xs
xsm
sm
md
lg

เพลงธรรมะครั้งพุทธกาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในครั้งพุทธกาลนั้น ก็ได้มีเพลงธรรมะเกิดขึ้นแล้ว และก็ทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งใจ จนสามารถบรรลุธรรมได้ ดังเช่น

สมัยพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือ การกระทำที่แสนยากแสนลำบากที่สุด อันเป็นวิธีการยอดฮิตติด อันดับในสมัยนั้น ถ้าใครได้บำเพ็ญถือว่ามีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น จึงมีนักบวชมากมายได้ ยึดถือปฏิบัติกันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันในประเทศอินเดีย แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงยึดถือปฏิบัติถึงขั้นอุกฤษฏ์แล้ว ในสมัยนั้น แทบเอาชีวิตไม่รอดใน ๓ ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ ๑ คือ การทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (ใช้ฟันบนกับฟันล่างกดกันให้แน่น) แล้วกดพระตาลุด้วยพระชิวหา (ใช้ลิ้นกดเพดานอย่างแรง) ทรงกระทำอยู่อย่างนั้น จนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกมาจากพระกัจฉะ (รักแร้) ได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัส เปรียบดังคนตัวใหญ่มีกำลังมาก บีบคอคนตัวเล็กอย่างเต็มที่ จะมีอาการ เจ็บปวดแทบขาดใจ ถึงแม้พระองค์จะทรงเจ็บปวดรวดร้าวพระวรกายสักเพียงไหน แต่พระทัยยังมั่นคง ทรงดำรงสติไว้ไม่ฟั่นเฟือน ทรงพยายามทำต่อไปไม่ท้อถอย ในที่สุดทรงรู้ว่าถ้าฝืนทำต่อไป ก็ไม่ใช่ทางตรัสรู้แน่นอน จึงทรงยกเลิกวิธีนี้

ขั้นตอนที่ ๒ คือ การทรงกลั้นลมหายใจเข้าออก เมื่อลมเข้าก็ไม่ได้ออกก็ไม่ได้ เป็นเหตุให้ลมดันขึ้นไปบนพระเศียร ทรงได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ครั้นแล้วลมก็ย้อนลงมาที่พระอุทร ทำให้เร่าร้อนในพระวรกายยิ่งนัก ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงมีพระสติมั่นคง ทรงทำต่อไปไม่ย่อท้อ จนทราบแน่ชัดว่า ถ้ายังฝืนทำต่อไปก็ไม่ได้ตรัสรู้อะไร ในที่สุดทรงยกเลิกวิธีนี้

ขั้นตอนที่ ๓ คือ การทรงอดพระกระยาหาร โดยผ่อนเสวยให้ลดน้อยลงๆ จนไม่ทรงเสวยเลย พอหลายวันผ่านไป พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย ผิวพรรณเศร้าหมอง ทรงใช้พระหัตถ์ลูบพระวรกายเห็นเส้นพระโลมาหลุดออกมาจากรูขุมขน พระกำลังกายก็ลดน้อยลง จะเสด็จไปทางไหนก็ซวนเซ ทรงอ่อนเพลียหิวโหยยิ่งนัก ในที่สุดไม่สามารถจะดำรงพระวรกายไว้ได้ ทรงสลบล้มลงไป ณ ที่นั้นเอง

ครั้นทรงฟื้นมีพระสติ ทรงหวนระลึกถึงการกระทำที่แสนยากแสนลำบากทั้ง ๓ ขั้นตอนนั้น ทรงพิจารณาว่า บุคคลใดมากระทำดังที่เรากระทำแล้วนี้ บุคคลนั้นก็คงทำได้เช่นเรา หรือถ้าทำได้ยิ่งกว่าเรา คงไม่มีแน่ แม้แต่เราได้ปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์มาแล้วสักเพียงไหน ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เลย การกระทำเช่นนี้คงไม่ถูกทางแน่นอน แล้วพระองค์ก็ทรงระลึกถึงการบำเพ็ญเพียรทางจิต คือการทำสมาธิ คงจะเป็นทางไปสู่การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์

ในขณะนั้นเอง พระอินทราธิราช ทรงทราบวารจิตของพระโพธิสัตว์ จึงนำพิณทิพย์ ๓ สาย มาดีดบรรเลงเป็นเพลงถวาย ให้พระโพธิสัตว์ได้สดับ เปรียบเทียบการปฏิบัติกับเสียงพิณ ๓ สาย

สายที่ ๑ตึงยิ่งนัก พอดีดไปสักพัก ก็ขาด
สายที่ ๒ก็หย่อนยานยิ่งนัก พอดีดสักพัก เสียงชักไม่สู้ดี
สายที่ ๓ไม่ดึงไม่หย่อนนัก พอดีดสักพัก เสียงดังไพเราะจับใจ


พระโพธิสัตว์ทรงสดับเพลงที่บรรเลงด้วยพิณ ๓ สาย ทำให้พระองค์ทรงพิจารณาได้แจ่มแจ้งว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ การปฏิบัติพอดี ไม่ตึงนัก ไม่หย่อนนัก คงจะเป็นแนว ทางแห่งการปฏิบัติให้เราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยึดถือปฏิบัติแบบไม่ตึงนักและไม่หย่อนนัก จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้สดับเพลงบรรเลง เปรียบเทียบด้วยพิณ ๓ สาย ของพระอินทราธิราช นั่นเอง

แม้ในเรื่องของ ‘พระยานาคเอระกะปัต’ ซึ่งมีปรากฏใน พระไตรปิฎกก็เช่นเดียวกัน เสียงเพลงนั้นยังมีอิทธิพล ทำให้มาณพน้อยคนหนึ่งซึ่งได้ฝึกร้องเพลง จนเกิดความซาบซึ้ง ถึงขั้นบรรลุเป็นพระโสดาบัน

ในสมัยหนึ่งนั้น พระยานาคเอระกะปัตนี้ อยากทราบว่า ในโลกนี้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จบังเกิดขึ้นมาแล้วหรือยัง จึงได้แต่งเพลงให้ ‘มาณวิกา’ ลูกสาวไปยืนร้อง อยู่บนพังพานของตนเอง ทุกๆวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ในแต่ละเดือน ถ้าใครสามารถแต่งเพลงมาร้องแก้ได้ จะยกลูกสาวและเมืองบาดาลให้เป็นรางวัล

ครั้นแล้ว พระยานาคก็ให้ลูกสาวไปยืนร้องเพลงอยู่บนพังพานของตน ชายหนุ่มทั้งหลายทั่วแคว้นแดนไกล ต่างพา กันแต่งเพลงไปร้องแก้กับลูกสาวพระยานาค เพลงแล้วเพลง เล่า นับว่าเป็นเวลาเนิ่นนานผ่านไป ยังไม่มีใครสามารถแต่ง เพลงไปร้องแก้ได้สักราย

ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรวจดูอุปนิสัยบุญบารมีของสัตว์โลกทั้งหลาย ใครหนอจะมีบุญวาสนาบารมีได้ บรรลุธรรมในวันนี้ เพราะเหตุใด ในที่สุดก็มีมาณพน้อยคน หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า ‘อุตระ’ มีคุณสมบัติดังกล่าว ได้ปรากฏใน ความรู้ขึ้นมา และทรงทราบว่า ถ้าพระองค์ทรงประพันธ์บทเพลงให้เขาและฝึกให้เขาร้องบ่อยๆ ในที่สุดเขาก็จะเกิดความซาบซึ้งใจ แล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบันในวันนั้นก่อน จะไปร้องเพลงแก้กับลูกสาวพระยานาค ครั้นมาณพนั้นร้อง เพลงแก้กับลูกสาวพระยานาคแล้ว พระยานาคก็จะทราบว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จบังเกิดขึ้นในโลก ก็จะมาหาเรา แล้วเรา ก็จะแสดงธรรมให้เขาฟัง ดังที่เขาประสงค์ไว้

ดังนั้น ในตอนบ่ายวันนั้น พระพุทธองค์จึงได้เสด็จไปประทับนั่งใต้ต้นซึกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ทางไปร้องเพลงแก้กับลูกสาวพระยานาค เวลาผ่านไปไม่นานนักอุตรมาณพก็เดินทางมา พระพุทธเจ้าทรงร้องเรียกให้มาหา แล้วตรัสถาม ว่าจะไปไหน อุตระมาณพได้กราบทูลว่า กำลังจะไปร้องเพลง แก้กับลูกสาวพระยานาค

พระพุทธเจ้าทรงให้อุตรมาณพร้องเพลงให้ฟังหน่อย อุตรมาณพ ก็ขับร้องให้พระพุทธองค์ฟัง ทรงฟังแล้วจึงตรัสว่า นั่นไม่ใช่เพลงที่จะไปร้องแก้ แล้วทรงให้เพลงใหม่และทรงสอนบทเพลงให้เขาฝึกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเขาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

หลังจากนั้น ทรงให้อุตรมาณพไปร้องเพลงแก้กับลูกสาวพระยานาค ซึ่งยืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วร้องเพลงว่า
“ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา ?”

อุตตรมาณพ ร้องเพลงแก้ว่า
“ผู้เป็นใหญ่ในทวาร ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา”

นางนาคมาณวิกา จึงร้องโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า
“คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป?”

อุตตรมาณพจึงร้องแก้ไปว่า
“คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป” ดังนี้เป็นต้น

ทันทีที่อุตระมาณพร้องเพลงแก้กับลูกสาวพระยานาคจบลง พระยานาคก็ทราบได้ทันทีว่าในโลกนี้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว จึงบังเกิดความดีใจยิ่งนัก แล้วรีบแปลงกายเป็นคน ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ครั้นมาถึงแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟังถึงความยาก ๔ อย่างว่า

๑. การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ยาก
๒. การรักษาร่างกายนี้ยาก
๓. การเสด็จบังเกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้านี้ยาก
๔. การได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้านี้ก็ยาก

พระยานาคได้ฟังธรรมตามประสงค์แล้ว ก็กราบทูลลาพระพุทธองค์ไป

แม้แต่พระนางเขมา พระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่ไม่อยากไปฟังธรรม เพราะพระพุทธองค์ทรงเทศนาสัจธรรมว่ารูปร่างของคนนั้นไม่สวย งามหรอก พระเจ้าพิมพิสารอยากให้พระเมหสีได้สดับพระธรรม เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิต จึงทรงให้แต่งเพลงบรรยายความงามของวัดเวฬุวัน แล้วให้คนร้องให้พระนางเขมาฟังทุกวัน เมื่อพระนางฟังเพลงแล้วก็ทรงเกิดความซาบซึ้งพระหฤทัย จนในที่สุดก็ตัดสินใจเสด็จไปวัด เพื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วพระนางก็ได้บรรลุพระอรหันต์

นี่คือตัวอย่างของเพลงธรรมะที่สามารถชำระจิตให้ผ่องใส และพลิกชีวิตคนให้พ้นความทุกข์ใจได้

(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 76 มี.ค. 50 โดย วิบุญสุข)
กำลังโหลดความคิดเห็น