xs
xsm
sm
md
lg

ไตรลักษณ์ (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอกัคคตา

อันสมาธินั้นคือความที่ตั้งจิตไว้ในกรรมฐาน คืออารมณ์ของสมาธิข้อใดข้อหนึ่งเพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตา ที่แปลตามศัพท์ว่า ‘มีอัค’ คือ ยอดเป็นอันเดียว ที่แปลกันโดยความหมายทั่วไปว่า มีอารมณ์เป็นอันเดียว เพราะคำว่ามียอดเป็นอันเดียว หรือว่ามียอดเดียวก็หมายถึงมีอารมณ์เดียวนั้นเอง เมื่อจิตมียอดเพียงยอดเดียว คือมีอารมณ์เดียวดังนี้ ก็ชื่อว่าได้สมาธิ ในการปฏิบัติเพื่อให้ได้สมาธินี้ ก็มุ่งปฏิบัติเพียงเพื่อให้จิตสงบจากอารมณ์ฟุ้งซ่านต่างๆ รวมใจเข้ามาได้ แม้ว่าไม่นานและไม่แนบแน่น แต่ก็มุ่งให้ใจสงบได้ไม่ฟุ้งซ่าน ดั่งนี้ ก็ ชื่อว่าเป็นสมาธิที่เป็นขณิกสมาธิสมาธิชั่วขณะหรือชั่วครู่ บริกรรมสมาธิ สมาธิในบริกรรมคือในการเริ่มปฏิบัติ หรืออุปจารสมาธิ สมาธิที่สงบมากเข้า แต่ไม่ ถึงแนบแน่น และตั้งอยู่ได้นาน ที่มักจะแปลกันว่า สมาธิเฉียดๆคือว่าเฉียด ที่จะเป็นอัปปนา แนบแน่น ถ้าต้องการสมาธิ เพียงเพื่อเป็นบาทของวิปัสสนา คือการอบรมพิจารณาให้ได้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงต่อไปก็ใช้ได้ คือน้อมจิตที่สงบ แม้ดังกล่าวนี้ไปพิจารณาสภาวธรรมโดยสามัญลักษณะ ก็เป็นทางวิปัสสนาปัญญา หรือว่ายังไม่ต้องการที่จะไปพิจารณาทางปัญญา ต้องการที่จะทำสมาธิให้แนบแน่นยิ่งขึ้นไปก็ทำได้ โดยกำหนดทำจิตให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิให้มียอดเป็นอันเดียว คือมีอารมณ์เป็นอันเดียวขั้นต่อไป เพื่อได้อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นจนถึงเข้าขั้นปฐมฌาน คือ ความเพ่งที่ 1 เป็นต้น ดั่งนี้ก็ทำได้ แต่แม้ว่าจะได้ถึงอัปปนาสมาธิเข้าขั้นฌาน ถ้าเพียงสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ทำให้ได้ปัญญา และถ้าไปติดในสมาธิ เช่นติดในฌาน ติดในอัปปนาสมาธิ สมาธินี้ก็จะกลายเป็นสมุทัย คือเป็นตัณหา เป็นอุปาทาน ไม่เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และแม้ว่าจะได้อัปปนาสมาธิได้ฌาน และเจริญอิทธิบาท เพื่อให้เกิดอำนาจจิตต่างๆดังที่เรียกว่า เป็นอิทธิ คือเป็นฤทธิ์ต่างๆ เป็นหูทิพย์เป็นตาทิพย์เป็นต้น แต่ว่าถ้าไปติดในอิทธิหรือฤทธิ์ต่างๆดังกล่าวนี้ ก็จะเป็น สมุทัย เป็นตัณหา เป็นอุปาทานไปอีกเช่นเดียวกัน ไม่นำไปสู่ความสิ้นทุกข์โดย ชอบ เพราะสมาธิดังกล่าวนี้ก็จะไม่เป็นมรรค อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ฉะนั้น แม้ได้สมาธิอย่างสูงเป็นอัปปนา หรือเป็นฌานชั้นใดก็ตาม เมื่อจะปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสิ้นทุกข์ เป็นวิมุตติเป็นมรรคเป็นผลต่อไป ก็จำต้อง น้อมจิตที่เป็นสมาธิ คือที่สงบตั้งมั่นนี้มาพิจารณาสภาวธรรมโดยสามัญลักษณะ ดังที่ได้แสดงแล้วว่า ใช้สมาธิกำหนดให้เห็นเทวทูตให้มาเป็นหูทิพย์ตาทิพย์เห็นเทวทูตดังที่พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ว่าเทวดามานิรมิตคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะให้ทรงเห็นนั้น และเมื่อจะแสดง ธรรมปฏิบัติอันเทวดานั้นเป็นกายทิพย์ การที่จะเห็นกายทิพย์ ก็ต้องเห็นด้วย ตาทิพย์หูทิพย์ เพราะฉะนั้นการที่จะเห็นเทวทูต ก็จะต้องเห็นด้วยตาทิพย์ ฟังหรือได้ยินด้วยหูทิพย์ เพราะว่าเทวทูตนั้นก็เป็นกายทิพย์เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับทางปัญญานี้ เทวทูตคือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะ เป็นต้น ซึ่งเป็นสัจจะคือความจริงของชีวิต ของสังขารของธรรมปฏิบัติ เป็นวิสัยของปัญญา เพราะฉะนั้นตาทิพย์หูทิพย์ทางปัญญานี้จึงเกิดจากปัญญา และปัญญานี้ก็เกิดอยู่ที่จิต ปัญญาจึงเป็นตาของจิตหรือว่าตาใจ หูใจ ตาใจหูใจที่เป็นตัวปัญญานี้ก็เห็น ได้ ได้ยินได้ เป็นหูทิพย์ตาทิพย์ แต่ว่าเห็นสิ่งที่เป็นวิสัยของปัญญาเช่นเทวทูตดังกล่าวนี้ และก็เป็นวิสัยของทุกๆคน ผู้ปฏิบัติธรรมจะอบรมให้เห็นได้ให้ได้ ยินได้ โดยที่หมั่นพินิจพิจารณา ซึ่งความพินิจนั้นก็คือความเพ่ง

อารัมมณูปนิชฌาน

ความเพ่งนั้นตามศัพท์ ก็คือ ฌาน และฌานที่เข้าใจกันเป็นฌานทางสมาธิ แต่อันที่จริงฌานทางปัญญาก็มี ฌานทางสมาธินั้นเรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน ความเข้าไปเพ่งอารมณ์ คือเพ่งอารมณ์ของสมาธิ ดั่งนี้เรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาณ จิตต้องเพ่งพินิจในอารมณ์ของสมาธิจึงจะได้เอกัตคตาของจิตที่เป็น ตัวสมาธิ

ลักขณูปนิชฌาน

อีกอย่างหนึ่งเพ่งลักษณะ ก็คือเพ่งไตรลักษณ์นั้นเอง การเพ่งลักษณะดั่งนี้เรียกว่า ลักขณูปณิชฌาน ความเข้าไปเพ่งลักษณะคือเพ่งไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้น แม้การหัดทำสมาธิจะได้สมาธิเป็นขณิก หรืออุปจาร หรือถึงแม้อัปปนา ก็ตาม เมื่อได้สมาธิแล้วก็เป็นการหัดจิตให้สามารถเพ่งได้พินิจได้เป็นอย่างดี มีพละคือพลัง กำลังในการเพ่งพินิจ ยิ่งได้อัปปนาสมาธิก็ยิ่งได้พลังในการเพ่ง พินิจได้มาก เพราะฉะนั้นก็ใช้พลังของสมาธิ คือความเพ่งพินิจนี้มาเพ่งลักษณะ คือไตรลักษณ์ และเมื่อเป็นดั่งนี้ ไตรลักษณ์ก็ปรากฏได้ง่าย และเห็นอนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตตตาความเป็นอนัตตาของสภาวธรรมทั้งหลายได้โดยง่าย เมื่อได้สมาธิในชั้นใดชั้นหนึ่งก็ตาม อันจัดเข้าเป็นอารัมมณูปนิชฌาน ก็ให้มาหัดเพ่งพินิจสภาวธรรมโดยสามัญลักษณะ คือเพ่ง ไตรลักษณ์นี้แหละที่สภาวธรรมทั้งหลาย เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะได้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงที่เป็นตัววิปัสสนา

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 80 ก.ค. 50 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
กำลังโหลดความคิดเห็น