เทศกาลสำคัญในเดือนเมษายนของทุกปี ที่ทุกคนรู้จักและคุ้นเคย ก็คงเป็นประเพณีรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ของไทยเรานั่นเอง บรรดาหนุ่มสาวผู้ใช้แรงงาน ลูกๆหลานๆก็ทยอยกลับบ้านมาพบปะกันในวันหยุดยาวนานที่นอกจากจะเป็นวันหยุดราชการแล้ว ในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี มิใช่เป็นเพียงเทศกาลสงกรานต์เท่านั่น แต่หากยังได้รับการยกให้เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ถัดมาอีกวันก็คือ วันที่ 14 เมษายน วันครอบครัวนั่นเอง ซึ่งเชื่อว่ามีคนจำนวน ไม่น้อยที่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังมีวันสำคัญ 2 วันนี้แทรกซึมอยู่กับเทศกาลที่ทุกคนรอคอยคือสาดน้ำหรือเฉลิมฉลองเพียงอย่างเดียว
เมื่อพูดถึงวันผู้สูงอายุแห่งชาติขึ้นมา ทำให้นึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อ 4-5 ปีก่อน เชื่อว่าหนังเรื่องนี้ยังอยู่ในความทรงจำของคนที่เคยชมแล้วไม่มีวันจางหายแน่นอน แม้ว่ารายได้ของหนังเรื่องนี้ในบ้านเราตัวเลขจะไม่สวยหรูมากนัก เมื่อเทียบกับที่เกาหลี ซึ่งได้รางวัลตุ๊กตาทองของเกาหลี สาขาบทภาพยนตร์ และภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ว่ากันจริงๆ หนังที่ว่านี้คือเรื่อง The way home หรือชื่อในภาษาไทยว่า ‘คุณยายผม...ดีที่สุดในโลก’ เชื่อว่าใครที่เคยชมหนังเรื่องนี้แล้วต้องประทับใจกับความน่ารักแบบกวนๆของหลานวัย 7 ขวบ กับคุณยายวัยย่าง 80 ปี ที่ต่างกันตั้งแต่เรื่องสังคม การใช้ชีวิต เรียกว่าดูแล้วทำให้นึกถึงใครบางคนที่รอเราอยู่ที่บ้านแน่นอน
คุณยายผม...ดีที่สุดในโลก เป็นภาพยนต์เกาหลี สร้างโดยทิวบ์ พิคเจอร์ กำกับโดย ลีจองยาง มีตัวแสดงเด่นๆ เพียง 2 คน คือซังวู หนุ่มน้อยวัย 7 ขวบ รับบทโดย ยูซังโฮ ส่วนคนที่มารับบทคุณยายวัยเฉียด 80 คือ คิมยูลบุน เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อแม่ของซังวูพาซังวูไปฝากยายที่เป็นใบ้ หูหนวก และแก่ชรามากให้เลี้ยงดูหลาน ปัญหามันเลยเริ่มเกิดขึ้น เมื่อตัวยายอยู่ในโลกที่ห่างความสบายทุกอย่าง ไฟฟ้า น้ำประปา ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีให้เห็น ส่วนรถราไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ผิดกับหลานที่มาจากเมืองหลวงอันแสนสบาย มีชีวิตอยู่กับเกมส์กด หุ่นยนต์ทันสมัย และแฮมเบอร์เกอร์-ไก่ทอดตามประสาคนเมือง บ้านของยายไม่มีส้วมที่ทันสมัยเหมือนในเมือง ตกเวลากลางคืนยายต้องมานั่งรอซังวูปล่อยหนักปล่อยเบา แต่ดูเหมือนฝ่ายเจ้าหลาน จะไม่ได้เห็นคุณค่าแต่ประการใด กลับด่ายายงี่เง่าซื่อบื้อ เชื่องช้า แถมยังแกล้งเอารองเท้ายายไปทิ้ง ทำให้ยายต้องเดินหาบน้ำขึ้นเขาลงห้วย ซักผ้าให้หลาน ฯลฯ แต่ไม่ว่าหลานตัวน้อยจะกลั่นแกล้งด้วยความไร้เดียงสาสักปานใด คุณยายก็ไม่เคยโต้ตอบเลย
เย็นวันหนึ่งเกมส์กดที่ซังวูพกติดตัวมาจากกรุงโซล แบตเตอรี่หมด เขาพยายามขอเงินยายซื้อ แต่ยายก็พยายามตอบด้วยภาษาใบ้สั้นๆว่า เธอเสียใจ หลานชายจอมซน พยายามตื๊อทุกวิถีทาง แต่ยายไม่มีเงินจริงๆ จนท้ายที่สุดก็รอจนยายหลับแล้วขโมยปิ่นปักผมยายไป เพื่อจะซื้อแบตเตอรี่มาใส่เกมส์กด แต่พอจะไปซื้อก็ปรากฏว่าไม่มีร้านใดในแถบนั้นขายแบตเตอรี่ที่ซังวูต้องการ ซังวูรู้สึกผิดหวังมาก ขากลับบ้านเขาเกิดหลงทาง แต่โชคดีที่มีลุงคนหนึ่งผ่านมาพบ จึงช่วยนำมาส่งบ้าน เมื่อกลับมาบ้านซังวูก็เห็นยายเอาช้อนทองเหลืองมาม้วนผมแทน โดยที่ไม่รู้ว่าหลานรักขโมยปิ่นปักผมไป
วันหนึ่งหลานอยากกินไก่เคนตั๊กกี้ ยายก็อุตส่าห์ฝ่าฝนไปหาซื้อไก่มาจนได้ แต่เป็นเพียงไก่ต้มเท่านั้น เจ้าหลานชายตัวแสบไม่พอใจ จะกินไก่เคนตั๊กกี้ท่าเดียว แต่ในที่สุดก็ต้องตื่นขึ้นมากินไก่กลางดึก เพราะความหิว และก็ซาบซึ้งกับน้ำใจของยายที่ดูแลใส่ใจตนมาตลอด แม้ว่าจะสื่อสารกันเข้าใจและไม่เข้าใจบ้างก็ตาม คืนนั้นยายไม่สบาย ซังวูจึงหาผ้ามาห่มให้ยายอบอุ่น และเช็ดตัวให้
หนังเรื่องนี้มีความน่ารักอีกหลายฉาก วีรกรรมที่หลานสร้างไว้ กับความปรารถนาดีหลายสิ่งที่ยายหยิบยื่นให้ แม้ว่าหลานจะรับรู้บ้างไม่รับรู้บ้าง แต่นั่นคือความสุขของยายแล้ว เรื่องมาจบลงแบบประทับใจและเรียกน้ำตาแห่งความประทับใจเมื่อยายได้รับจดหมายจากแม่ของซังวูว่าจะมารับลูกกลับกรุงโซล คืนก่อนกลับซังวูพยายามสอนยายเขียนหนังสือ ทั้งคำว่าคิดถึง ทั้งคำว่าไม่สบาย เพื่อจะได้เขียนจดหมายหาตนได้ แต่ยายก็ไม่สามารถเขียนได้ หลานตัวน้อยจึงบอกให้ยายส่งกระดาษเปล่าก็ได้ เพื่อตนจะได้กลับมาเยี่ยมยาย แล้ววันที่ทั้งสองยายหลานต้องจาก กันก็มาถึง ซังวูไม่พูดอะไรกับยายแม้แต่คำเดียว แต่ก่อนรถจะออกซังวูส่งของบางอย่างให้ยาย แล้ววิ่งขึ้นรถไป พร้อมทำสัญญาณมือว่าเขาเสียใจ แล้วก็ร้องไห้ ยายจ้องมองหลานจนลับสายตาแล้วจึงมองของที่อยู่ในมือที่หลานให้ไว้ มันคือโปสการ์ด 5 ใบ ที่เขียนชื่อและที่อยู่ของซังวู ส่วนในช่องผู้ส่ง เขียนว่า จากยาย พร้อมทั้งวาดภาพยายตอนกำลังป่วย, ยายคิดถึง แล้วทุกอย่างก็จบลงอย่างประทับใจ
หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นความรัก ความผูกพันของยายกับหลาน และแสดงให้เห็นว่าความแตกต่างทางสังคม และความพิการทางกายไม่สามารถกีดกั้นความรักความผูกพัน หรือเป็นอุปสรรคระหว่างยายหลานคู่นี้ได้ แต่เมื่อย้อนกลับไปดูต้นเหตุ ลูกสาวแท้ๆของยายในเรื่องที่ไม่เคยดูแลแม่ แถมยังเอาลูกชายมาฝากเลี้ยงอีก ผลักภาระให้คนเฒ่าคนแก่ แม้ท่าน ‘พูดไม่ได้’ แต่ก็ ‘รู้สึกได้’ อย่าคิดหรือ รู้สึกแทนว่าท่านจะไม่เป็นไร
ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มบุคคลที่เราจะลืมบูชาเสียมิได้ การบูชา ก็มีอยู่ด้วยกันสองแบบคือ ‘อามิสบูชา’ คือการให้ทรัพย์สิน เงินทอง ให้ความสะดวกสบายแก่ท่าน ในฐานะที่ท่านเลี้ยง ดูและฟูมฟักเรามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ส่วน ‘ปฏิบัติบูชา’ คือการบูชาด้วยการตั้งใจทำดี ระลึกถึงคำสั่งสอนของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ไว้เสมอๆ เราไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสรรหาของมงคลศักดิ์สิทธิ์จากที่อื่นใดมาบูชา เพราะว่าของที่ควรบูชา อยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียวเอง และเมื่อบูชาแล้วก็จะทำให้เราประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปอย่างแน่นอน
จริงๆแล้วเราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ขอเพียงสละเวลาสักเล็กน้อยไปสร้างรอยยิ้มให้ปู่ย่าตายายกันบ้าง อย่าให้ท่านต้องรอเราร่ำไป เริ่มสงกรานต์นี้เลยดีไหม?
และหากคุณได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปพร้อมๆกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย นอกจากความรักความผูกพันที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว คุณจะได้ฟังเรื่องราวมากมายในวัยเด็กของคุณ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้...สนใจก็หาซื้อหรือหาเช่ากันได้ตามร้านให้เช่าวีซีดีทั่วไป
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย ศุพัศจี)