xs
xsm
sm
md
lg

ดร.ระวี ภาวิไล ชีวิตไม่ใช่ลิขิตจากดวงดาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากข้อมูลของสมาคมดาราศาสตร์ไทยระบุว่าในปี 2550 นี้จะเป็นปีที่จะมีปรากฏการณ์พิเศษ ทางดาราศาสตร์เกิดขึ้น คือ มีอุปราคาเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง เป็นสุริยุปราคาและจันทรุปราคาอย่างละสองครั้งโดยเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 4 มีนาคม และ 28 สิงหาคม ส่วนสุริยุปราคาบางส่วนในวันที่ 19 มีนาคม และ 11 กันยายน ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสได้เห็นจันทรุปราคาทั้งสองครั้งและสุริยุปราคาอีกหนึ่งครั้ง ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจทำให้หลายคนมีความเชื่อกันไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าเป็นเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโชคร้าย และจะหลีกหนีความโชคร้ายนั้นได้ด้วยการเซ่นไหว้หรือสะเดาะเคราะห์ต่างๆ นานา

แต่ผู้ที่จะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเห็นจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านดาราศาสตร์ และพระพุทธศาสนา ‘ศาสตราจารย์กิตติคุณดร.ระวี ภาวิไล’ นักดาราศาสตร์คนสำคัญของเมืองไทย ราชบัณฑิตสาขาดาราศาสตร์ อดีตประธานสมาคมดาราศาสตร์ไทย ซึ่งสนใจศึกษาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งเป็นนิสิตในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนมีความรู้ด้านพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการธรรมสถานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ ดร.ระวียังเป็นผู้ที่มีความสามารถในงาน ด้านวรรณศิลป์เป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เขียนและแปลหนังสือเกี่ยวกับดาราศาสตร์และพุทธศาสนาไว้หลายเล่ม อาทิ ดาราศาสตร์และอวกาศ, ดาวหาง, ปรัชญาชีวิต, ศาสนากับปรัชญา, หัวใจของศาสนาพุทธ, ชีวิตที่ดีงาม คุณค่าชีวิต ฯลฯ เพื่อให้ข้อคิดและสติปัญญาแก่สังคมในแง่ของคติการดำเนินชีวิตจากหลักธรรมคำสอนของศาสนา อีกทั้งยังได้คิดค้นแบบจำลองจิต-เจตสิก ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมสามารถเข้าใจพระอภิธรรมได้ง่ายขึ้นด้วย ล่าสุดในปี 2549 ที่ผ่านมาท่านได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

• ทราบว่าอาจารย์มีความสนใจทั้งวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา ไม่ทราบว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ

ผมว่าพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มันมีความสอดคล้องกันนะ ทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ต่างก็เป็น เรื่องของการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโลกและชีวิต
คือมนุษย์เราต่างก็มีความปรารถนาที่จะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆบนโลกที่มีผลต่อชีวิตของเรา หากเราศึกษาพุทธศาสนาจากพุทธประวัติก็จะทราบว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้นพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าปัญหาสำคัญของชีวิตก็คือความทุกข์ จากนั้นพระองค์ก็แสวงหาวิธีการที่จะดับทุกข์ เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จึงเกิดเป็นพระพุทธศาสนา ซึ่งการตรัสรู้นั้นก็หมายถึงการเกิดความรู้ที่มีความสำคัญ ซึ่งสามารถนำความรู้นั้นไปใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาต่างก็เป็นเรื่องของความรู้ของมนุษย์ ตรงนี้คือสิ่งที่สอดคล้องกัน

ส่วนจุดที่ต่างกันก็คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่มนุษย์ค้นคว้าและถ่ายทอดสืบต่อกันโดยตำรา และวิธีการต่างๆ เป็นความรู้ที่มีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้ที่เพิ่มเติมขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นๆ เป็นการขยายตัวตลอดมา ตั้งแต่เริ่มมีการค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อะไรที่ยังไม่ถูกต้องก็ถูกแก้ไข ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป จะเกิดความรู้ที่ละเอียดขึ้น กว้างขึ้น ไม่มีวันจบ แต่ความรู้ทางพุทธศาสนาเป็นความรู้ที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งจะสามารถเข้าใจวิถีทางของชีวิตอย่างสมบูรณ์และสามารถ พบทางพ้นทุกข์ได้

ความรู้ทางศาสนานั้นจะช่วยให้เราปรับตัวในวิถีทาง ที่เหมาะสมเนื่องจากการที่เราปฏิบัติตามแนวทางของพุทธศาสนาจะทำให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายลง หรือไม่ก่อ ให้เกิดปัญหาตามมา หากเราพัฒนาจิตใจของเรามากขึ้นๆ เราก็จะมีความสามารถแก้ปัญหาในเรื่องความรู้สึก เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ความรู้ทางศาสนาเป็นความรู้ที่ช่วยปรับทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น มีคำ กล่าวว่าพระพุทธเจ้านั้น เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วทรงรู้ทุกสิ่ง หมายความว่าถึงยอดสูงสุดในเรื่องชีวิตแล้ว จากนั้นพระองค์ก็เที่ยวประกาศสั่งสอนให้คนอื่นๆรู้ตาม พระองค์ทรงมีความรู้เพียงพอที่จะทำให้ทุกข์สิ้นไปได้ และถ้าเราทำตามวิธีปฏิบัติของพระองค์ถึงขั้นที่จะทำให้ ทุกข์สิ้นไปได้เราก็จะพ้นทุกข์

• อยากให้อาจารย์ช่วยมองว่ากรณีที่เกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาที่ผ่านมา มีผลต่อ โลกและชีวิตของมนุษย์หรือไม่อย่างไรคะ เพราะคนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่าจะทำให้เกิดโชคร้าย ถึงขนาดบางคนต้องนำของดำไปเซ่น ไหว้ราหูเพื่อสะเดาะเคราะห์

แถบจะไม่มีผลเลย เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่ซ้อนกัน ทำให้แสงสว่างบางส่วนถูกบดบังและเกิดเป็นเงา คือจันทรุปราคา เกิดจากโลกไปบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดวงจันทร์ ทำให้เกิดเงาทอดปรากฏบนดวงจันทร์ และเกิดเป็นเงามืด ส่วนสุริยุปราคาก็เกิดจากดวงจันทร์โคจรไปบังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก ทำให้เราเห็นพระอาทิตย์มืดไปบางส่วน

ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิพลต่อโลกเหมือนกับการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ดังนั้นการที่คนเราเชื่อว่าเมื่อเกิดจันทรุปราคาหรือที่เรียกว่า ‘ราหูอมจันทร์’ เราจะต้องหาของดำมาเซ่นไหว้ เพื่อสะเดาะเคราะห์นั้นก็เป็นแค่ความเชื่อ ไม่ได้ก่อให้ เกิดประโยชน์อะไร นอกจากทำให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น คนเราถ้าจะถือจะเชื่อก็คิดไปสารพัด เห็นแสงสะเก็ดดาวตกวาบลงมาก็เรียกว่าเป็นดาวตก และเชื่อว่าจะมีคนมีบุญมาเกิด ทั้งที่มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมารองรับ

• ถ้าอย่างนั้นคนที่ดูดวงโดยนำวันเดือนปีเกิดมาคำนวณและผูกโยงกับการโคจรของดวงดาวล่ะคะ มีความเที่ยงตรงแม่นยำแค่ไหน

เนื่องจากโดยธรรมชาติคนเราจะมีความกลัวและไม่มั่นใจกับอนาคต ห่วงว่าพรุ่งนี้ จะเป็นยังไง ปีหน้าจะเป็นยังไง ถ้ามีวิธีการอะไรที่จะสามารถรู้อนาคตได้ก็เอาหมด จึงวิ่งไปหาหมอดู หาร่างทรง ซึ่งหมอดูก็มีหลายแบบ ทั้งหมอดูไพ่ป็อก หมอดูไพ่ทาโร่ หมอดูบางคนก็ดูดวงแก้วแล้วบอกว่าเห็นอนาคต แล้วก็หมอดูที่ดูดวงจากวันเดือนปีเกิด ซึ่งการดูดวงแบบหลังนี้ก็เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิต เขาก็จะดูว่าตอนที่คนคนนั้นเกิด ดาวอยู่ตรงตำแหน่งใดบนท้องฟ้า แล้วดาวนั้นทำมุม อย่างไรต่อกัน ทำมุมอย่างไรต่อคนคนนั้น

อีกความเชื่อหนึ่งก็คือเชื่อว่าแต่ละคนมีดาวประจำตัวที่เรียกว่าลักขณา ขณะเกิดจะมีดาวประจำตัวขึ้นที่ขอบฟ้าเป็นตำแหน่งของลักขณาประจำตัว เวลาดูดวงก็จะดูว่า ช่วงเวลาขณะนั้นตำแหน่งลักขณาของคนคนนั้นทำมุมอย่างไรกับดาวอื่นๆบนท้องฟ้า คือปกติดวงดาวต่างๆจะโคจรไปเรื่อยๆ ตำแหน่งที่ดวงดาวนั้นอยู่ในขณะที่เราเกิด กับตำแหน่งของดวงดาวในปัจจุบันจึงแตกต่างกัน เขาก็จะเอาตำแหน่งของดาวในปัจจุบันมาคำนวณเปรียบเทียบกับตำแหน่งของดวงดาวตอนเราเกิด หรือตำแหน่งของ ลักขณาประจำตัวของเรา ก็ถือเป็นจินตนาการหรือความเชื่อแบบหนึ่งนำมาเขียนเป็นตำรับตำราและตกทอดกันมา ส่วนจะเที่ยงตรงแม่นยำไหมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยืนยันได้

แต่สำหรับความรู้ในทางวิทยาศาสตร์นั้นบอกว่าวัตถุต่างๆดูดกันด้วยแรงโน้มถ่วง เช่น โลกของเราจะมีแรงดึงดูดให้ของต่างๆตกลงบนพื้นโลก ถ้าวัตถุยิ่งอยู่ใกล้กันแรง ดึงดูดก็ยิ่งมาก เพราะฉะนั้นดวงจันทร์ซึ่งอยู่ใกล้โลกมากที่สุด มีแรงดึงดูดมากที่สุด ก็น่าจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนมากที่สุด แต่ในทางโหราศาสตร์กลับบอกว่าดาวเสาร์ ดาวอังคาร ซึ่งอยู่ไกลออกไปมากมีอิทธิต่อชีวิต อีกทั้งราหูที่เชื่อกันว่าจะส่งผลต่อชีวิตของคนเรา มันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นแค่เงามืดของโลกที่ทอดไปบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดวงจันทร์เท่านั้น

• แล้วที่บางคนเชื่อว่าดวงดาวเป็นตัวที่บ่งบอกถึงโชคชะตาชีวิต ดังนั้นการจะทำอะไรจะต้องดูฤกษ์ยามก่อนทุกครั้ง ตรงนี้อาจารย์มองอย่างไรคะ


จริงๆแล้วความเชื่อที่ว่าสิ่งเหนือธรรมชาติสามารถดลบันดาลให้มนุษย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล เช่น กลัวเจ้าที่เจ้าทาง ผี หรือเทวดา เนื่อง จากคนเรามีความกลัวเป็นปกติ กลัวเจ็บ กลัวเสื่อม กลัวตาย ถ้าคิดว่าใครมีอำนาจก็จะไปพึ่งพา ถ้าคิดว่าผีมีอำนาจก็จะไปเซ่นสรวงกราบไหว้ พอเริ่มมีศาสนา ก็อาจจะมีผู้ประกาศศาสนาหรือผู้นำลัทธิบางคนที่ต้องการแสวงหาประโยชน์อาศัยความเชื่อของชาวบ้านว่า ถ้ากลัวก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนก็อ้างตัวว่าสามารถติดต่อกับเทพ ติดต่อกับวิญญาณได้ ชาวบ้านที่มาพึ่งพาก็ต้องเสียค่าตอบแทน ความเชื่อเรื่องอิทธิพลของดวงดาวกับชีวิตก็เป็นความเชื่อแบบหนึ่ง

แต่ในทางพุทธศาสนาไม่ถือว่าดวงดาวมีอำนาจต่อชีวิต ในบทสวดมนต์บางบทก็ บันทึกไว้ว่า “เวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี และขณะดี ครู่ดี” แปลว่าเมื่อไรทำดีก็ถือว่าฤกษ์ดีแล้ว ทำดีตอนไหนก็ดีทั้งนั้น ดังนั้นการจะทำงานมงคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ฤกษ์ยามจึงไม่มีผล ซึ่งตาม ธรรมเนียมของชาวพุทธนั้นเวลาจะทำงานมงคลอะไรก็จะนิมนต์พระมาสวดเพื่อเป็นสิริมงคล เพราะบทสวดมนต์ก็คือการนำเอาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาเรียบเรียง และหากผู้ฟังได้นำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติก็จะเกิดผลดีกับชีวิต ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมงคลของชีวิต หรือการได้ยินคำอวยพรก็ถือว่าเป็นมงคลเช่นกัน

• ขอให้อาจารย์ช่วยขยายความคำว่า “มงคล” เพื่อให้เข้าใจง่ายๆค่ะ

หากจะขยายคำว่า “มงคล” ก็แปลว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญในชีวิต ป้องกันไม่ให้ชีวิตพบกับความเสื่อม คือทุกยุคทุกสมัยผู้คนก็จะแสวงหาว่าอะไรที่เป็นมงคล ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็มีปัญหานี้เช่นกัน คนก็กล่าวกันไปต่างๆนานา ผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้รู้ก็ชี้นำว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นมงคล จึงมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรที่ทำให้เกิด มงคล พระองค์ก็ทรงตรัสสอนเรื่องมงคลชีวิต ที่เรารู้จักกันในนาม ‘มงคลชีวิต 38 ประการ’ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและนำความสุขมาสู่ครอบครัว และถือว่าเป็นธรรมะสำหรับฆราวาสหรือผู้ครองเรือน เป็นสิ่งที่จะนำพาให้ชีวิตมีความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง (มาถึงตรงนี้อาจารย์ก็อธิบายมงคลทั้ง 38 ประการให้ฟังอย่างละเอียดด้วยความเมตตา)

• ในโอกาสที่เดือนเมษายนมีประเพณีสงกรานต์ ซึ่งก็มีการรดน้ำขอพร ผู้หลักผู้ใหญ่กัน ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดมงคลหรือเปล่าคะ

การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์นั้นก็ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดีของไทย เป็นการกราบไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อแสดงความเคารพ แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ซึ่งถือเป็นความดีอย่างหนึ่ง และเป็นมงคลอย่างหนึ่งที่อยู่ในมงคลชีวิต 38 ประการ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดมงคลต่อชีวิต
อีกทั้งถ้าเราได้นำคำแนะนำดีๆของผู้หลักผู้ใหญ่ไปปฏิบัติก็ย่อมจะส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า คนโบราณเขาฉลาด เขามักจะแฝงสิ่งดีๆไว้ในขนบธรรมเนียมประเพณีเสมอ

ปัจจุบันนี้วัฒนธรรมดีๆในการเล่นสงกรานต์มันหายไปเยอะ ไม่ค่อยมีใครไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่กันแล้ว มีแต่เล่นสาดน้ำกันโครมๆ ไม่เหมือนสงกรานต์สมัยก่อนที่เราไปทำบุญ ถวายภัตตาหารพระ เดี๋ยวนี้ก็มีบ้างแต่ไม่มาก คือสมัยก่อนผู้คนรวมกันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ทำบุญไหว้พระ แล้วทั้งผู้ใหญ่และลูกๆหลานก็กินข้าวด้วย กัน จากนั้นก็มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายายก็ให้ศีลให้พร

หรือวัดบางแห่งก็มีประเพณีให้ชาวบ้านช่วยขนทรายเข้าวัด แล้วก็มีการก่อเจดีย์ทรายกัน ก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง เพราะในแต่ละปีฝนตก น้ำท่วม ดินทรายที่อยู่รอบบริเวณวัดก็ร่อยหรอไป วิธีที่ให้ชาวบ้านช่วยกันนำทรายมาถมที่ให้วัดก็คือการจัดงานขนทรายเข้าวัด ซึ่งเป็นงานบุญ ชาวบ้านก็จะไปขนทรายจากริมแม่น้ำมาที่วัด นอกจากนั้นก็มีการสร้างสีสันให้เกิดความสนุกสนานด้วยการแข่งกันก่อเจดีย์ทราย แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะให้ชาวบ้านช่วยหาทรายมาถมที่วัด ทางวัดต้องซื้อทรายมาเอง แล้วให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานขนทรายเข้าวัดทำบุญบริจาคเป็นเงินแทน เพราะเดี๋ยวนี้คนไม่รู้จะไปหาทรายที่ไหนแล้ว (หัวเราะ)

.........

นักดาราศาสตร์คนสำคัญของไทยท่านนี้ ถือเป็นปราชญ์และปูชนียบุคคลที่ควรค่า แก่การเคารพบูชา ดังที่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายให้ความเคารพกราบไหว้มาโดยตลอดอย่างไม่เสื่อมคลาย ทุกวันนี้ ดร.ระวี ภาวิไล ในวัย 82 ปี ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และมีความสุขอยู่กับการเป็นอาจารย์สอนพระพุทธศาสนาที่ธรรมสถานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่สำคัญ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ดร.ระวี ได้เลือกทางเดินของชีวิตตามคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ปล่อยให้ชีวิตตกอยู่ภายใต้การลิขิตของดาวดวงใดๆเลย


(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย จินตปาฏิ)

กำลังโหลดความคิดเห็น