สมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าได้ส่งพระอรหันตสาวกออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อชาวบ้าน ทั้งหลายที่ได้ฟังคำสอนของพระอรหันต์เหล่านั้น จึงได้ขออุปสมบทกันมากขึ้น เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้บวชเข้ามาแล้ว และได้ประพฤติปฎิบัติพอสมควร ก็คิดกันว่า พวกเราทั้งหลายได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว สมควรจะต้องไป เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ เพื่อจะได้บรรลุธรรม (เรื่องนี้ก็อาจเป็นได้ว่าประเพณีเหล่านี้สืบทอดกันมาถึงปัจจุบันนี้ว่า เมื่อถึงเวลาใกล้เข้าพรรษา พระผู้น้อยจะต้องเข้าไปหาพระเถระผู้ใหญ่ เพื่อรับฟังโอวาท เมื่อได้รับฟังธรรมแล้วจะได้นำธรรมเหล่านั้นมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุธรรมดังเช่นสมัยพุทธกาล) เช่นเดียวกับพระภิกษุ ๗ รูปเมื่อได้บวชแล้ว พอใกล้เข้าพรรษา ก็พากันเดินทางมาจากชายแดน หรือสมัยนั้นที่เรียกว่าปัจจันตชนบท เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ในระหว่างทางนั้นใกล้มืดค่ำแล้ว พระภิกษุเหล่านั้นจึงได้เข้าไปถามวัดที่อยู่ใกล้นั้นว่าที่ถ้ำนั้น มีที่พักไหม พระภิกษุซึ่งที่อยู่ที่นั้นบอกว่าที่ถ้ำนั้นมีที่ว่างอยู่ เมื่อพระภิกษุทั้ง ๗ รูปได้ไปสำรวจก็พบว่ามีเตียงอยู่ ๗ เตียง จึงได้เข้าไปพักในที่นั้นทั้ง ๗ รูป
ตกดึกคืนนั้นเอง ก้อนหินขนาดใหญ่ก็ได้หล่นลงมาปิด ปากถ้ำจนสนิท!!
ครั้นรุ่งเช้าพระภิกษุที่อยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงพากันกล่าวว่า
“พวกเราได้ให้พระภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ พักในถ้ำแห่งนี้ แต่หินก้อนใหญ่ได้เคลื่อนมาปิดปากถ้ำเสียแล้ว จำเราจะต้องเกณฑ์ผู้คนมาช่วยกันเคลื่อนย้ายหินออกไป”
บรรดาพระภิกษุที่วัดนั้นได้เรียกชาวบ้านจาก ๗ ตำบลโดยรอบ มาช่วยกันงัดหินออกจากปากถ้ำ แต่ไม่ว่าจะช่วย กันออกแรงสักปานใด หินก้อนใหญ่นั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลย!!
ขณะเดียวกันภิกษุทั้ง ๗ ที่ติดอยู่ภายในถ้ำก็พยายาม ออกแรงช่วยกันดันก้อนหินใหญ่ด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ
วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามกันอยู่ เช่นนี้ เพื่อหวังจะเปิดปากถ้ำให้ได้ แต่หินก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
เวลาล่วงเข้า ๗ วัน ภิกษุ ๗ รูปที่ติดอยู่ภายในถ้ำต่าง พากันประสบทุกขเวทนาจากความหิวโหยอย่างหนัก จนพากันหมดเรี่ยวแรง และคิดว่าอาจต้องตายในถ้ำเสียแล้ว!!
แต่แล้วในวันที่ ๗ นั้นเอง อยู่ๆหินก้อนใหญ่นั้นก็กลิ้ง ออกไปพ้นจากปากถ้ำเอง โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้พระ
ภิกษุทั้ง ๗ รูปออกมาจากถ้ำได้ก่อนที่จะเสียชีวิต และเมื่อ พระภิกษุทั้ง ๗ รูปมีกำลังพอที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระ-
พุทธเจ้าได้แล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน พร้อมกับทูลถามเรื่อง บุพกรรมของตนที่ได้ทำไว้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน”
จากนั้นจึงทรงเล่าถึงบุพกรรมในครั้งอดีตของพระภิกษุทั้ง ๗ รูป ดังนี้
ในอดีตกาลมีเด็กเลี้ยงโคชาวพารณสี ๗ คน ต้องนำโคออกไปเลี้ยงที่นอกเมืองคราวละ ๗ วัน พวกเด็กเหล่านี้ได้ต้อนฝูงโคออกจากเมืองเข้าไปเลี้ยงในป่า ปล่อยให้โค กินหญ้าตามสบาย ส่วนพวกเขาก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน
วันหนึ่งหลังกลับจากนำโคไปเลี้ยง เด็กเหล่านั้นก็ได้ เห็นเหี้ยตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่เท่าตัวคน ก็ปรึกษากันว่าจะจับเหี้ยตัวนี้เอาไปกิน พวกเขาพากันไล่ต้อนเหี้ยตัวนั้น ที่ตื่นตกใจ วิ่งหนีเข้าไปที่จอมปลวกแห่งหนึ่งที่มีช่อง ๗ ช่อง
เมื่อพวกเด็กทั้ง ๗ คนเห็นตัวเหี้ยวิ่งเข้าไปในนั้น จึงไม่สามารถจะจับเหี้ยตัวนั้นได้ จึงปรึกษากันว่า
“เมื่อวันนี้จับไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาจับก็แล้วกัน”
ตกลงกันได้ดังนั้น เด็กทั้งหมดจึงช่วยกันเอากิ่งไม้มาปิดช่องทางของจอมปลวกทั้ง ๗ ช่อง เพื่อไม่ให้เหี้ยหนี ออกมาได้
จากนั้นพวกเด็กทั้ง ๗ คนก็พากันต้อนโคกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นพวกเด็กเหล่านั้นต้องต้อนโคไปเลี้ยงยังอีกที่หนึ่ง จึงลืมเสียสนิทว่าพวกเขาได้เอาไม้ปิดปากทางของเหี้ยตัวนั้นไว้!!
กระทั่งวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันที่ต้องต้อนโคกลับบ้าน และผ่านมายังจอมปลวกแห่งเดิม จึงพากันได้สติคิดได้ว่า พวกตนได้ขังตัวเหี้ยไว้ในจอมปลวกนี้
“เจ้าเหี้ยนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ”
เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงช่วยกันนำไม้ที่ปิดช่องทางทั้ง ๗ แห่งไว้ ออกมาจนหมด ฝ่ายตัวเหี้ยซึ่งไม่ได้กินอาหารไม่ได้กิน น้ำตลอด ๗ วัน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ค่อยๆคลานออกมาด้วยความอิดโรยอย่างหนัก!!
เมื่อเด็กทั้ง ๗ เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเจ้าตัวเหี้ยแล้ว ก็บังเกิดความเมตตาสงสารขึ้นมา ปรึกษากันว่า
“พวกเราอย่าไปฆ่ามันเลย ดูซิ..มันอดข้าวอดน้ำตลอด ๗ วันมาแล้ว”
พูดจบก็เอามือค่อยๆลูบหลังเหี้ยตัวนั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าจงไปตามสบายเถอะ พวกเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
เหี้ยตัวนั้นจึงค่อยๆคลานเข้าป่าไป
เด็กเลี้ยงโคเหล่านั้นซึ่งได้ทำกรรมร่วมกันมา จึงต้อง ชดใช้กรรมที่พวกเขาได้ทำไว้ โดยประสบกับการอดอาหารและน้ำตลอด ๗ วัน ทุกชาติ รวม ๑๔ ชาติที่ได้เกิดมา แต่ยังดีที่เด็กเหล่านั้นไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย
และภิกษุ ๗ รูปที่ติดอยู่ในถ้ำตลอด ๗ วัน ก็คืออดีต เด็กเลี้ยงโคทั้ง ๗ คนนั้นเอง
แล้วจึงตรัสพระคาถาว่า
“คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้น จากความชั่ว หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจาก กรรมชั่วได้ หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรม ชั่วได้ (เพราะ)เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่”
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระคาถาทั้งหมดแล้ว พระภิกษุทั้ง ๗ รูปนั้น ได้บรรลุอริยมรรค มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
.....
ทำกรรมเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น ทำกรรมดี กรรมดีย่อม สนอง ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็สนองเช่นกัน ไม่ว่าจะหลบหนี ไปอยู่ในดินแดนแคว้นใดก็ตาม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสข้างต้นว่าประเทศใดในโลกนี้ที่ไปอยู่แล้วจะพ้นกรรมชั่วไปได้นั้น อย่าไปหวัง เพราะประเทศที่ว่านั้นไม่มีหรอก
ฉะนั้น ควรลดละเลิกการกระทำชั่วเสียแต่บัดนี้เถิด หันมาประกอบแต่คุณงามความดี ชีวิตวันนี้และวันข้างหน้า จะได้ดีต่อไป ไม่ผูกเวรกับใครๆให้ต้องตามไปชดใช้หนี้กรรมกันไม่รู้จบสิ้น
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 80 ก.ค. 50 โดยพระมหา ดร.ณรงค์ศักดิ์ ฐิติยาโณ วัดใหม่ยายแป้น)
ตกดึกคืนนั้นเอง ก้อนหินขนาดใหญ่ก็ได้หล่นลงมาปิด ปากถ้ำจนสนิท!!
ครั้นรุ่งเช้าพระภิกษุที่อยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงพากันกล่าวว่า
“พวกเราได้ให้พระภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ พักในถ้ำแห่งนี้ แต่หินก้อนใหญ่ได้เคลื่อนมาปิดปากถ้ำเสียแล้ว จำเราจะต้องเกณฑ์ผู้คนมาช่วยกันเคลื่อนย้ายหินออกไป”
บรรดาพระภิกษุที่วัดนั้นได้เรียกชาวบ้านจาก ๗ ตำบลโดยรอบ มาช่วยกันงัดหินออกจากปากถ้ำ แต่ไม่ว่าจะช่วย กันออกแรงสักปานใด หินก้อนใหญ่นั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลย!!
ขณะเดียวกันภิกษุทั้ง ๗ ที่ติดอยู่ภายในถ้ำก็พยายาม ออกแรงช่วยกันดันก้อนหินใหญ่ด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ
วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามกันอยู่ เช่นนี้ เพื่อหวังจะเปิดปากถ้ำให้ได้ แต่หินก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
เวลาล่วงเข้า ๗ วัน ภิกษุ ๗ รูปที่ติดอยู่ภายในถ้ำต่าง พากันประสบทุกขเวทนาจากความหิวโหยอย่างหนัก จนพากันหมดเรี่ยวแรง และคิดว่าอาจต้องตายในถ้ำเสียแล้ว!!
แต่แล้วในวันที่ ๗ นั้นเอง อยู่ๆหินก้อนใหญ่นั้นก็กลิ้ง ออกไปพ้นจากปากถ้ำเอง โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้พระ
ภิกษุทั้ง ๗ รูปออกมาจากถ้ำได้ก่อนที่จะเสียชีวิต และเมื่อ พระภิกษุทั้ง ๗ รูปมีกำลังพอที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระ-
พุทธเจ้าได้แล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน พร้อมกับทูลถามเรื่อง บุพกรรมของตนที่ได้ทำไว้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน”
จากนั้นจึงทรงเล่าถึงบุพกรรมในครั้งอดีตของพระภิกษุทั้ง ๗ รูป ดังนี้
ในอดีตกาลมีเด็กเลี้ยงโคชาวพารณสี ๗ คน ต้องนำโคออกไปเลี้ยงที่นอกเมืองคราวละ ๗ วัน พวกเด็กเหล่านี้ได้ต้อนฝูงโคออกจากเมืองเข้าไปเลี้ยงในป่า ปล่อยให้โค กินหญ้าตามสบาย ส่วนพวกเขาก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน
วันหนึ่งหลังกลับจากนำโคไปเลี้ยง เด็กเหล่านั้นก็ได้ เห็นเหี้ยตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่เท่าตัวคน ก็ปรึกษากันว่าจะจับเหี้ยตัวนี้เอาไปกิน พวกเขาพากันไล่ต้อนเหี้ยตัวนั้น ที่ตื่นตกใจ วิ่งหนีเข้าไปที่จอมปลวกแห่งหนึ่งที่มีช่อง ๗ ช่อง
เมื่อพวกเด็กทั้ง ๗ คนเห็นตัวเหี้ยวิ่งเข้าไปในนั้น จึงไม่สามารถจะจับเหี้ยตัวนั้นได้ จึงปรึกษากันว่า
“เมื่อวันนี้จับไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาจับก็แล้วกัน”
ตกลงกันได้ดังนั้น เด็กทั้งหมดจึงช่วยกันเอากิ่งไม้มาปิดช่องทางของจอมปลวกทั้ง ๗ ช่อง เพื่อไม่ให้เหี้ยหนี ออกมาได้
จากนั้นพวกเด็กทั้ง ๗ คนก็พากันต้อนโคกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นพวกเด็กเหล่านั้นต้องต้อนโคไปเลี้ยงยังอีกที่หนึ่ง จึงลืมเสียสนิทว่าพวกเขาได้เอาไม้ปิดปากทางของเหี้ยตัวนั้นไว้!!
กระทั่งวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันที่ต้องต้อนโคกลับบ้าน และผ่านมายังจอมปลวกแห่งเดิม จึงพากันได้สติคิดได้ว่า พวกตนได้ขังตัวเหี้ยไว้ในจอมปลวกนี้
“เจ้าเหี้ยนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ”
เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงช่วยกันนำไม้ที่ปิดช่องทางทั้ง ๗ แห่งไว้ ออกมาจนหมด ฝ่ายตัวเหี้ยซึ่งไม่ได้กินอาหารไม่ได้กิน น้ำตลอด ๗ วัน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ค่อยๆคลานออกมาด้วยความอิดโรยอย่างหนัก!!
เมื่อเด็กทั้ง ๗ เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเจ้าตัวเหี้ยแล้ว ก็บังเกิดความเมตตาสงสารขึ้นมา ปรึกษากันว่า
“พวกเราอย่าไปฆ่ามันเลย ดูซิ..มันอดข้าวอดน้ำตลอด ๗ วันมาแล้ว”
พูดจบก็เอามือค่อยๆลูบหลังเหี้ยตัวนั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าจงไปตามสบายเถอะ พวกเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
เหี้ยตัวนั้นจึงค่อยๆคลานเข้าป่าไป
เด็กเลี้ยงโคเหล่านั้นซึ่งได้ทำกรรมร่วมกันมา จึงต้อง ชดใช้กรรมที่พวกเขาได้ทำไว้ โดยประสบกับการอดอาหารและน้ำตลอด ๗ วัน ทุกชาติ รวม ๑๔ ชาติที่ได้เกิดมา แต่ยังดีที่เด็กเหล่านั้นไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย
และภิกษุ ๗ รูปที่ติดอยู่ในถ้ำตลอด ๗ วัน ก็คืออดีต เด็กเลี้ยงโคทั้ง ๗ คนนั้นเอง
แล้วจึงตรัสพระคาถาว่า
“คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้น จากความชั่ว หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจาก กรรมชั่วได้ หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรม ชั่วได้ (เพราะ)เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่”
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระคาถาทั้งหมดแล้ว พระภิกษุทั้ง ๗ รูปนั้น ได้บรรลุอริยมรรค มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
.....
ทำกรรมเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น ทำกรรมดี กรรมดีย่อม สนอง ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็สนองเช่นกัน ไม่ว่าจะหลบหนี ไปอยู่ในดินแดนแคว้นใดก็ตาม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสข้างต้นว่าประเทศใดในโลกนี้ที่ไปอยู่แล้วจะพ้นกรรมชั่วไปได้นั้น อย่าไปหวัง เพราะประเทศที่ว่านั้นไม่มีหรอก
ฉะนั้น ควรลดละเลิกการกระทำชั่วเสียแต่บัดนี้เถิด หันมาประกอบแต่คุณงามความดี ชีวิตวันนี้และวันข้างหน้า จะได้ดีต่อไป ไม่ผูกเวรกับใครๆให้ต้องตามไปชดใช้หนี้กรรมกันไม่รู้จบสิ้น
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 80 ก.ค. 50 โดยพระมหา ดร.ณรงค์ศักดิ์ ฐิติยาโณ วัดใหม่ยายแป้น)