เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความรักตามหลักพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง ในช่วงที่กระแส ‘วันแห่งความรัก’ ของทางโลกกำลังคึกคัก ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนั้น ทางกอง- บรรณาธิการจึงขอนำบทความของอาจารย์ วศิน อินสระ จากหนังสือ ปัญญารัตนะ มา ให้เรียนรู้เพื่อจะได้ทบทวนและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องต่อไป
๑. ความรักที่เจือด้วยความใคร่
ความรักที่คนทั้งหลายใฝ่ฝันหา เมื่อยังไม่ได้ไม่พบ และติดอยู่เมื่อได้แล้วนั้น โดยทั่วไปหมายถึงความรักอันเนื่องด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ หรือผัสสะทางกาย ๕ อย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกในที่บางแห่งว่า ‘ตะปูตรึงใจ’ (เจโตขีละ) ตามนัยแห่งเจโตขีลสูตร
จริงอยู่ พระพุทธองค์ทรงยอมรับเรื่อง กามสุขเหมือนกัน แต่ทรงแสดงว่าเป็นความสุขที่เจือด้วยทุกข์ ไม่ปลอดภัย มีเรื่องต้องระวังมาก มีทุกข์มาก มีสุขน้อย ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า
“กามทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีทุกข์ มาก มีพิษมาก ร้อนเหมือนก้อนเหล็กแดง มีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล”และตรัสว่า
“กามทั้งหลายมีอัสสาทะ(ความชื่นใจ) น้อย แต่มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้อย่างนี้แล้ว ย่อมไม่พอใจในกามแม้ที่เป็นทิพย์(ไม่ ต้องกล่าวถึงกามคุณของมนุษย์หรือสัตว์ประเภทอื่น)
ที่กล่าวมานี้เผยให้เห็นท่าทีของพุทธศาสนาที่มีต่อความรักอันเจือด้วยราคะ ซึ่งถ้าถือว่าเป็นความสุข ก็เป็นสุขชั้นกาม ซึ่งมีทุกข์เจือปนอยู่เป็นอันมาก ความจริงข้อนี้พิสูจน์ได้ด้วยเหตุการณ์ประจำวัน ซึ่ง หนังสือพิมพ์บ้าง สื่อสารมวลชนชนิดอื่น บ้างออกข่าวให้ได้รู้เห็นกันอยู่ทั่วไป มีการ ต้องระทมใจเพราะรักเป็นพิษ จนต้องฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าผู้อื่นบ้าง เป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทบาดหมางกันบ้าง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ยังก้าวไม่พ้นความรักที่เจือด้วยกามคุณอย่างเช่น สามัญชนทั่วไป พุทธศาสนาก็เตือนให้มีสติ ไม่ประมาท เข้าไปเกี่ยวข้องกับความรักชนิด นี้อย่างระมัดระวังโดยประการที่จะให้มีทุกข์น้อยที่สุด เหมือนคนพอใจจะกินปลา ซึ่งมีก้างเจือปนอยู่ เหมือนเข้าไปเด็ดดอก กุหลาบในดงหนาม เหมือนลิ้มน้ำผึ้งจากปลายศัตรา เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้ความ ระมัดระวังเป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วจะให้ทุกข์ให้โทษมากกว่าความสุขที่หวังไว้หลาย เท่านัก
อนึ่ง ความสุขที่เกิดจากความรักอันเจือ ด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัสนั้น มักเป็น ความสุขที่มีปัญหา มีความขัดแย้ง และบกพร่อง เพราะทั้งผู้รักและผู้ถูกรักล้วนเป็นผู้ไม่สมบูรณ์ มีความบกพร่องอยู่ในตน เมื่อมาสัมพันธ์กันเข้าก็เพิ่มความบกพร่อง ให้มากขึ้น เหมือนคนตาบอดคนหนึ่ง เมื่อมาสัมพันธ์กับคนตาบอดอีกคนหนึ่ง จะทำ ให้ตาดีขึ้นก็หาไม่ มีแต่จะเป็นภาระมากขึ้น เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตที่วิญญูชนควรพิจารณา
มองอีกด้านหนึ่ง ความรักที่เจือด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัสนั้น ทำให้ผู้รักมีความหวงแหน ผูกพัน คับแคบ เมื่อไม่สมปรารถนา หรือความรักแปรปรวน อาจฆ่าตนเองและผู้อื่นได้โดยง่าย ปราศจากความเข้าใจ ไร้เหตุผล มืดบอด ตีค่าของความรักหรือคนที่ตนรักสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพราะความหลง จึงทำให้โกรธ เกลียดชัง หรือโลภติดพัน หวงแหนเกินไป จนจิตใจกระวนกระวาย ปราศจากความสงบสุข ต้องการแสวงหาความสุขจากสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้นอย่างยอมตนลงเป็นทาส
ความรักประเภทนี้ พุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งควรกลัว เป็นภัยอันตรายทั้งแก่ตน และผู้อื่น ทางที่ถูกจึงควรเดินสายกลางคือ รักอย่างมีเหตุผล พิจารณาเห็นโทษของความรักอยู่เนืองๆ พร้อมที่จะปลีกตนออก จากความรัก หรืออารมณ์ที่รักเมื่อจำเป็น มีเนกขัมมวิตก คือการตรึกตรองที่จะปลีก ตนออกจากกามอยู่เสมอ เหมือนหมออยู่โรงพยาบาลเพื่อเห็นแก่คนไข้ และพร้อมเสมอที่จะออกจากโรงพยาบาลเมื่อหมดหน้าที่แล้ว หรือเป็นเวลาอันสมควร การเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรักด้วยการรู้เท่าทันอย่างนี้ ย่อมสามารถรักษาใจให้เป็นอิสระอยู่ได้ เหมือนเนื้อที่เกี่ยวข้องอยู่กับบ่วง นอนทับบ่วงอยู่ แต่ไม่ติดบ่วง เป็นอิสระ ไปได้ตามปรารถนาเมื่อต้องการ
๒. ความสมหวังในความรัก
ความรักอย่างชาวโลกนั้น มีความพยายามอยู่ ๒ ขั้นตอนคือ หนึ่ง เพื่อให้ สมหวังในความรัก และ สอง เพื่อให้สมหวัง
ในการดำเนินความรัก
บางคนสมหวังในความรัก คือได้คนที่ รักที่ปองหมายมาตามที่หวังไว้ แต่ไม่ สมหวังในการดำเนินความรัก นั่นคือชีวิตรักต้องแตกสลายลง เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ตัวอย่างการหย่าร้าง การทะเลาะวิวาท การต้องแยกกันอยู่ของคู่สมรส หรือการต้องทนอยู่อย่างระทมขมขื่นและปวดร้าวใจ เพราะความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ผูกพันจองจำไว้ เป็นความทรมานของชีวิต เป็นความสุก(คือถูกเผาให้ร้อนจนสุกไหม้) ไม่ใช่ความสุข
พุทธศาสนาได้แสดงหลักไว้มากหลาย เพื่อให้ชาวโลกได้สมหวังในการดำเนินความรักให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ให้นาวาชีวิตต้องอัปปางลงกลางคัน เช่นการบำเพ็ญกรณียกิจ อันเป็นหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ทั้งฝ่ายสามีและภรรยา
ข้อควรสังเกตประการหนึ่งก็คือ ควร ทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ ควรพยายามที่จะเข้าใจเขา มากกว่าที่จะพยายามหรือตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา ควรทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ดีกว่าพยายามให้เขาทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์โดยที่ตัวเรายังบกพร่องอยู่นานาประการ
การดำเนินความรักเป็นศิลปะอันสูงส่ง ยิ่งกว่าการให้สมหวังในความรัก ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องนี้ ความเห็นแก่ตัว การพยายามเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ได้เป็นสิ่งทำลายการดำเนินความรักของคู่สมรสมานักต่อนักแล้ว เขาพลาดจากความสุขความสมหวัง เพราะเห็นแก่ความสุข ความสมหวังของตนเกินไปนั่นเอง
๓. การพ่ายรักและชนะรัก
ตามทรรศนะทางโลก ผู้ที่ไม่สมหวังใน ความรัก เรียกว่าเป็นผู้พ่ายรัก คือเป็นผู้แพ้ ส่วนผู้สมหวังในความรัก เรียกว่าเป็นผู้ชนะรัก แต่ทรรศนะทางธรรมถือว่าผู้สมหวังในความรักนั่นแหละคือผู้พ่ายรัก คือเป็นผู้แพ้ แพ้จนต้องยอมเป็นทาสของความรักนั้น เป็นทาสที่ยินยอม ไม่ต้องการอิสรภาพ ยอม อยู่กับสิ่งที่คนชอบเรียกกันว่าตารางดวงใจ
การชนะรักตามทรรศนะของพุทธศาสนาคือความไม่รัก มีใจเป็นอิสระ ไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์รัก หรือสิ่งอัน
เป็นที่รัก
๔. ผู้มีความสมบูรณ์ในตน
มีข้อที่ควรพิจารณาประการหนึ่งว่าผู้ที่ ปรารถนาความรักนั้น ที่แท้แล้วต้องการอะไร หลายคนอาจตอบว่าต้องการความสุข ซึ่งความรักและสิ่งที่รักนั้นจะบันดาลให้เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความสมบูรณ์ในตน จึงต้องการสิ่งภายนอกมาชดเชยเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ก็คือ เมื่อทราบแน่ว่าผู้อื่นหรือสิ่งอื่นไม่สามารถ สนองความต้องการอันพร่องอยู่ของตนให้เต็มแล้ว ผู้นั้นก็มักจะเลิกรักหรือเกลียด ชังสิ่งนั้นไปเลยก็มี ดังนั้นความปรารถนาใน ความรัก จึงมีความหมายเท่ากับต้องการความสมบูรณ์แห่งตน ต้องการเพิ่มสิ่งที่ตน รู้สึกว่ายังขาดอยู่ เช่น คนขาดความรักในทำนองบุตรก็ปรารถนาบุตร ขาดความรักในทำนองคู่รักก็ปรารถนาคู่รัก ขาดความรักในลักษณะพี่น้อง เป็นต้น โดยนัยนี้คนที่มี ความสมบูรณ์ในตน จึงไม่ปรารถนาความรักหรือสิ่งที่รัก กล่าวคือสามารถมีความสงบสุขอยู่ได้โดยลำพังตนเอง
อุปกรณ์หรือปัจจัยสำคัญของความสมบูรณ์ในตนก็คือดวงใจที่รักความสงบ มีความดำริในการปลีกตนออกจากกาม หรือสิ่งยั่วยวนต่างๆ(เนกขัมมสังกัปปะ) เพราะเห็นโทษของสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความ สุกร้อน ไม่สุขเย็น
เห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา และด้วย ดวงใจที่อบรมดีแล้วว่าการปรารถนาความ สุขจากภายนอกนั้น ไม่มีวันสนองความอยากให้เต็มบริบูรณ์ได้ เพราะโดยสภาวะแล้วสิ่งเหล่านั้นมีความบกพร่องอยู่ในตนเมื่อได้สิ่งนั้นมา จึงต้องรับเอาความบกพร่อง เข้ามาด้วย ตัวอย่างเช่นคนที่ต้องการความ สุขจากการมีรถยนต์ ย่อมจะต้องมีทุกข์ มีภาระกังวลกับรถยนต์นั้นด้วยเป็นธรรมดา ผู้ต้องการความสุขจากการมีบุตร มีภรรยา หรือสามีก็ทำนองเดียวกัน ฯลฯ
เกี่ยวกับความรักต่อบุคคลอื่นนี้ มีผู้พูด เสมอว่า ความรักของเขาบริสุทธิ์ (ซึ่งมีความหมายเพียงว่าเขารักจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือมีความคิดไม่ดีแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ด้วย) ปัญหาว่า ความรักต่อบุคคลอื่นที่เจือด้วยความใคร่ ความปรารถนาสนองตอบทางผัสสะนั้นเป็นของไม่บริสุทธิ์อยู่ในตัวเองแล้ว ความรักที่บริสุทธิ์ทำนองนั้นจะมีได้หรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่
ความรักที่มาในรูปของเมตตาหรือกรุณา ซึ่งแผ่ตัวออกมาเป็นความปรารถนาดีและอยากให้สัตว์อื่นพ้นทุกข์ นั่นแหละน่าจะพอเรียกได้ว่าเป็นความรักอันบริสุทธิ์ เพราะประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา
๕.ความรักตนกับความรักผู้อื่น
โดยทั่วไป คนทั้งหลายมีความรู้สึกว่า ตนของตนเป็นที่รักอย่างสูงสุด หรือถ้ามิใช่ ตนก็ต้องเป็นสิ่งที่เขาเข้าไปยึดถือว่าเป็นของ ตน หรือเนื่องด้วยตน กล่าวคือไม่พ้นไปจากตน เช่น บุตร ภรรยา หรือสามีของตน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของตน ตลอดไปถึงชาติ ของตน ถ้าเป็นคนอื่นนอกจากนี้ ก็เป็นคน ที่สามารถจะให้ความสุขและประโยชน์แก่ตนได้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ให้เราเห็นได้ด้วยตนเอง
บุคคลที่ยอมสละตนเพื่อสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น ยอมสละตนเพื่อคุณธรรมบางอย่างที่ตนยกย่องเชิดชู เป็นความสุขอยู่ลึกๆที่ได้ทำเช่นนั้น ถ้าไม่ได้ ทำจะรู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขใจ มองในแง่นี้ก็เพื่อความสุขของตนด้วย ของผู้อื่นด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้สละที่นั่งของตนในรถประจำทางให้แก่ผู้ที่ควรเอื้อเฟื้อ หรือช่วยถือของหนักของผู้โดยสารอื่น การ กระทำเช่นนั้นแม้ตนจะลำบากบ้างทางกายแต่มีความสุขทางใจมาทดแทน ถ้าไม่ได้ทำจะรู้สึกไม่สบายใจ ในกรณีการสละชีพเพื่อคน ใดคนหนึ่งที่มีคุณค่าพอก็ทำนองเดียวกันนี้ ความรักตนกับความรักผู้อื่นหรือสิ่งอื่นจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แยกกันได้ยาก เหมือนน้ำกับน้ำนมที่ผสมกันเข้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความรักตน หรือความรักผู้อื่น อย่างไหนจะมีมากกว่ากันนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความรักนั้นต้องมีพื้นฐานที่คุณธรรม ความถูกต้อง และความเหมาะสม
๖. ความรักที่เป็นอารมณ์สะเทือนใจเป็นศิลปะ
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า คนทั้งหลายสนใจเรื่องความรักมาก ความรักจะเป็นอะไรก็ตาม แต่คนทั้งหลายก็สนใจจะรู้ สนใจฟัง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยที่เริ่มมีความรักด้วยแล้วก็สนใจเป็นพิเศษ เราจะเห็นได้จากละคร ภาพยนตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับความรัก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด คนทั้งหลายจะจดจ่อสนใจ ติดตามชมกันอย่าง คับคั่ง ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องสมมติขึ้น เป็นเพียงละคร หรือภาพยนตร์เท่านั้น นอกจากนี้เสียงเพลงที่มีเนื้อร้องอันเกี่ยวกับความรักและทำนองชวนเศร้า ชวนให้สะเทือนใจ คนทั้งหลายก็สนใจกันมาก แผ่นเสียงหรือ เทปเพลงทำนองนี้จึงเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่ผู้ผลิตจำหน่ายปีละไม่น้อยเลย
ถ้าเราถือหลักว่า กระแสจิตของบุคคล ใดเดินอยู่ทางใด เขาย่อมพอใจสนใจต่ออารมณ์ที่ตรงกับกระแสจิตนั้น จิตย่อมแส่ หาอารมณ์เช่นนั้น เมื่ออารมณ์อย่างนั้นผ่าน เข้ามา จิตของเขาย่อมรับไว้และดูดดื่มซึมซาบ ตื่นเต้น หรือประทับใจ สุขหรือทุกข์ แล้วแต่กรณี ตามหลักนี้การที่คนสนใจ เรื่องความรักมาก แสดงว่ากระแสจิตของคน ส่วนใหญ่เดินอยู่ในวิถีแห่งความรักต้องการ ความอบอุ่น ผาสุกจากความรัก บางคนเป็น แผลใจอันสืบเนื่องมาจากความรัก และต้องการรักษา หรือต้องการเพื่อนร่วมโชคชะตาเดียวกัน เพื่อปลอบใจตนเองได้บ้างว่า ไม่เพียงแต่เราคนเดียวที่เป็นอย่างนี้ คนอื่น ก็เป็นเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ละคร ภาพยนตร์ หรือนวนิยายที่ตัวละครมีลีลาชีวิตคล้ายเขา บุคคลผู้นั้นจึงนิยมชมชอบ และเกิดความ รู้สึกประทับใจ
ความรักที่เกี่ยวเนื่องด้วยประสาทสัมผัส มุ่งการเสวยความสุขความเพลิด เพลินเป็นสิ่งตอบแทน เรียกว่าความรักที่ เป็นอารมณ์สะเทือนใจ ความรักชนิดนี้รุนแรงเข้มข้น แต่เปราะบางแตกสลายได้ง่าย เจือด้วยทุกข์โศก วิตกกังวล ริษยา ชิงชัง ส่วนความรักที่ไม่ปรารถนาเสวยความสุขความเพลิดเพลินจากประสาทสัมผัส แต่เป็นความปรารถนาดี ปรารถนาความสุขสมบูรณ์แห่งสิ่งที่ตนรัก มุ่งถนอม พิทักษ์รักษา เชิดชู ยกย่อง เช่น ความรักชาติ รักสถาบัน รักบุคคลผู้มีคุณงามความดี รักธรรมชาติ ความรักอย่างนี้เป็น ความรักในแง่ศิลปะ ไม่รุนแรง ไม่เข้มข้น แต่เหนียวแน่นมั่นคง ไม่เปราะบาง หรือแตกสลายได้ง่ายเหมือนความรักอย่างสะเทือนอารมณ์
คนส่วนมากต้องการความรัก แต่ต้องการให้คนอื่นมารักตนมากกว่าที่ตนจะรักผู้อื่น จนถึงกับบางคนตั้งเป็นหลักใน ใจว่า จะไม่รักคนที่เขาไม่รักเรา อันนั้นเป็น ความรักแบบสะเทือนอารมณ์ ต้องการเสวยผลแห่งความรักทางประสาทสัมผัส แต่ความรักอย่างศิลปะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือไปในทำนองว่า เราต้องรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะรักเราหรือไม่ก็ตาม เป็นผู้ให้ความรักแทนการเรียกร้องความรักจากผู้อื่น
จิตวิทยาส่วนมากสอนไปในแง่ว่า ทำอย่างไรผู้อื่นจึงจะรักเรา นิยมชมชอบในตัวเรา ได้แสวงหาวิธีต่างๆเพื่อให้ตนเป็นที่รักของผู้อื่น ฝ่ายชายก็แสวงหาอำนาจ เงิน ยศศักดิ์อัครฐาน เพื่อเป็นอุปกรณ์แห่ง ความรัก ฝ่ายหญิงก็ปรับปรุงตัวให้มีความ งามด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ และเสื้อผ้า อาภรณ์อันสวยงามทันสมัย เพื่อเรียกร้องความสนใจของเพศตรงข้าม
ที่มีความพยายามตรงกันก็คือ การฝึก หัดท่วงทีกิริยาวาจาให้อ่อนโยนละมุนละไม มีเมตตาปรานี เพื่อให้ฝ่ายตรงกันข้ามเห็นว่า ตนเป็นคนดีพอ ที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรัก รวมความว่าทั้งสองฝ่ายพยายามเพื่อให้เขารักตน มีน้อยเหลือเกินที่คิดจะมอบความรักความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น โดยมิได้เรียกร้อง ความรักจากผู้ใดเพื่อตน ความรักชนิดนี้แหละเป็นศิลปะ ดำรงอยู่ยั่งยืน
บางคนมีความรักแบบหินที่อยู่ในน้ำ กล่าวคือ แม้น้ำจะเหือดแห้งไป แต่หินก็หา ละลายไปด้วยไม่ คงดำรงมั่นอยู่อย่างนั้นเอง เราจะพบความรักชนิดนี้โดยมากในมารดา บิดาที่มีต่อบุตร ส่วนความรักของหนุ่มสาว ที่เป็นอย่างนี้มีน้อย
๗. อาการแปรแห่งความรัก
ความรักแบบเสน่หา อาจแปรเป็นมิตรภาพได้ในกรณีที่ความรักนั้นถูกขัดขวางไม่ให้ดำเนินไปตามทางที่มุ่งหมายไว้แต่แรก แต่จะเป็นอย่างนั้นได้เฉพาะคนใจ สูงเท่านั้น คนที่ใจไม่สูงพอไม่อาจทำได้ ส่วนมากเมื่อไม่สมหวังในทางรักแบบเสน่หา ก็แตกหักไปเลย ไม่เกี่ยวข้องกันอีก อาจเป็น ด้วยความละอายต่อกัน หรือเจ็บช้ำน้ำใจ จึง ไม่อยากพบเห็นอีก มีอีกกรณีหนึ่งคือมิตรภาพที่แปรเป็นความรัก อันนี้พบได้เสมอ ชายหญิงที่คบกันอย่างเพื่อน หรือนับถือกันอย่างพี่น้องในระยะเริ่มต้น แต่พอนานเข้า ด้วยความเห็นอกเห็นใจ หรือด้วยความ นิยมชมชอบ หรือด้วยเสน่ห์แห่งความ ใกล้ชิด อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม อาจทำให้ทั้งสองรักกันอย่างคู่รัก และลงท้ายด้วยการ แต่งงาน ความรักที่มีจุดมุ่งหมายแสวงหาความสุขจากผัสสะ ย่อมลงท้ายด้วยการแต่งงาน เมื่อแต่งงานนานไปความรักอันตื่นเต้นทางประสาทสัมผัสจะจางลง แต่กลับไปเข้มข้นทางมิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ ข้อนี้พุทธศาสนารับรองว่า “ภริยา ปรมา สขา - ภรรยา(หรือสามี)เป็นเพื่อนที่ยอดเยี่ยม” แต่น่าจะหมายถึงภรรยาหรือสามีที่ดีเท่านั้น ส่วนภรรยาหรือสามีที่ไม่ดีก็เป็นศัตรูที่ร้ายกาจเหมือนกัน เหมือนมีงูพิษอยู่ในบ้าน น่าระแวงเกรงภัย มีตัวอย่างให้ดูอยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ บางคนต้องเสียชีวิตทั้งตนและลูก บางคนต้องทุกข์ทรมาน อกไหม้ไส้ขมไปตลอดชาติ การเข้าไปเกี่ยวข้อง กับความรักเป็นเรื่องเสี่ยงมาก
๘. คุณและโทษของความรัก
ความรักที่ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีความพอใจด้วยกันทุกฝ่าย มีรากฐานอยู่ที่คุณธรรม ย่อมทำให้เกิดความ อบอุ่นใจ มีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ หรืออยู่ท่ามกลางคนอันเป็นที่รัก ทำให้จิตใจ ร่าเริง แจ่มใส มีกำลังใจในการทำความดี ขยันหมั่นเพียร เพื่อตนและเพื่อคนที่ตนรัก รู้สึกตนว่ามีค่า และพร้อมที่จะประพฤติคุณธรรมต่างๆเช่น ความเสียสละ เป็นต้น นี่คือ ‘คุณ’ ที่พอมองเห็นได้ในปัจจุบัน
ส่วน ‘โทษ’ ของความรักก็มีอยู่มาก เช่น เป็นต้นเหตุแห่งความเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพัน ความริษยา ความเกลียดชังผู้อื่นที่เข้าใจว่ามาแย่งสิ่งที่รักของตน ความวิตกกังวลห่วงใย ความที่ใจต้องคอยจดจ่ออยู่กับคนอันเป็นที่รัก รู้สึกไม่อิสระ จิตใจถูกจองจำผูกพัน อารมณ์รักคอยหน่วงเหนี่ยว จิตใจให้วนเวียนอยู่กับคนที่ตนรักนั้น ยิ่งหมกมุ่นมากก็ยิ่งทุกข์มาก ในกรณีที่ความรักสลายเป็นพิษขึ้นมาอีก ก็ยิ่งเห็นโทษของ มันมากขึ้น
ผู้ที่จิตใจพ้นจากกระแสแห่งความรักอย่างโลกๆแล้ว ย่อมได้รับการอุดหนุนจากกระแสธรรมซึ่งสงบเยือกเย็นกว่า ปลอดภัยกว่า ไม่ต้องเสี่ยงต่อโทษที่แฝงอยู่ในความรักนั้น เป็นผู้ปลอดโปร่งแท้จริง
๙. พระพุทธภาษิตที่เกี่ยวกับความรัก
ในที่นี้ ขอนำพระพุทธภาษิตที่เกี่ยวกับความรัก สิ่งที่รัก กามคุณ และตัณหา มาประกอบเพื่อการพิจารณาว่า พุทธปรัชญามีท่าทีต่อความรักอย่างไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้พ้นแล้วจากความรัก พุทธคติจึงมีแนวโน้มให้บุคคลทำตนให้พ้นจากความรัก ด้วย เพื่อไม่ต้องรับเอาส่วนที่เป็นโทษของ ความรัก ซึ่งมีมากกว่าส่วนที่เป็นคุณ ส่วนใครจะทำได้เพียงใดก็เป็นเรื่องของผู้นั้น พระพุทธองค์เป็นเพียงผู้บอกทาง และชี้ความจริงให้ดู
• บุคคลประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควร ประกอบ ไม่ประกอบตนไว้ในสิ่งอันควรประกอบ ละสิ่งอันเป็นประโยชน์เสียแล้ว ถือ เอาอารมณ์อันเป็นที่รัก(ภายหลัง) ย่อมกระหยิ่มต่อบุคคลผู้ประกอบตนไว้ในทางที่ ชอบ(เพราะฉะนั้น) บุคคลไม่ควรคลุกคลีกับสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักไม่ว่าในกาลใดๆ เพราะความพลัดพราก
จากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นความทรมาน ชนใด ไม่มีสิ่งที่รักและไม่เป็นที่รัก กิเลสเครื่องร้อยรัดย่อมไม่มีแก่ชนนั้น
• ความโศกเกิดจากสิ่งที่รัก ความกลัว(ภัย)เกิดจากสิ่งที่รัก ความโศกและความกลัว ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่พ้นแล้วจากสิ่งที่รัก
• ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกและความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นจากความรัก
• ความโศกย่อมเกิดจากความยินดี ภัยย่อมเกิดจากความยินดี ความโศกและภัยย่อมไม่มีแก่ผู้หลุดพ้นแล้วจากความยินดี
• ความโศกย่อมเกิดแต่กาม กลัวก็เกิด แต่กาม ความโศกและความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นแล้วจากกาม
• ความโศกย่อมเกิดจากตัณหา ภัยก็เกิดจากตัณหา ความโศกและภัยย่อมไม่มีแก่ท่านผู้พ้นแล้วจากตัณหา
• มหาชนย่อมรักคนที่มีศีล มีความเห็นดี ตั้งอยู่ในธรรม พูดจริงเป็นปกติ และทำงานอันเป็นหน้าที่ของตน
• ภิกษุผู้มีฉันทะ เกิดแล้วในพระนิพพานอันบอกไม่ได้ เป็นผู้มีใจอันอริยผล
ถูกต้องแล้ว มีจิตไม่เกี่ยวเกาะในกามทั้งหลาย เรียกว่าเป็นผู้มีกระแสเบื้องบน
• ญาติมิตรและสหายย่อมยินดีต้อนรับ
บุคคลผู้จากไปเสียนาน กลับมาด้วยความสวัสดีฉันใด บุญที่บุคคลทำไว้แล้วก็ฉันนั้น ย่อมคอยต้อนรับบุคคลผู้จากโลกนี้ไปเหมือนญาติคอยต้อนรับบุคคลอันเป็นที่รักฉะนั้น
(ปิยวรรค ธรรมบท)
• ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนให้ดี พึงปฏิบัติตนให้ถูกต้องในวัยใดวัย หนึ่ง บรรดา ๓ วัย
(อัตตวรรค ธรรมบท)
• จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสีย เหมือนถอนดอกโกมุทในสระด้วยมือ จงพอกพูนทางแห่งสันติ นิพพานพระสุคตแสดงไว้แล้ว
(มัคควรรค ธรรมบท)
• สิ่งที่ไม่น่ายินดี มักมาในรูปของสิ่งที่น่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักมักมาในรูปของสิ่งที่ น่ารัก ทุกข์มักมาในรูปของความสุข จึงสามารถครอบงำย่ำยีคนประมาทได้
(อุทาน)
• พิจารณาด้วยใจไปทั่วทุกทิศแล้ว ยังไม่พบใครในที่ไหนอันจะเป็นที่รัก ยิ่งกว่าตน ผู้อื่นก็รักตนของเขาเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้รักตน จึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
(อุทาน)
• คนจะเป็นผู้เจริญก็รู้ได้ง่าย จะเป็นผู้เสื่อมก็รู้ได้ง่าย คือผู้รักธรรมเป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม
(ปราภวสูตร สุตตนิบาต)
• สำหรับท่านผู้สันโดษ ได้สดับธรรมแล้ว เห็นแจ้งตามเป็นจริง ความสงัดเป็นความสุข ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก, ความสำรอกราคะคือการล่วงพ้นกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก, การถอนอัสมิมานะเสียได้เป็นบรมสุข
(อุทาน)
ตามแนวแห่งพุทธปรัชญา
อาการที่จิตยึดเหนี่ยวไว้อย่างแน่นแฟ้น ในตัวตนและของตน หรืออหังการ มมังการ นั่นแหละคือต้นตออันอยู่ลึกๆของอารมณ์รัก ซึ่งจะผลิดอกออกผลเป็นความทุกข์ทรมานใจในกาลต่อมา
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดยวศิน อินทสระ)
๑. ความรักที่เจือด้วยความใคร่
ความรักที่คนทั้งหลายใฝ่ฝันหา เมื่อยังไม่ได้ไม่พบ และติดอยู่เมื่อได้แล้วนั้น โดยทั่วไปหมายถึงความรักอันเนื่องด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ หรือผัสสะทางกาย ๕ อย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกในที่บางแห่งว่า ‘ตะปูตรึงใจ’ (เจโตขีละ) ตามนัยแห่งเจโตขีลสูตร
จริงอยู่ พระพุทธองค์ทรงยอมรับเรื่อง กามสุขเหมือนกัน แต่ทรงแสดงว่าเป็นความสุขที่เจือด้วยทุกข์ ไม่ปลอดภัย มีเรื่องต้องระวังมาก มีทุกข์มาก มีสุขน้อย ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า
“กามทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีทุกข์ มาก มีพิษมาก ร้อนเหมือนก้อนเหล็กแดง มีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล”และตรัสว่า
“กามทั้งหลายมีอัสสาทะ(ความชื่นใจ) น้อย แต่มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้อย่างนี้แล้ว ย่อมไม่พอใจในกามแม้ที่เป็นทิพย์(ไม่ ต้องกล่าวถึงกามคุณของมนุษย์หรือสัตว์ประเภทอื่น)
ที่กล่าวมานี้เผยให้เห็นท่าทีของพุทธศาสนาที่มีต่อความรักอันเจือด้วยราคะ ซึ่งถ้าถือว่าเป็นความสุข ก็เป็นสุขชั้นกาม ซึ่งมีทุกข์เจือปนอยู่เป็นอันมาก ความจริงข้อนี้พิสูจน์ได้ด้วยเหตุการณ์ประจำวัน ซึ่ง หนังสือพิมพ์บ้าง สื่อสารมวลชนชนิดอื่น บ้างออกข่าวให้ได้รู้เห็นกันอยู่ทั่วไป มีการ ต้องระทมใจเพราะรักเป็นพิษ จนต้องฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าผู้อื่นบ้าง เป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทบาดหมางกันบ้าง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ยังก้าวไม่พ้นความรักที่เจือด้วยกามคุณอย่างเช่น สามัญชนทั่วไป พุทธศาสนาก็เตือนให้มีสติ ไม่ประมาท เข้าไปเกี่ยวข้องกับความรักชนิด นี้อย่างระมัดระวังโดยประการที่จะให้มีทุกข์น้อยที่สุด เหมือนคนพอใจจะกินปลา ซึ่งมีก้างเจือปนอยู่ เหมือนเข้าไปเด็ดดอก กุหลาบในดงหนาม เหมือนลิ้มน้ำผึ้งจากปลายศัตรา เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้ความ ระมัดระวังเป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วจะให้ทุกข์ให้โทษมากกว่าความสุขที่หวังไว้หลาย เท่านัก
อนึ่ง ความสุขที่เกิดจากความรักอันเจือ ด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัสนั้น มักเป็น ความสุขที่มีปัญหา มีความขัดแย้ง และบกพร่อง เพราะทั้งผู้รักและผู้ถูกรักล้วนเป็นผู้ไม่สมบูรณ์ มีความบกพร่องอยู่ในตน เมื่อมาสัมพันธ์กันเข้าก็เพิ่มความบกพร่อง ให้มากขึ้น เหมือนคนตาบอดคนหนึ่ง เมื่อมาสัมพันธ์กับคนตาบอดอีกคนหนึ่ง จะทำ ให้ตาดีขึ้นก็หาไม่ มีแต่จะเป็นภาระมากขึ้น เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตที่วิญญูชนควรพิจารณา
มองอีกด้านหนึ่ง ความรักที่เจือด้วยความใคร่ในประสาทสัมผัสนั้น ทำให้ผู้รักมีความหวงแหน ผูกพัน คับแคบ เมื่อไม่สมปรารถนา หรือความรักแปรปรวน อาจฆ่าตนเองและผู้อื่นได้โดยง่าย ปราศจากความเข้าใจ ไร้เหตุผล มืดบอด ตีค่าของความรักหรือคนที่ตนรักสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพราะความหลง จึงทำให้โกรธ เกลียดชัง หรือโลภติดพัน หวงแหนเกินไป จนจิตใจกระวนกระวาย ปราศจากความสงบสุข ต้องการแสวงหาความสุขจากสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้นอย่างยอมตนลงเป็นทาส
ความรักประเภทนี้ พุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งควรกลัว เป็นภัยอันตรายทั้งแก่ตน และผู้อื่น ทางที่ถูกจึงควรเดินสายกลางคือ รักอย่างมีเหตุผล พิจารณาเห็นโทษของความรักอยู่เนืองๆ พร้อมที่จะปลีกตนออก จากความรัก หรืออารมณ์ที่รักเมื่อจำเป็น มีเนกขัมมวิตก คือการตรึกตรองที่จะปลีก ตนออกจากกามอยู่เสมอ เหมือนหมออยู่โรงพยาบาลเพื่อเห็นแก่คนไข้ และพร้อมเสมอที่จะออกจากโรงพยาบาลเมื่อหมดหน้าที่แล้ว หรือเป็นเวลาอันสมควร การเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรักด้วยการรู้เท่าทันอย่างนี้ ย่อมสามารถรักษาใจให้เป็นอิสระอยู่ได้ เหมือนเนื้อที่เกี่ยวข้องอยู่กับบ่วง นอนทับบ่วงอยู่ แต่ไม่ติดบ่วง เป็นอิสระ ไปได้ตามปรารถนาเมื่อต้องการ
๒. ความสมหวังในความรัก
ความรักอย่างชาวโลกนั้น มีความพยายามอยู่ ๒ ขั้นตอนคือ หนึ่ง เพื่อให้ สมหวังในความรัก และ สอง เพื่อให้สมหวัง
ในการดำเนินความรัก
บางคนสมหวังในความรัก คือได้คนที่ รักที่ปองหมายมาตามที่หวังไว้ แต่ไม่ สมหวังในการดำเนินความรัก นั่นคือชีวิตรักต้องแตกสลายลง เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ตัวอย่างการหย่าร้าง การทะเลาะวิวาท การต้องแยกกันอยู่ของคู่สมรส หรือการต้องทนอยู่อย่างระทมขมขื่นและปวดร้าวใจ เพราะความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ผูกพันจองจำไว้ เป็นความทรมานของชีวิต เป็นความสุก(คือถูกเผาให้ร้อนจนสุกไหม้) ไม่ใช่ความสุข
พุทธศาสนาได้แสดงหลักไว้มากหลาย เพื่อให้ชาวโลกได้สมหวังในการดำเนินความรักให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ให้นาวาชีวิตต้องอัปปางลงกลางคัน เช่นการบำเพ็ญกรณียกิจ อันเป็นหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ทั้งฝ่ายสามีและภรรยา
ข้อควรสังเกตประการหนึ่งก็คือ ควร ทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ ควรพยายามที่จะเข้าใจเขา มากกว่าที่จะพยายามหรือตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา ควรทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ดีกว่าพยายามให้เขาทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์โดยที่ตัวเรายังบกพร่องอยู่นานาประการ
การดำเนินความรักเป็นศิลปะอันสูงส่ง ยิ่งกว่าการให้สมหวังในความรัก ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องนี้ ความเห็นแก่ตัว การพยายามเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ได้เป็นสิ่งทำลายการดำเนินความรักของคู่สมรสมานักต่อนักแล้ว เขาพลาดจากความสุขความสมหวัง เพราะเห็นแก่ความสุข ความสมหวังของตนเกินไปนั่นเอง
๓. การพ่ายรักและชนะรัก
ตามทรรศนะทางโลก ผู้ที่ไม่สมหวังใน ความรัก เรียกว่าเป็นผู้พ่ายรัก คือเป็นผู้แพ้ ส่วนผู้สมหวังในความรัก เรียกว่าเป็นผู้ชนะรัก แต่ทรรศนะทางธรรมถือว่าผู้สมหวังในความรักนั่นแหละคือผู้พ่ายรัก คือเป็นผู้แพ้ แพ้จนต้องยอมเป็นทาสของความรักนั้น เป็นทาสที่ยินยอม ไม่ต้องการอิสรภาพ ยอม อยู่กับสิ่งที่คนชอบเรียกกันว่าตารางดวงใจ
การชนะรักตามทรรศนะของพุทธศาสนาคือความไม่รัก มีใจเป็นอิสระ ไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์รัก หรือสิ่งอัน
เป็นที่รัก
๔. ผู้มีความสมบูรณ์ในตน
มีข้อที่ควรพิจารณาประการหนึ่งว่าผู้ที่ ปรารถนาความรักนั้น ที่แท้แล้วต้องการอะไร หลายคนอาจตอบว่าต้องการความสุข ซึ่งความรักและสิ่งที่รักนั้นจะบันดาลให้เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความสมบูรณ์ในตน จึงต้องการสิ่งภายนอกมาชดเชยเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ก็คือ เมื่อทราบแน่ว่าผู้อื่นหรือสิ่งอื่นไม่สามารถ สนองความต้องการอันพร่องอยู่ของตนให้เต็มแล้ว ผู้นั้นก็มักจะเลิกรักหรือเกลียด ชังสิ่งนั้นไปเลยก็มี ดังนั้นความปรารถนาใน ความรัก จึงมีความหมายเท่ากับต้องการความสมบูรณ์แห่งตน ต้องการเพิ่มสิ่งที่ตน รู้สึกว่ายังขาดอยู่ เช่น คนขาดความรักในทำนองบุตรก็ปรารถนาบุตร ขาดความรักในทำนองคู่รักก็ปรารถนาคู่รัก ขาดความรักในลักษณะพี่น้อง เป็นต้น โดยนัยนี้คนที่มี ความสมบูรณ์ในตน จึงไม่ปรารถนาความรักหรือสิ่งที่รัก กล่าวคือสามารถมีความสงบสุขอยู่ได้โดยลำพังตนเอง
อุปกรณ์หรือปัจจัยสำคัญของความสมบูรณ์ในตนก็คือดวงใจที่รักความสงบ มีความดำริในการปลีกตนออกจากกาม หรือสิ่งยั่วยวนต่างๆ(เนกขัมมสังกัปปะ) เพราะเห็นโทษของสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความ สุกร้อน ไม่สุขเย็น
เห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา และด้วย ดวงใจที่อบรมดีแล้วว่าการปรารถนาความ สุขจากภายนอกนั้น ไม่มีวันสนองความอยากให้เต็มบริบูรณ์ได้ เพราะโดยสภาวะแล้วสิ่งเหล่านั้นมีความบกพร่องอยู่ในตนเมื่อได้สิ่งนั้นมา จึงต้องรับเอาความบกพร่อง เข้ามาด้วย ตัวอย่างเช่นคนที่ต้องการความ สุขจากการมีรถยนต์ ย่อมจะต้องมีทุกข์ มีภาระกังวลกับรถยนต์นั้นด้วยเป็นธรรมดา ผู้ต้องการความสุขจากการมีบุตร มีภรรยา หรือสามีก็ทำนองเดียวกัน ฯลฯ
เกี่ยวกับความรักต่อบุคคลอื่นนี้ มีผู้พูด เสมอว่า ความรักของเขาบริสุทธิ์ (ซึ่งมีความหมายเพียงว่าเขารักจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือมีความคิดไม่ดีแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ด้วย) ปัญหาว่า ความรักต่อบุคคลอื่นที่เจือด้วยความใคร่ ความปรารถนาสนองตอบทางผัสสะนั้นเป็นของไม่บริสุทธิ์อยู่ในตัวเองแล้ว ความรักที่บริสุทธิ์ทำนองนั้นจะมีได้หรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่
ความรักที่มาในรูปของเมตตาหรือกรุณา ซึ่งแผ่ตัวออกมาเป็นความปรารถนาดีและอยากให้สัตว์อื่นพ้นทุกข์ นั่นแหละน่าจะพอเรียกได้ว่าเป็นความรักอันบริสุทธิ์ เพราะประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา
๕.ความรักตนกับความรักผู้อื่น
โดยทั่วไป คนทั้งหลายมีความรู้สึกว่า ตนของตนเป็นที่รักอย่างสูงสุด หรือถ้ามิใช่ ตนก็ต้องเป็นสิ่งที่เขาเข้าไปยึดถือว่าเป็นของ ตน หรือเนื่องด้วยตน กล่าวคือไม่พ้นไปจากตน เช่น บุตร ภรรยา หรือสามีของตน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของตน ตลอดไปถึงชาติ ของตน ถ้าเป็นคนอื่นนอกจากนี้ ก็เป็นคน ที่สามารถจะให้ความสุขและประโยชน์แก่ตนได้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ให้เราเห็นได้ด้วยตนเอง
บุคคลที่ยอมสละตนเพื่อสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น ยอมสละตนเพื่อคุณธรรมบางอย่างที่ตนยกย่องเชิดชู เป็นความสุขอยู่ลึกๆที่ได้ทำเช่นนั้น ถ้าไม่ได้ ทำจะรู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขใจ มองในแง่นี้ก็เพื่อความสุขของตนด้วย ของผู้อื่นด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้สละที่นั่งของตนในรถประจำทางให้แก่ผู้ที่ควรเอื้อเฟื้อ หรือช่วยถือของหนักของผู้โดยสารอื่น การ กระทำเช่นนั้นแม้ตนจะลำบากบ้างทางกายแต่มีความสุขทางใจมาทดแทน ถ้าไม่ได้ทำจะรู้สึกไม่สบายใจ ในกรณีการสละชีพเพื่อคน ใดคนหนึ่งที่มีคุณค่าพอก็ทำนองเดียวกันนี้ ความรักตนกับความรักผู้อื่นหรือสิ่งอื่นจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แยกกันได้ยาก เหมือนน้ำกับน้ำนมที่ผสมกันเข้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความรักตน หรือความรักผู้อื่น อย่างไหนจะมีมากกว่ากันนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความรักนั้นต้องมีพื้นฐานที่คุณธรรม ความถูกต้อง และความเหมาะสม
๖. ความรักที่เป็นอารมณ์สะเทือนใจเป็นศิลปะ
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า คนทั้งหลายสนใจเรื่องความรักมาก ความรักจะเป็นอะไรก็ตาม แต่คนทั้งหลายก็สนใจจะรู้ สนใจฟัง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยที่เริ่มมีความรักด้วยแล้วก็สนใจเป็นพิเศษ เราจะเห็นได้จากละคร ภาพยนตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับความรัก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด คนทั้งหลายจะจดจ่อสนใจ ติดตามชมกันอย่าง คับคั่ง ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องสมมติขึ้น เป็นเพียงละคร หรือภาพยนตร์เท่านั้น นอกจากนี้เสียงเพลงที่มีเนื้อร้องอันเกี่ยวกับความรักและทำนองชวนเศร้า ชวนให้สะเทือนใจ คนทั้งหลายก็สนใจกันมาก แผ่นเสียงหรือ เทปเพลงทำนองนี้จึงเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่ผู้ผลิตจำหน่ายปีละไม่น้อยเลย
ถ้าเราถือหลักว่า กระแสจิตของบุคคล ใดเดินอยู่ทางใด เขาย่อมพอใจสนใจต่ออารมณ์ที่ตรงกับกระแสจิตนั้น จิตย่อมแส่ หาอารมณ์เช่นนั้น เมื่ออารมณ์อย่างนั้นผ่าน เข้ามา จิตของเขาย่อมรับไว้และดูดดื่มซึมซาบ ตื่นเต้น หรือประทับใจ สุขหรือทุกข์ แล้วแต่กรณี ตามหลักนี้การที่คนสนใจ เรื่องความรักมาก แสดงว่ากระแสจิตของคน ส่วนใหญ่เดินอยู่ในวิถีแห่งความรักต้องการ ความอบอุ่น ผาสุกจากความรัก บางคนเป็น แผลใจอันสืบเนื่องมาจากความรัก และต้องการรักษา หรือต้องการเพื่อนร่วมโชคชะตาเดียวกัน เพื่อปลอบใจตนเองได้บ้างว่า ไม่เพียงแต่เราคนเดียวที่เป็นอย่างนี้ คนอื่น ก็เป็นเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ละคร ภาพยนตร์ หรือนวนิยายที่ตัวละครมีลีลาชีวิตคล้ายเขา บุคคลผู้นั้นจึงนิยมชมชอบ และเกิดความ รู้สึกประทับใจ
ความรักที่เกี่ยวเนื่องด้วยประสาทสัมผัส มุ่งการเสวยความสุขความเพลิด เพลินเป็นสิ่งตอบแทน เรียกว่าความรักที่ เป็นอารมณ์สะเทือนใจ ความรักชนิดนี้รุนแรงเข้มข้น แต่เปราะบางแตกสลายได้ง่าย เจือด้วยทุกข์โศก วิตกกังวล ริษยา ชิงชัง ส่วนความรักที่ไม่ปรารถนาเสวยความสุขความเพลิดเพลินจากประสาทสัมผัส แต่เป็นความปรารถนาดี ปรารถนาความสุขสมบูรณ์แห่งสิ่งที่ตนรัก มุ่งถนอม พิทักษ์รักษา เชิดชู ยกย่อง เช่น ความรักชาติ รักสถาบัน รักบุคคลผู้มีคุณงามความดี รักธรรมชาติ ความรักอย่างนี้เป็น ความรักในแง่ศิลปะ ไม่รุนแรง ไม่เข้มข้น แต่เหนียวแน่นมั่นคง ไม่เปราะบาง หรือแตกสลายได้ง่ายเหมือนความรักอย่างสะเทือนอารมณ์
คนส่วนมากต้องการความรัก แต่ต้องการให้คนอื่นมารักตนมากกว่าที่ตนจะรักผู้อื่น จนถึงกับบางคนตั้งเป็นหลักใน ใจว่า จะไม่รักคนที่เขาไม่รักเรา อันนั้นเป็น ความรักแบบสะเทือนอารมณ์ ต้องการเสวยผลแห่งความรักทางประสาทสัมผัส แต่ความรักอย่างศิลปะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือไปในทำนองว่า เราต้องรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะรักเราหรือไม่ก็ตาม เป็นผู้ให้ความรักแทนการเรียกร้องความรักจากผู้อื่น
จิตวิทยาส่วนมากสอนไปในแง่ว่า ทำอย่างไรผู้อื่นจึงจะรักเรา นิยมชมชอบในตัวเรา ได้แสวงหาวิธีต่างๆเพื่อให้ตนเป็นที่รักของผู้อื่น ฝ่ายชายก็แสวงหาอำนาจ เงิน ยศศักดิ์อัครฐาน เพื่อเป็นอุปกรณ์แห่ง ความรัก ฝ่ายหญิงก็ปรับปรุงตัวให้มีความ งามด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ และเสื้อผ้า อาภรณ์อันสวยงามทันสมัย เพื่อเรียกร้องความสนใจของเพศตรงข้าม
ที่มีความพยายามตรงกันก็คือ การฝึก หัดท่วงทีกิริยาวาจาให้อ่อนโยนละมุนละไม มีเมตตาปรานี เพื่อให้ฝ่ายตรงกันข้ามเห็นว่า ตนเป็นคนดีพอ ที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรัก รวมความว่าทั้งสองฝ่ายพยายามเพื่อให้เขารักตน มีน้อยเหลือเกินที่คิดจะมอบความรักความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น โดยมิได้เรียกร้อง ความรักจากผู้ใดเพื่อตน ความรักชนิดนี้แหละเป็นศิลปะ ดำรงอยู่ยั่งยืน
บางคนมีความรักแบบหินที่อยู่ในน้ำ กล่าวคือ แม้น้ำจะเหือดแห้งไป แต่หินก็หา ละลายไปด้วยไม่ คงดำรงมั่นอยู่อย่างนั้นเอง เราจะพบความรักชนิดนี้โดยมากในมารดา บิดาที่มีต่อบุตร ส่วนความรักของหนุ่มสาว ที่เป็นอย่างนี้มีน้อย
๗. อาการแปรแห่งความรัก
ความรักแบบเสน่หา อาจแปรเป็นมิตรภาพได้ในกรณีที่ความรักนั้นถูกขัดขวางไม่ให้ดำเนินไปตามทางที่มุ่งหมายไว้แต่แรก แต่จะเป็นอย่างนั้นได้เฉพาะคนใจ สูงเท่านั้น คนที่ใจไม่สูงพอไม่อาจทำได้ ส่วนมากเมื่อไม่สมหวังในทางรักแบบเสน่หา ก็แตกหักไปเลย ไม่เกี่ยวข้องกันอีก อาจเป็น ด้วยความละอายต่อกัน หรือเจ็บช้ำน้ำใจ จึง ไม่อยากพบเห็นอีก มีอีกกรณีหนึ่งคือมิตรภาพที่แปรเป็นความรัก อันนี้พบได้เสมอ ชายหญิงที่คบกันอย่างเพื่อน หรือนับถือกันอย่างพี่น้องในระยะเริ่มต้น แต่พอนานเข้า ด้วยความเห็นอกเห็นใจ หรือด้วยความ นิยมชมชอบ หรือด้วยเสน่ห์แห่งความ ใกล้ชิด อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม อาจทำให้ทั้งสองรักกันอย่างคู่รัก และลงท้ายด้วยการ แต่งงาน ความรักที่มีจุดมุ่งหมายแสวงหาความสุขจากผัสสะ ย่อมลงท้ายด้วยการแต่งงาน เมื่อแต่งงานนานไปความรักอันตื่นเต้นทางประสาทสัมผัสจะจางลง แต่กลับไปเข้มข้นทางมิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ ข้อนี้พุทธศาสนารับรองว่า “ภริยา ปรมา สขา - ภรรยา(หรือสามี)เป็นเพื่อนที่ยอดเยี่ยม” แต่น่าจะหมายถึงภรรยาหรือสามีที่ดีเท่านั้น ส่วนภรรยาหรือสามีที่ไม่ดีก็เป็นศัตรูที่ร้ายกาจเหมือนกัน เหมือนมีงูพิษอยู่ในบ้าน น่าระแวงเกรงภัย มีตัวอย่างให้ดูอยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ บางคนต้องเสียชีวิตทั้งตนและลูก บางคนต้องทุกข์ทรมาน อกไหม้ไส้ขมไปตลอดชาติ การเข้าไปเกี่ยวข้อง กับความรักเป็นเรื่องเสี่ยงมาก
๘. คุณและโทษของความรัก
ความรักที่ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีความพอใจด้วยกันทุกฝ่าย มีรากฐานอยู่ที่คุณธรรม ย่อมทำให้เกิดความ อบอุ่นใจ มีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ หรืออยู่ท่ามกลางคนอันเป็นที่รัก ทำให้จิตใจ ร่าเริง แจ่มใส มีกำลังใจในการทำความดี ขยันหมั่นเพียร เพื่อตนและเพื่อคนที่ตนรัก รู้สึกตนว่ามีค่า และพร้อมที่จะประพฤติคุณธรรมต่างๆเช่น ความเสียสละ เป็นต้น นี่คือ ‘คุณ’ ที่พอมองเห็นได้ในปัจจุบัน
ส่วน ‘โทษ’ ของความรักก็มีอยู่มาก เช่น เป็นต้นเหตุแห่งความเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพัน ความริษยา ความเกลียดชังผู้อื่นที่เข้าใจว่ามาแย่งสิ่งที่รักของตน ความวิตกกังวลห่วงใย ความที่ใจต้องคอยจดจ่ออยู่กับคนอันเป็นที่รัก รู้สึกไม่อิสระ จิตใจถูกจองจำผูกพัน อารมณ์รักคอยหน่วงเหนี่ยว จิตใจให้วนเวียนอยู่กับคนที่ตนรักนั้น ยิ่งหมกมุ่นมากก็ยิ่งทุกข์มาก ในกรณีที่ความรักสลายเป็นพิษขึ้นมาอีก ก็ยิ่งเห็นโทษของ มันมากขึ้น
ผู้ที่จิตใจพ้นจากกระแสแห่งความรักอย่างโลกๆแล้ว ย่อมได้รับการอุดหนุนจากกระแสธรรมซึ่งสงบเยือกเย็นกว่า ปลอดภัยกว่า ไม่ต้องเสี่ยงต่อโทษที่แฝงอยู่ในความรักนั้น เป็นผู้ปลอดโปร่งแท้จริง
๙. พระพุทธภาษิตที่เกี่ยวกับความรัก
ในที่นี้ ขอนำพระพุทธภาษิตที่เกี่ยวกับความรัก สิ่งที่รัก กามคุณ และตัณหา มาประกอบเพื่อการพิจารณาว่า พุทธปรัชญามีท่าทีต่อความรักอย่างไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้พ้นแล้วจากความรัก พุทธคติจึงมีแนวโน้มให้บุคคลทำตนให้พ้นจากความรัก ด้วย เพื่อไม่ต้องรับเอาส่วนที่เป็นโทษของ ความรัก ซึ่งมีมากกว่าส่วนที่เป็นคุณ ส่วนใครจะทำได้เพียงใดก็เป็นเรื่องของผู้นั้น พระพุทธองค์เป็นเพียงผู้บอกทาง และชี้ความจริงให้ดู
• บุคคลประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควร ประกอบ ไม่ประกอบตนไว้ในสิ่งอันควรประกอบ ละสิ่งอันเป็นประโยชน์เสียแล้ว ถือ เอาอารมณ์อันเป็นที่รัก(ภายหลัง) ย่อมกระหยิ่มต่อบุคคลผู้ประกอบตนไว้ในทางที่ ชอบ(เพราะฉะนั้น) บุคคลไม่ควรคลุกคลีกับสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักไม่ว่าในกาลใดๆ เพราะความพลัดพราก
จากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นความทรมาน ชนใด ไม่มีสิ่งที่รักและไม่เป็นที่รัก กิเลสเครื่องร้อยรัดย่อมไม่มีแก่ชนนั้น
• ความโศกเกิดจากสิ่งที่รัก ความกลัว(ภัย)เกิดจากสิ่งที่รัก ความโศกและความกลัว ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่พ้นแล้วจากสิ่งที่รัก
• ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกและความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นจากความรัก
• ความโศกย่อมเกิดจากความยินดี ภัยย่อมเกิดจากความยินดี ความโศกและภัยย่อมไม่มีแก่ผู้หลุดพ้นแล้วจากความยินดี
• ความโศกย่อมเกิดแต่กาม กลัวก็เกิด แต่กาม ความโศกและความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นแล้วจากกาม
• ความโศกย่อมเกิดจากตัณหา ภัยก็เกิดจากตัณหา ความโศกและภัยย่อมไม่มีแก่ท่านผู้พ้นแล้วจากตัณหา
• มหาชนย่อมรักคนที่มีศีล มีความเห็นดี ตั้งอยู่ในธรรม พูดจริงเป็นปกติ และทำงานอันเป็นหน้าที่ของตน
• ภิกษุผู้มีฉันทะ เกิดแล้วในพระนิพพานอันบอกไม่ได้ เป็นผู้มีใจอันอริยผล
ถูกต้องแล้ว มีจิตไม่เกี่ยวเกาะในกามทั้งหลาย เรียกว่าเป็นผู้มีกระแสเบื้องบน
• ญาติมิตรและสหายย่อมยินดีต้อนรับ
บุคคลผู้จากไปเสียนาน กลับมาด้วยความสวัสดีฉันใด บุญที่บุคคลทำไว้แล้วก็ฉันนั้น ย่อมคอยต้อนรับบุคคลผู้จากโลกนี้ไปเหมือนญาติคอยต้อนรับบุคคลอันเป็นที่รักฉะนั้น
(ปิยวรรค ธรรมบท)
• ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนให้ดี พึงปฏิบัติตนให้ถูกต้องในวัยใดวัย หนึ่ง บรรดา ๓ วัย
(อัตตวรรค ธรรมบท)
• จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสีย เหมือนถอนดอกโกมุทในสระด้วยมือ จงพอกพูนทางแห่งสันติ นิพพานพระสุคตแสดงไว้แล้ว
(มัคควรรค ธรรมบท)
• สิ่งที่ไม่น่ายินดี มักมาในรูปของสิ่งที่น่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักมักมาในรูปของสิ่งที่ น่ารัก ทุกข์มักมาในรูปของความสุข จึงสามารถครอบงำย่ำยีคนประมาทได้
(อุทาน)
• พิจารณาด้วยใจไปทั่วทุกทิศแล้ว ยังไม่พบใครในที่ไหนอันจะเป็นที่รัก ยิ่งกว่าตน ผู้อื่นก็รักตนของเขาเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้รักตน จึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
(อุทาน)
• คนจะเป็นผู้เจริญก็รู้ได้ง่าย จะเป็นผู้เสื่อมก็รู้ได้ง่าย คือผู้รักธรรมเป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม
(ปราภวสูตร สุตตนิบาต)
• สำหรับท่านผู้สันโดษ ได้สดับธรรมแล้ว เห็นแจ้งตามเป็นจริง ความสงัดเป็นความสุข ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก, ความสำรอกราคะคือการล่วงพ้นกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก, การถอนอัสมิมานะเสียได้เป็นบรมสุข
(อุทาน)
ตามแนวแห่งพุทธปรัชญา
อาการที่จิตยึดเหนี่ยวไว้อย่างแน่นแฟ้น ในตัวตนและของตน หรืออหังการ มมังการ นั่นแหละคือต้นตออันอยู่ลึกๆของอารมณ์รัก ซึ่งจะผลิดอกออกผลเป็นความทุกข์ทรมานใจในกาลต่อมา
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดยวศิน อินทสระ)