่าชีวิตจะเกี่ยวข้องและวนเวียนอยู่กับวัด พระพุทธศาสนามาโดยตลอด เพราะตั้งแต่เล็กก็เดินเข้าออกวัดเป็นว่าเล่น เนื่องจากมีโยมแม่เป็นคนสร้างบรรยากาศทางธรรมไว้ให้ ซึ่งท่าน ได้บอกว่า โยมแม่ของท่านเป็นคนธัมมะธัมโมมาก ทุกเช้าจะต้องตื่นมาเตรียมหุงหาอาหารเพื่อให้ทันเวลาใส่บาตร และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือทุกวันพระ ท่าน ว.และโยมแม่จะต้องไป ทำบุญและฟังเทศน์ที่วัดทุกครั้ง
“ทีตัง มะตัง มะตัง ทีกูจะนัง” หรือแปลเป็นภาษาไทยในภายหลังว่า “ที่ตั้งไม่ตั้ง มาตั้งที่กูจะนั่ง” นี่คือบทสวดมนต์ยาผีบอกที่โยมแม่ของท่านได้นำมาสอนให้ท่องทุกคืนก่อน นอน และด้วยความเป็นเด็กในขณะนั้นท่านจึงไม่รู้ว่าบทที่โยมแม่สอนมันคืออะไร แต่ท่านก็ท่องตามที่บอก ซึ่งหลังจากที่มาบวชเรียนแล้วจึงรู้ว่าบทสวดมนต์ที่เคยท่องมาตั้งแต่เด็กนั้นไม่มีอยู่ในบทสวดมนต์เลย แต่ท่านก็ยังคงภูมิใจในสิ่งที่แม่สอน เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ทำ ให้เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งนอนหลับฝันดีทุกคืน
นั่นเป็นเพียงความรู้สึกประทับใจของพระอาจารย์ในช่วงวัยเด็กเท่านั้น จนกระทั่งวันที่ท่านต้องตัดสินใจเลือกอนาคตของตัวเอง เป็นช่วงเวลาเมื่อใกล้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เสียงหนึ่งที่อยู่ภายในใจของท่านได้ดังก้องขึ้นมาว่า “ต้องบวช” เพราะจะเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ชีวิตเป็นอิสระ
ท่านเล่าว่าเหตุผลที่ทำให้ต้องหันหลังให้ทางโลกและเข้ามาอยู่ในทางธรรมนั้น เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ถ้าเรียนต่อในระบบสามัญศึกษา ก็จะทำให้โยมแม่และโยมพ่อต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จึงคิดว่าการบวชน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทุกคนจะได้ไม่ต้องลำบาก และที่สำคัญท่านต้องการจะมีชีวิตที่อิสระเหมือนนก ไม่ต้องการไปแย่งชิงแข่งขันกับคนในสังคม ดังนั้นพอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นสามเณรน้อยอยู่ที่วัดครึ่งใต้ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน ประกอบกับเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และในวัดก็ มีหนังสืออีกมากมายจึงทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
เมื่อท่าน ว.วชิรเมธี ได้บวชเรียนเป็นสามเณรอยู่นั้นก็ได้ตั้งใจศึกษาหาความรู้มาโดยตลอด กอปรกับนิสัยที่เป็นคนรักการอ่านจึงทำให้ศึกษาทั้งด้านธรรมะและทางโลกควบคู่กันไป ด้วยความคิดที่ว่า “ความรู้ทางโลกเปรียบเสมือนสะพานข้ามแม่น้ำแห่งความโง่” ดังนั้นแม้ ตนเองจะครองผ้าเหลืองอยู่ก็สามารถรู้ความเป็นไปของทางโลกทั้งหมด
แต่กว่าจะกลายมาเป็นพระผู้รอบรู้ทั้งทางธรรมและทางโลกดังเช่นปัจจุบัน ท่านต้องผ่าน พบกับปัญหาและอุปสรรคอย่างมากมาย ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ได้ละเมิดกฎข้อห้ามของวัดที่ห้ามไม่ให้พระเรียนทางโลก เพราะเจ้าอาวาสเกรงว่าพระเณรจะสึกหาลาเพศออกไปหมด แต่ท่านก็ได้หนีไปเรียนภาษาอังกฤษที่ YMCA อันเป็นสมาคมของศาสนาคริสต์ ซึ่งได้เปิดสอนให้ กับประชาชนทั่วไป ส่วนเวลาที่ว่างจากการเรียนภาษาอังกฤษในช่วงเย็น ก็ไปฝึกวิชาพิมพ์ดีด ให้คล่องมากขึ้น เพราะถ้าพระไม่มีความรู้เรื่องพิมพ์ดีดแล้วจะทำงานลำบาก
การไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษของท่านในครั้งนั้น ได้สร้างความประหลาดใจแก่เจ้าหน้าที่ ที่สมาคมฯเป็นอย่างมาก เพราะท่านไปสมัครทั้งๆที่ยังครองผ้าเหลืองอยู่ แต่ด้วยความคิดที่ว่า “การศึกษาไม่ควรมีพรมแดน” จึงกรอกใบสมัครเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ และตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาอังกฤษ แต่เรียนยังไม่ทันจบ เจ้าอาวาสรู้เรื่องจึงสั่งให้หยุดเรียน เพราะกลัวว่าพระจะสึกหาลาเพศออกไปหมด ท่านไม่มีทางเลือกจึงต้องหยุดเรียน
แต่แล้ววันหนึ่งโชคก็เข้าข้างผู้ที่มีจิตคงมั่นที่อยากจะใฝ่หาความรู้ เมื่อทางคณะของเจ้าอาวาสไปดูงานที่ต่างประเทศ เจอไกด์พูดภาษาอังกฤษแล้วฟังไม่เข้าใจ พอเจ้าอาวาสกลับมา จากต่างประเทศจึงอนุญาตให้พระทุกรูปเรียนภาษาอังกฤษได้
หลังจากที่ท่านสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม 6 ประโยคแล้ว จึงเดินทางมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯและได้ทุ่มเทกับการเรียนอย่างหนักจนสามารถสอบเปรียญธรรม 9 ได้ จากนั้นท่าน จึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท และช่วงนั้นเองที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศได้รู้จัก ว.วชิร-เมธี อย่างสมบูรณ์แบบ และจากการที่ท่านได้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมจึงทำให้ท่านสามารถทำให้เรื่องธรรมะอ่านง่ายขึ้น โดยการเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คชื่อ ‘ธรรมะติดปีก’ และอีกหลายเรื่องต่อมา จนมีคำเรียกท่านว่า ‘Modern monk’ พระรุ่นใหม่ ที่มีการเผยแผ่ธรรมะในรูปแบบใหม่ ทำให้ธรรมะอ่านง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของชีวประวัติท่านว.วชิรเมธีที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ‘ว.วชิรเมธี ผู้ติดปีกให้ธรรมะ’ หากอยากรู้เรื่องราวของท่านโดยละเอียด ก็ไปหาซื้ออ่านกันได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ในราคาเล่มละ 139 บาท
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 80 ก.ค. 50 โดย ศศิวิมล แถวเพชร)