xs
xsm
sm
md
lg

ทางเอก:สมถกรรมฐานเป็นดาบสองคม เมื่อจะเจริญสมถกรรมฐานอย่าทิ้งสติปัญญาเป็นอันขาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

2.4 ระดับของความสงบ

มี 3 ระดับ คือ

บริกรรมสมาธิ เป็นความสงบจิตในเบื้องต้น อันเนื่องมาจากการเพ่งบริกรรมนิมิตและอุคคหนิมิตอย่างสบายๆ

อุปจารสมาธิ เป็นความสงบจิตในระดับที่ใกล้จะได้ฌาน หากมองในแง่ตัวอารมณ์ก็ใช้ปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ ยกเว้นกรรมฐานบางอย่าง ที่ไม่มีปฏิภาคนิมิต ก็ยังคงต้องใช้อุคคหนิมิตเป็นอารมณ์ต่อไป เพียงแต่มีความสงบแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าในขั้นที่จิตมีบริกรรมสมาธิ ในขั้นนี้จิต จะไม่แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นโดยไม่ต้องประคองรักษาไว้

อัปปนาสมาธิ เป็นความสงบจิตในระดับฌาน หมายถึงความสงบแนบแน่นของจิตอยู่กับอารมณ์ กรรมฐาน จนไม่โยกคลอนแส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่น และกิเลสไม่สามารถรบกวนจิตได้ วิธีการที่จะทำอัปปนาสมาธิให้เกิดขึ้นก็คือการเพ่งอุคคหนิมิตเมื่อ ทำอัปมัญญา 4 และอรูปกรรมฐาน 4 หรือเพ่งปฏิภาคนิมิตเมื่อทำกรรมฐานที่มีปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นได้อันได้แก่กสิณ 10 อสุภะ 10 กายคตาสติและอานาปานสติ ไม่ใช่การเพ่งบริกรรมนิมิต ให้รักษาอุคคหนิมิตหรือปฏิภาคนิมิตนั้นไว้ให้บริบูรณ์ ด้วยอุปจารสมาธิ จนกระทั่งฌานจิตเกิดขึ้น จึงเรียกว่าได้อัปปนาสมาธิ

ตัวอย่างเช่นในการเจริญอานาปานสติ เราใช้ การรู้ลมหายใจ ลมหายใจจัดเป็นบริกรรมนิมิต เมื่อตามรู้ลมหายใจไปจนจิตเริ่มสงบ จะเห็นลมหายใจ เป็นแสงสว่าง ก็ให้รู้แสงสว่างนั้นแทนลมหายใจที่เคยรู้อยู่เดิม แสงสว่างนั้นจัดเป็นอุคคหนิมิต ให้รู้แสงสว่างนั้นจนเกิดปฏิภาคนิมิตและฌานจิต ทั้งนี้การทำความสงบในระดับลึกนั้น บางท่านที่เคยทำ ได้มาแล้วในกาลก่อน จิตก็จะรวมสงบเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านที่ไม่เคยทำมาในกาลก่อนก็ยากที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะเพียงทำ ความสงบในระดับหนึ่งก็พอจะใช้เป็นฐานในการเจริญปัญญาต่อไปได้แล้ว

แท้จริงอารมณ์ของสมถกรรมฐานมีมากไม่มี ประมาณเพราะใช้บัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ที่ท่านสรุป เป็นกรรมฐาน 40 ก็เพียงแสดงเป็นตัวอย่างไว้เท่านั้น ตามประวัติของพระเถระและพระเถรี ก็มีอยู่หลาย ท่านที่ทำสมถกรรมฐานด้วยอารมณ์ที่นอกเหนือจากกรรมฐาน 40 เช่น บางท่านพิจารณาดอกบัวแดง บางท่านขยี้ผ้าขาว บางท่านดูน้ำแข็งละลาย บางท่านดูดวงประทีปที่ดับไปแล้วคิดพิจารณาชีวิต บางท่านดูดวงจันทร์ ใช้ดวงจันทร์แทนดวงกสิณจนเกิดปฏิภาคนิมิต เป็นต้น

สรุปแล้วกรรมฐานทั้ง 40 อย่างสามารถทำให้เกิดบริกรรมสมาธิ และอุปจารสมาธิได้ กรรมฐาน 30 อย่างคือกสิณ 10 อสุภะ 10 กายคตาสติ 1 อานาปานสติ 1 อัปมัญญา 4 และอรูปกรรมฐาน 4 สามารถทำให้เกิดอัปปนาสมาธิได้ แต่กรรมฐาน 10 อย่างคืออนุสติ 8 (ยกเว้นกายคตาสติและอานาปานสติ) อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 และจตุธาตุววัตถาน 1 สามารถทำให้เกิดได้เพียง อุปจารสมาธิเท่านั้น ไม่ถึงอัปปนาสมาธิ

อนึ่งเรื่องการทำสมถกรรมฐานในระดับลึกนั้น ท่านผู้สนใจควรปลีกตัวออกไปเรียนจากครูบาอาจารย์ ซึ่งบางรูปจะชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐาน แต่ในหนังสือเล่มนี้จะไม่แนะนำวิธีการปฏิบัติไว้ เพราะการทำสมถกรรมฐานในระดับลึกควรอยู่ภายใต้การดูแลของครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดจึงจะปลอดภัย

สมถกรรมฐานมีประโยชน์มาก นอกจากการ ทำให้เกิดความสงบสุขทางจิตใจแล้ว สมถกรรมฐาน ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก เช่น ในเบื้องต้นที่ยังเจริญวิปัสสนาไม่เป็น ก็อาจจะเริ่มจากการเจริญสมถกรรมฐานไปก่อนก็ได้ เช่นมีสติตามระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกไปอย่างสบายๆ หรือรู้ท้องพองยุบอย่างสบายๆ หรือบริกรรมพุทโธอย่างสบายๆ เมื่อรู้อารมณ์นั้นไปสักช่วงหนึ่งก็ให้สังเกตดูความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปของตนเอง เช่นเมื่อกี้จิตฟุ้งซ่านตอนนี้จิตสงบ หรือเมื่อกี้จิตสงบตอนนี้จิตฟุ้งซ่าน เมื่อกี้จิตไม่มีปีติตอนนี้จิตมีปีติ หรือเมื่อกี้จิต มีปีติตอนนี้จิตไม่มีปีติ เมื่อกี้จิตไม่มีความสุขตอน นี้จิตมีความสุข หรือเมื่อกี้จิตมีความสุขตอนนี้จิตไม่มีความสุข เป็นต้น นี้เป็นการเจริญสมถกรรมฐาน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนานั่นเอง

ประโยชน์อย่างอื่นยังมีอีก คือเมื่อเจริญวิปัสสนาไปนานๆ จิตจะสูญเสียพลังงานและเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าขึ้นได้ จนไม่สามารถ ตามรู้กายหรือตามรู้จิตใจอันเป็นการเจริญวิปัสสนาได้อีกต่อไป ก็ให้กลับมาเจริญสมถกรรม-ฐานเพื่อให้จิตใจได้พักผ่อน เมื่อจิตใจได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว รู้สึกสดชื่นแล้ว ก็กลับไปเจริญวิปัสสนาต่อไป การเจริญวิปัสสนารวดเดียวโดยไม่รู้จักการพักผ่อนจิต เป็นความยากลำบากของผู้ปฏิบัติ เหมือนคนมีสองขาแต่เดินเพียงขาเดียว อนึ่งจิตที่มีความสงบสุขเพียงพอย่อมจะมีสติมีปัญญาแหลมคมกว่าจิตที่ขาดความสงบสุข การรู้สภาวธรรมใดๆด้วยจิตที่มีความสงบตั้งมั่นเพียงพอ จะเป็นความรู้ที่ซาบซึ้งถึงใจดีมากทีเดียว

สมถกรรมฐานเป็นดาบสองคม เมื่อจะเจริญ สมถกรรมฐานอย่าทิ้งสติปัญญาเป็นอันขาด มิฉะนั้นอาจจะหลงเพลินไปกับความสงบสุขจนไม่ยอมเจริญวิปัสสนา หรืออาจจะเกิดอาการที่เรียกว่านิมิตแปลกปลอมต่างๆ หากนิมิตใดเกิดขึ้นให้ย้อนดูจิตตนเอง หรือพิจารณานิมิตนั้นลงเป็นไตรลักษณ์เสียให้หมดก็จะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่นบางท่านทำสมถกรรมฐานด้วยการคิดพิจารณากายลงเป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ เมื่อจิตเกิดความสงบแล้วเกิดนิมิตเห็นกายเป็นของน่าเกลียดน่าขยะแขยง ถ้าจิตติดความรู้สึกเช่นนี้อยู่จะเกิดความเกลียดหรือกลัวตนเองอย่างรุนแรง ดังนั้นหากจะพิจารณากายเป็นปฏิกูลหรือเป็นอสุภะก็ตาม ในช่วงสุดท้ายจะต้องน้อมพิจารณา ลงเป็นไตรลักษณ์ให้ได้ จิตจึงจะถึงความสงบสุขได้จริงๆ

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/วิปัสสนากรรมฐาน)
กำลังโหลดความคิดเห็น