เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนหนึ่งที่มีการโฆษณาเชิญชวนให้เข้าวัดทำบุญกุศลอย่างอึกทึกครึกโครม จะเห็นได้ว่าตามสี่แยกของถนนสายต่างๆ ในชนบทนั้น จะมีป้ายโฆษณางานผูกพัทธสีมาของวัดต่างๆ ติดตั้งเรียงรายกันยาวเหยียด ไม่รู้กี่วัดต่อกี่วัด
การที่เดือนกุมภาพันธ์ มีโฆษณาบอกบุญเรื่องการ ผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตมากเป็นพิเศษนั้น เพราะเดือน นี้มีเทศกาลที่สำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน ก็คือ เทศกาลตรุษจีน เป็นการขึ้นปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งจะมีการหยุดงานกันหลายวัน ผู้คนก็จะพากันไปเที่ยว ในที่ต่างๆ เพื่อการพักผ่อน สนุกสนาน และก็ถือโอกาส ทำบุญสุนทานไปในตัวด้วย เรียกได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่มีเงินสะพัดเป็นร้อยล้านพันล้านบาทก็ว่าได้
เพราะฉะนั้น วัดวาอารามทั้งหลายจึงนิยมจัดงานผูกพัทธสีมากันในเทศกาลตรุษจีน เพื่อเป็นการเปิดตลาดบุญให้ผู้คนทั้งหลายทำบุญอย่างเต็มที่
การแนะนำหรือชักชวนให้ผู้คนเข้าวัดทำบุญไหว้พระนั้น เป็นเรื่องที่ดีเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ถ้าผู้ชักชวนจะได้บอกถึงจุดประสงค์ของการเข้า วัดทำบุญไหว้พระตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เช่น การสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ว่าจะสวดที่วัดหรือสวดที่บ้าน จุดประสงค์ก็มีอย่างเดียวกัน คือ ทำ ให้จิตใจสงบ เยือกเย็น และอาจหาญในการทำคุณงาม ความดี มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา และขณะที่สวดมนต์ ไหว้พระจะไม่มีโอกาสคิดชั่วทำชั่ว เรียกได้ว่า ปิดความ คิดในเรื่องอกุศลเสียได้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจะเบิกบาน อิ่มด้วยบุญคือความดี
แต่ว่าเวลานี้ เราไม่ได้สอนกันอย่างที่กล่าวข้างต้น แต่กลับสอนว่าไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล สิริมงคลคืออะไร ไม่ได้ให้คำอธิบายไว้ ปล่อยให้ผู้ได้ยิน ได้ฟังและผู้ที่เข้าวัดไหว้พระสวดมนต์ คิดเอาเอง จินตนาการเอาเอง แล้วก็ไปสรุปว่า ไหว้พระเพื่อให้ทำ มาค้าขึ้น ร่ำรวยเร็วๆ ทำอะไรๆ ก็ให้สำเร็จ ให้มีชีวิตอย่าง สุขสบาย ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกนึกคิดของผู้คนให้ เกาะติดแน่นอยู่ในเรื่องของวัตถุ กลายเป็นวัตถุนิยม ทั้งๆที่หลักเดิมของพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้คนเราตั้งอยู่ในจิตนิยม ก็คือรู้จักมุ่งยกระดับของจิตให้พ้นจากความกระหายใคร่อยาก และความทะเยอทะยานนอกลู่นอกทาง รู้จักควบคุมจิตและความคิดให้ดำเนิน ไปในทางแห่งความชอบธรรม หรือเปี่ยมด้วยคุณธรรม และจริยธรรม นั่นเอง
การโฆษณาชักชวนคนเข้าวัด ส่วนมากมักจะละ เลยต่อหลักการของพระพุทธศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ดังเช่นป้ายโฆษณางานผูกพัทธสีมานั้นแหละ ไม่ว่าวัดไหน ป้ายไหน ล้วนแต่บอกว่ามีมหรสพให้ชมฟรี มี ดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศตลอด ๗ วัน ๗ คืน เขียนชื่อวงดนตรี นักร้องมาก มายเต็มไปหมด
แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงตั้งมั่นอยู่ได้นั้น ไม่ได้ยกมาบอกไว้เลย นั่นคือ งานนี้จะมีพระรูปนั้นรูปนี้มาแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือมีการเสวนาธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ บอกวันเวลา ของการแสดงธรรมไว้ให้รู้ทั่วกันที่เขาไม่ได้บอกไว้อาจจะไม่มีการแสดงธรรม หรือจะมีการแสดงธรรมก็วันสุดท้ายของงาน แล้วก็แค่ชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง พอเป็นกระสายยา ส่วนเนื้อหาใหญ่ๆนั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของการแสดงทางโลกไป
แต่หากวัดได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนที่เข้าวัดทั้งหลายได้เข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คนที่เข้าวัดได้พบวัดที่มีบรรยากาศแห่งความร่มรื่นและรื่นรมย์ในธรรม ย่อมจะมีจิตโน้มเอียง ไปสู่กระแสแห่งธรรม อันจะนำไปสู่การทำบุญทำทาน การรักษาศีล น้อมนำจิตไปสู่การเจริญภาวนา ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ทั้งได้พบเห็นสมณะ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ได้สดับพระธรรมเทศนา และการสนทนาธรรมตามกาล ก็จะเข้าใจหลักธรรมคำสอน ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง อันจะทำให้ผู้เข้าวัดลักษณะดังกล่าวนี้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต และทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือ การเข้าวัดที่เป็นสิริมงคลอันสูงสุด ตามนัยแห่ง มงคลสูตร มีการให้ทาน เป็นต้น
สิ่งที่กล่าวมานี้ มิได้เกินเลยจากความเป็นจริงแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าเมื่อเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วัดวาอารามต่างๆ ล้วนเป็นที่พึ่งพักพิงของชาวบ้านเกือบทุกที่ทุกแห่ง โดยเฉพาะที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งก็คือ วัดนิโรธสังฆาราม จังหวัดยะลา ที่มีผู้คนอพยพเข้าไปอยู่อาศัยในวัดมากมายพอ สมควร และท่านเจ้าอาวาส คือ ท่านพระครูเขมวงศา-นุการ ก็ได้อนุเคราะห์ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างสุดกำลัง และด้วยความยินดี อันถือว่าเป็นธรรมปฏิสันถาร ทำ ให้ผู้ที่มาพักพิงวัดมีความปลอดโปร่งโล่งใจ มีความ เชื่อมั่นในตัวเองและในกลุ่มคนของตน จนกลายเป็นความเข้มแข็งของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในจำนวนกลุ่มคน ที่ประสบภัยทั้งหลาย
จากการที่ท่านได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์นั้น ประทับใจผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง เพราะบุคลิกภาพที่สงบนิ่ง เยือกเย็น ถ้อยคำที่เปล่งออกมา บอกให้รู้ถึงความมีพรหมวิหารธรรม และความไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสรรพสิ่ง เช่น คำพูดว่า
“วัดนี้ชาวบ้านสละทรัพย์สร้างกันขึ้นมา เขาไม่ค่อย มีโอกาสเข้ามาใช้มากนัก จะใช้เฉพาะทำบุญในบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่วันนี้ เขามีโอกาสได้ใช้อย่างเต็มที่ และก็ยินดีที่เขาเข้ามาใช้วัดนี้”
นี่คือเจ้าอาวาสที่ไม่ได้ยึดติดว่า “วัดของฉัน ฉันเป็น เจ้าอาวาส” แต่ท่านบอกเรา “วัดเป็นของชาวบ้าน ชาวบ้านสร้างวัด” ซึ่งผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า ชาวบ้านที่ได้ มาพักพิงวัดนี้ย่อมจะได้รับธรรมโอสถ เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ ให้หายหวาดหวั่นพรั่นกลัว มีขวัญกำลังใจใน การต่อสู้กับชีวิตตลอดไป จากพระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธบุตรโดยแท้ สาธุ..
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดยธมฺมจรถ)
การที่เดือนกุมภาพันธ์ มีโฆษณาบอกบุญเรื่องการ ผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตมากเป็นพิเศษนั้น เพราะเดือน นี้มีเทศกาลที่สำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน ก็คือ เทศกาลตรุษจีน เป็นการขึ้นปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งจะมีการหยุดงานกันหลายวัน ผู้คนก็จะพากันไปเที่ยว ในที่ต่างๆ เพื่อการพักผ่อน สนุกสนาน และก็ถือโอกาส ทำบุญสุนทานไปในตัวด้วย เรียกได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่มีเงินสะพัดเป็นร้อยล้านพันล้านบาทก็ว่าได้
เพราะฉะนั้น วัดวาอารามทั้งหลายจึงนิยมจัดงานผูกพัทธสีมากันในเทศกาลตรุษจีน เพื่อเป็นการเปิดตลาดบุญให้ผู้คนทั้งหลายทำบุญอย่างเต็มที่
การแนะนำหรือชักชวนให้ผู้คนเข้าวัดทำบุญไหว้พระนั้น เป็นเรื่องที่ดีเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ถ้าผู้ชักชวนจะได้บอกถึงจุดประสงค์ของการเข้า วัดทำบุญไหว้พระตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เช่น การสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ว่าจะสวดที่วัดหรือสวดที่บ้าน จุดประสงค์ก็มีอย่างเดียวกัน คือ ทำ ให้จิตใจสงบ เยือกเย็น และอาจหาญในการทำคุณงาม ความดี มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา และขณะที่สวดมนต์ ไหว้พระจะไม่มีโอกาสคิดชั่วทำชั่ว เรียกได้ว่า ปิดความ คิดในเรื่องอกุศลเสียได้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจะเบิกบาน อิ่มด้วยบุญคือความดี
แต่ว่าเวลานี้ เราไม่ได้สอนกันอย่างที่กล่าวข้างต้น แต่กลับสอนว่าไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล สิริมงคลคืออะไร ไม่ได้ให้คำอธิบายไว้ ปล่อยให้ผู้ได้ยิน ได้ฟังและผู้ที่เข้าวัดไหว้พระสวดมนต์ คิดเอาเอง จินตนาการเอาเอง แล้วก็ไปสรุปว่า ไหว้พระเพื่อให้ทำ มาค้าขึ้น ร่ำรวยเร็วๆ ทำอะไรๆ ก็ให้สำเร็จ ให้มีชีวิตอย่าง สุขสบาย ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกนึกคิดของผู้คนให้ เกาะติดแน่นอยู่ในเรื่องของวัตถุ กลายเป็นวัตถุนิยม ทั้งๆที่หลักเดิมของพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้คนเราตั้งอยู่ในจิตนิยม ก็คือรู้จักมุ่งยกระดับของจิตให้พ้นจากความกระหายใคร่อยาก และความทะเยอทะยานนอกลู่นอกทาง รู้จักควบคุมจิตและความคิดให้ดำเนิน ไปในทางแห่งความชอบธรรม หรือเปี่ยมด้วยคุณธรรม และจริยธรรม นั่นเอง
การโฆษณาชักชวนคนเข้าวัด ส่วนมากมักจะละ เลยต่อหลักการของพระพุทธศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ดังเช่นป้ายโฆษณางานผูกพัทธสีมานั้นแหละ ไม่ว่าวัดไหน ป้ายไหน ล้วนแต่บอกว่ามีมหรสพให้ชมฟรี มี ดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศตลอด ๗ วัน ๗ คืน เขียนชื่อวงดนตรี นักร้องมาก มายเต็มไปหมด
แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงตั้งมั่นอยู่ได้นั้น ไม่ได้ยกมาบอกไว้เลย นั่นคือ งานนี้จะมีพระรูปนั้นรูปนี้มาแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือมีการเสวนาธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ บอกวันเวลา ของการแสดงธรรมไว้ให้รู้ทั่วกันที่เขาไม่ได้บอกไว้อาจจะไม่มีการแสดงธรรม หรือจะมีการแสดงธรรมก็วันสุดท้ายของงาน แล้วก็แค่ชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง พอเป็นกระสายยา ส่วนเนื้อหาใหญ่ๆนั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของการแสดงทางโลกไป
แต่หากวัดได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนที่เข้าวัดทั้งหลายได้เข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คนที่เข้าวัดได้พบวัดที่มีบรรยากาศแห่งความร่มรื่นและรื่นรมย์ในธรรม ย่อมจะมีจิตโน้มเอียง ไปสู่กระแสแห่งธรรม อันจะนำไปสู่การทำบุญทำทาน การรักษาศีล น้อมนำจิตไปสู่การเจริญภาวนา ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ทั้งได้พบเห็นสมณะ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ได้สดับพระธรรมเทศนา และการสนทนาธรรมตามกาล ก็จะเข้าใจหลักธรรมคำสอน ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง อันจะทำให้ผู้เข้าวัดลักษณะดังกล่าวนี้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต และทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือ การเข้าวัดที่เป็นสิริมงคลอันสูงสุด ตามนัยแห่ง มงคลสูตร มีการให้ทาน เป็นต้น
สิ่งที่กล่าวมานี้ มิได้เกินเลยจากความเป็นจริงแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าเมื่อเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วัดวาอารามต่างๆ ล้วนเป็นที่พึ่งพักพิงของชาวบ้านเกือบทุกที่ทุกแห่ง โดยเฉพาะที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งก็คือ วัดนิโรธสังฆาราม จังหวัดยะลา ที่มีผู้คนอพยพเข้าไปอยู่อาศัยในวัดมากมายพอ สมควร และท่านเจ้าอาวาส คือ ท่านพระครูเขมวงศา-นุการ ก็ได้อนุเคราะห์ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างสุดกำลัง และด้วยความยินดี อันถือว่าเป็นธรรมปฏิสันถาร ทำ ให้ผู้ที่มาพักพิงวัดมีความปลอดโปร่งโล่งใจ มีความ เชื่อมั่นในตัวเองและในกลุ่มคนของตน จนกลายเป็นความเข้มแข็งของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในจำนวนกลุ่มคน ที่ประสบภัยทั้งหลาย
จากการที่ท่านได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์นั้น ประทับใจผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง เพราะบุคลิกภาพที่สงบนิ่ง เยือกเย็น ถ้อยคำที่เปล่งออกมา บอกให้รู้ถึงความมีพรหมวิหารธรรม และความไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสรรพสิ่ง เช่น คำพูดว่า
“วัดนี้ชาวบ้านสละทรัพย์สร้างกันขึ้นมา เขาไม่ค่อย มีโอกาสเข้ามาใช้มากนัก จะใช้เฉพาะทำบุญในบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่วันนี้ เขามีโอกาสได้ใช้อย่างเต็มที่ และก็ยินดีที่เขาเข้ามาใช้วัดนี้”
นี่คือเจ้าอาวาสที่ไม่ได้ยึดติดว่า “วัดของฉัน ฉันเป็น เจ้าอาวาส” แต่ท่านบอกเรา “วัดเป็นของชาวบ้าน ชาวบ้านสร้างวัด” ซึ่งผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า ชาวบ้านที่ได้ มาพักพิงวัดนี้ย่อมจะได้รับธรรมโอสถ เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ ให้หายหวาดหวั่นพรั่นกลัว มีขวัญกำลังใจใน การต่อสู้กับชีวิตตลอดไป จากพระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธบุตรโดยแท้ สาธุ..
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดยธมฺมจรถ)