xs
xsm
sm
md
lg

กีเมต์ สุดยอดพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียใน ‘ฝรั่งเศส’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใครได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะชาวพุทธที่สนใจในโบราณวัตถุต่างๆ อย่าลืม ระบุชื่อ ‘พิพิธภัณฑ์กีเมต์’ ลงไปในตารางการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของกรุงปารีสด้วย เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะอินโดจีนที่ใหญ่ที่สุดใน ยุโรป และเป็นแหล่งศิลปะจากเอเชียที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยโบราณวัตถุล้ำค่ากว่า 45,000 ชิ้น!! ซึ่งมี ศาสนวัตถุ และวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณีของ ประเทศต่างๆ อาทิ ภาพวาด สิ่งทอ เป็นต้น

พิพิธภัณฑ์กีเมต์ตั้งอยู่ที่จัตุรัสอิเอนา ซึ่งก่อนหน้านั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองลียอง ก่อตั้งขึ้นโดย เอมิล กีเมต์ มหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมชาวลียอง ตั้งแต่ปี 1879

ด้วยความที่เป็นคนรักการผจญภัย และสนใจโบราณวัตถุของอียิปต์ และเอเชีย กีเมต์จึงเดินทางไปถึงอียิปต์ และกรีซ หลังจากนั้นในปี 1876 เขาตัดสินใจเดินทางรอบโลก และได้หยุดพักที่ประเทศญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ซึ่งตลอดระยะการเดินทาง เขาก็ได้เริ่มต้นสะสมวัตถุมีค่าต่างๆ จากทางตะวันออกไกล เพื่อมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

อีก 10 ปีต่อมา วัตถุโบราณและศาสนวัตถุอันมีค่าในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองลียอง ถูกย้ายไปแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ ณ จัตุรัสอิเอนา โดยระหว่างที่กีเมต์เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์นั้น เขาได้ทำนุบำรุงรักษาวัตถุล้ำค่าไว้เป็นอย่างดี และมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ ทั้งของอียิปต์ และมีวัตถุของอารยธรรมทางฝั่งอาเซียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้าสู่ปี 1927 ถึงคราวสิ้นยุคของกีเมต์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ได้ย้ายเข้าอยู่ในสังกัดกรมการพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศส ทางการจึงหันมามุ่งเน้นการจัดแสดงศิลปวัตถุจากเอเชียกลางและจีนมากขึ้นกว่าเดิม และวัตถุล้ำค่าส่วนใหญ่ ก็ได้จากนักสำรวจ อย่างเช่น Paul Pelliot หรือ Edouard Chavannes ที่เดินทางเข้ามาสำรวจประเทศเอเชียกลาง และจีน และได้นำวัตถุล้ำค่าไปมอบให้กับทางการฝรั่งเศส

ในปี 1945 ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดระบบระเบียบของวัตถุล้ำค่าเหล่านี้เสียใหม่ โดยได้ขนย้ายโบราณวัตถุของอียิปต์ไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ และรับมอบศิลปวัตถุจากทาง เอเชียในลูฟว์มาจัดแสดงแทน นอกจากนั้นพิพิธภัณฑ์กีเมต์ ยังได้รับมอบศิลปวัตถุอันล้ำค่าของเขมรจำนวนมาก จากพิพิธภัณฑ์อินโดจีน ทำให้พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กลายเป็นศูนย์จัดแสดงงานศิลปะจากทวีปเอเชียอย่างเต็มตัว

กระทั่งถึงปี 2001 รูปแบบของพิพิธภัณฑ์ถูกปรับเปลี่ยน ให้มีบรรยากาศแปลกใหม่ ภายใต้เนื้อที่ 5,500 ตารางเมตร โดยเน้นความรื่นรมย์ของผู้ชม และง่ายต่อการเข้าชมโบราณวัตถุของแต่ละชาติ โดยได้จัดพื้นที่ในแต่ละส่วน ภายใต้กรอบ ของภูมิศาสตร์ และลำดับอายุของวัตถุโบราณชิ้นนั้นๆ ไว้อย่างครบถ้วน อาทิเช่น การจัดแสดงโดยยึดหลักการเชื่อมโลกของอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับวัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งวัตถุโบราณที่จัดแสดงนั้น มีทั้งเศียร พระพุทธรูปสลักจากหินอ่อนสีขาว สมัยราชวงศ์ฉี (อาณาจักรทางเหนือของจีนในศตวรรษที่ 6) พระพุทธรูปปางมารวิชัยจากประเทศไทย (ศิลปะสมัยอยุธยาประมาณ ศตวรรษที่ 15-16) พระพุทธรูปครึ่งองค์แกะจากหินทรายสีชมพู จากทางตอนเหนือของอินเดีย (ราชวงศ์คุปตะ ศตวรรษที่ 6) ซึ่งแต่ละชิ้นนั้น สื่อนัยยะอย่างเดียวกันว่า ‘จงเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ’

ส่วนบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์อบอวลไปด้วยกลิ่นอายพุทธศาสนาของแต่ละประเทศในเอเชีย ตั้งแต่อัฟกานิสถาน อินเดีย จีน ทิเบต ไปจรดญี่ปุ่น รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไทย เวียดนาม กัมพูชา ฯลฯ

ความมีเสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไม่เพียงแต่วัตถุล้ำค่า ที่จัดแสดงให้ผู้สนใจเข้าชมทุกวันเท่านั้น แต่ยังมีโบราณวัตถุที่น่าสนใจมาจัดแสดงให้ชมเป็นครั้งคราว และนอกจากพื้นที่ ส่วนการจัดแสดงโบราณวัตถุแล้ว พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ยังมีบริการห้องสมุดอีกด้วย

(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 79 มิ.ย. 50 โดย จรินทร์ คำชัย)





กำลังโหลดความคิดเห็น