ยามนี้ในหมู่แวดวงพระนักเทศน์ ‘พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต’ พุทธศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.) และสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าค่ายพุทธธรรมนำชีวิต วัดสร้อยทอง อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงส่งประกายแสงเจิดจ้า
จากยอดเรตติ้งของรายการ ‘ธรรมดิลิเวอรี่’ ที่มีคำขวัญว่า ‘ธรรมะส่งถึงที่ สนุกทุกที่ ซึ้งทุกใจ’ พุ่งกระฉูดหลังออนแอร์ทางสถานีโทรทัศน์เพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้ชื่อของพระมหาสมปองเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สื่อหลายแขนงแห่แหนไปขอสัมภาษณ์ ขณะที่สถาบันการศึกษา หน่วยราชการ รวมถึงบริษัทห้างร้านต่างๆ ติดต่อขอให้ไปบรรยายธรรม จนคิว แน่นเอียดยาวเหยียดทุกเดือน
ลีลาการเทศน์แบบอินเทรนด์ สนุกสนานผสานธรรมะในสไตล์ของพระมหาสมปอง สามารถสะกดเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวนมากให้หันมาสนใจธรรมะได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ห้องสนทนาฉบับนี้ จึงนิมนต์ท่านมาเปิดใจและเปิดเผยเคล็ดลับในการนำธรรมะส่งถึงที่ หรือธรรมดิลิเวอรี่ ที่วัยรุ่นคุ้นเคย
• ทำไมพระคุณเจ้าจึงมุ่งให้ธรรมะแบบธรรมดิลิเวอรี่
จริงๆแล้วธรรมดิลิเวอรี่นี่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วนะ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เผยแพร่ธรรมะแบบดิลิเวอรี่ คือหลังจากที่พระองค์ตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ได้เสด็จไปตามที่ต่างๆเพื่อเทศน์สอนผู้คน โดยอันดับแรก ได้เสด็จไปตามหาปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งหนีพระองค์ไปเพราะหมดศรัทธาที่พระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ส่วนเหล่าปัญจวัคคีย์เมื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็ได้แยกย้ายกันไปสั่งสอนชาวบ้าน ต่อมาเมื่อบรรดาพระสงฆ์ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนแจ่มแจ้งแล้ว ก็แยกกันไปเผยแพร่ธรรมะเช่นกัน เพราะพุทธองค์ ทรงบัญญัติให้การเผยแพร่ธรรมเป็นกิจอย่างหนึ่งของสงฆ์ ดังนั้นสิ่งที่อาตมาทำนั้นไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นการเดินตามรอยขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
• แล้วธรรมดิลิเวอรี่ที่พระคุณเจ้าทำอยู่นี่เริ่มขึ้นอย่างไรคะ
สำหรับโครงการธรรมดิลิเวอรี่ที่อาตมาทำนั้น เราทำมาได้ 8 ปีแล้ว โดยก่อนที่จะเกิดโครงการนี้อาตมาทำค่ายพุทธบุตรมาก่อน ซึ่งก็เป็นธรรมะดิลิเวอรี่เหมือนกัน คือเราไปเทศน์สอนนักเรียนนักศึกษาตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยค่ายพุทธบุตรนั้นเป็นโครงการที่พระซึ่งมีใจรักในการทำงานด้านนี้มารวมตัวกัน จริงๆพระที่ท่านทำงานด้านนี้มีเยอะมากนะ มีถึง 400-500 รูปเลยทีเดียว แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้
เราทำตามโรงเรียนเล็กๆ ระยะแรกเดือนหนึ่งมีแค่ 2-3 งาน เสร็จงานหนึ่งก็รอไปอีกหลายวันเลยกว่าจะมีค่ายอีก มีงานทีก็ตื่นเต้นกันมาก ต่อมางานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดือนหนึ่ง มี 5-6 ค่าย เพิ่มเป็นเดือนละ 10 ค่าย 20 ค่าย พอมาถึงจุด หนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าน่าจะแยกมาเผยแพร่ธรรมะตามแบบของเรา แต่หลักการสำคัญที่อาตมายึดถือมาตลอดคือธรรมะที่เราบรรยายทุกครั้งนั้นจะต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่พระพุทธองค์ ทรงบัญญัติไว้ อีกทั้งเนื้อหาและลีลาจะต้องไม่หวือหวาจนเกินไปเพื่อป้องกันข้อครหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
• ทำไมการบรรยายธรรมของพระคุณเจ้าจึงเป็น ที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน มีเคล็ดลับอย่างไรคะ
ธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นและหนุ่มสาวนี่เขาเป็นกลุ่มที่ไม่ได้สนใจศึกษาธรรมะเหมือนผู้ใหญ่ที่เห็นความจริงของชีวิต เพราะผ่านทุกข์สุขมามากกว่า เราจึงต้องหาวิธีนำเสนอ ที่น่าสนใจมาจูงใจเขา การบรรยายธรรมทุกครั้งอาตมาจะเน้น 5 ส. คือ สนุก สาระ สงบ สติ และสำนึก ต้องมีครบทั้ง 5 ข้อ และเป็นไปตามลำดับ
ถามว่าทำไมต้องสนุก คือคนส่วนใหญ่มองว่าธรรมะเป็นเรื่องน่าเบื่อ เราจะทำยังไงให้ธรรมะกลายเป็นเรื่องสนุก องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสไว้ว่า “คนทุกคนต้อง การการเรียนรู้ แต่ก็ต้องการความสนุกสนานในการเรียนรู้นั้นด้วย” ขณะที่มหาตมะคานธียังบอกว่า “ถ้าฉันไม่มีอารมณ์ขัน ฉันคงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว” ฉะนั้น เวลาฟังธรรมะ จึงอยากให้มีรอยยิ้ม อยากให้มีเสียงหัวเราะ
ซึ่งวิธีทำให้คนหัวเราะของอาตมาก็จะใช้วิธีแซวตัวเองมากกว่า เพราะถ้าไปแซวคนอื่นเดี๋ยวเขาโกรธเอา อย่างถาม เขาว่า พระกิน เรียกว่าอะไร คนก็จะตอบว่าฉัน พระนอนเรียกอะไร เขาก็ตอบว่าจำวัด แล้วพระอาบน้ำเรียกอะไร เราก็ชิงตอบก่อนว่า เรียกคนมาดู คนเขาก็ขำกัน แล้วไม่ใช่พูดให้เขาฟังอย่างเดียว แต่ต้องให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมด้วย ให้เขายก มือตอบคำถาม ออกร่วมกิจกรรมหน้าห้องบรรยาย จริงๆความสนุกเป็นเพียงฉากหน้าที่ล่อให้เขาหันมาสนใจธรรมะ มันน่าเสียดายนะถ้าคนทั่วไปจะปิดประตูไม่ฟังธรรมะตั้งแต่ แรกเพียงเพราะคิดว่าธรรมะน่าเบื่อ เราจึงต้องใช้ความสนุก เป็นด่านแรกในการเปิดใจเขาก่อน แล้วค่อยแทรกสาระลงไป เช่น ถามว่า ความดีกับความชั่วอะไรทำง่ายกว่ากัน แล้วก็ยกตัวอย่างว่าการทำความชั่ว อย่างคนวางระเบิด มันต้อง หลบๆซ่อนๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความดีกันเถอะ นี่ก็เข้าสู่สาระแล้ว เป็นการให้สาระโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
หลังจากเข้าสู่สาระแล้วเราก็ดึงเขาเข้าสู่ความสงบ เนื่องจากในแต่ละวันคนเรามีเรื่องต่างๆต้องทำมากมาย ทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน บางครั้งพอใจคนนั้น ไม่พอใจคนนี้ ก็ต้อง ให้เขาหันหาความสงบเพื่อหยุดใจ เช่น ให้นั่งหลับตา แต่ถ้า ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสงบตั้งแต่แรกนี่จบเลย คนฟังหลับกันหมด (หัวเราะ) พอใจสงบแล้วก็จะเกิดสติตามมา ไตร่ตรองได้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี และสุดท้ายอาตมาต้องจบด้วยน้ำตาทุกครั้ง คือต้องให้เขารู้สึกซาบซึ้งจนร้องไห้ออกมา ในขั้นนี้สำนึกที่ดีจะเกิดขึ้นในใจเขาเอง เหมือนกับยาขมซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มันขม กินยาก เราก็เอายาขมมาเคลือบช็อกโกแลต ให้มันหวาน ชวนกิน
• นอกจากความสนุกสนานแล้ว การนำสิ่งที่วัยรุ่นสนใจมาใส่ในการบรรยายทำให้เข้าถึงวัยรุ่นได้ง่าย ขึ้นด้วยหรือเปล่า
แน่นอน คือมันเหมือนเรากับเขาพูดภาษาเดียวกัน อาตมาก็จะดูว่าตอนนี้วัยรุ่นเขาสนใจเรื่องอะไร นักร้องคนไหนดัง หนังเรื่องไหนฮิต เราก็จับสิ่งเหล่านี้มาใส่ อย่างมุขที่ ใช้บ่อยๆก็คือ “ฟังธรรมะแล้วจะไม่โง่-ฟังโปเตโต้ รักแท้ดูแลไม่ได้” “ฟังธรรมแล้วจะไม่หดหู่-ถ้าฟังโซคูล เหลือแต่ซากอ้อย” “ฟังธรรมแล้วจิตใจไม่เตลิด-ถ้าไปฟังพี่เบิร์ด จะเถียงกันทำไม” “ฟังธรรมะแล้วจะรักกันจนสิ้นชีวิน-ถ้าไปฟังเอนโดฟิน-ถ้าเขามาฉันจะไป” “ฟังธรรมะแล้วจะไม่โง่งม -ถ้าไปฟังเล้าโลม เพื่อนกับแฟนมันแทนกันไม่ได้” “ฟังธรรมะแล้วจะไม่ดื่ม-แต่ถ้าแม่ไม่ปลื้ม จบ” คือเราเอาชื่อเพลง ชื่อนักร้อง ที่วัยรุ่นเขาคลั่งไคล้มาใช้กับธรรมะ วัยรุ่นเขาก็เข้าใจได้ง่ายเพราะมันใกล้ตัวเขา แล้วก็ทำให้เขารู้สึกว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องที่เชยหรือล้าสมัยนะ
• ธรรมะที่พระคุณเจ้าแสดงดูจะเป็นธรรมะแบบง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้
อาตมาว่าธรรมะมีหลายระดับนะ แบบที่อาตมาบรรยาย นี่จัดเป็นธรรมะเบื้องต้น เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่มีพื้นฐาน หรือยังไม่ได้สนใจธรรมะ ถ้าเป็นเพลงก็เหมือนเพลงลูกทุ่ง หรือเพลงฮิพฮอพ พอเริ่มหันมาสนใจธรรมะ และอยากจะศึกษาในขั้นที่ละเอียดขึ้นก็อาจจะไปอ่านงานงานเขียนของ ท่าน ว.วชิรเมธี ซึ่งเปรียบเหมือนเพลงไทยสากล หรือเพลงคลาสสิก เมื่อเข้าใจธรรมะลึกซึ้งแล้วก็จะหันไปศึกษาธรรมะขั้นสูง ไปปฏิบัติธรรม หรืออ่านงานของท่านพุทธทาส ซึ่งเปรียบเหมือนเพลงโอเปร่า ก็แล้วแต่ว่าแบบไหนจะเหมาะกับใคร ของอาตมานี่ก็เป็นแบบลูกทุ่งๆ (หัวเราะ)
• พระคุณเจ้าคิดว่าปัจจุบันการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเผยแพร่ธรรมะมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดคะ
จำเป็นนะ มันช่วยทำให้คนเข้าใจธรรมะง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำภาพวิดีโอมาใช้ในการบรรยายธรรมะ เอาเพลง พี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) มาตัดใส่ในวิดีโอ การเผยแพร่ ธรรมะผ่านเวบไซต์ www.dhammadelivery.com และที่คนพูดถึงกันมากในขณะนี้คือรายการธรรมดิลิเวอรี่ ที่ออก อากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ในช่วงวันหยุด นักขัตฤกษ์ ซึ่งการที่มีคนรู้จักอาตมามากขึ้นนี่ก็ช่วยให้การเผยแพร่ธรรมะทำได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งจริงๆแล้วความดังมันไม่ใช่ประเด็นนะ ก็เหมือนที่ ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านบอกว่า หากดังแล้วจะเป็นสะพานให้คนได้ฟังธรรมะมากขึ้น นิมนต์ให้ท่านไปเทศน์สอนมากขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องดี ดังนั้นถ้าการที่มีคนรู้จักพระมหาสมปองผ่านสื่อต่างๆแล้วทำให้เขาเชื่อมือพระมหาสมปอง และเชิญไปบรรยายธรรมะในที่ต่างๆมากขึ้น ความดังก็ถือว่ามีประโยชน์นะ ทำให้เราทำงานให้พระพุทธศาสนาได้มากขึ้น อาตมามีโอกาสไปบรรยายทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล รวมทั้งบริษัทและห้างร้านต่างๆ อาตมาว่านี่คือสะพานที่อาตมาจะนำธรรมะไปถึงชาวบ้านได้ง่ายขึ้น
• ถ้าจะพูดถึงวัยรุ่นแล้ว ความรักเป็นเรื่องหนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมาก และมักจะมีปัญหาจากความรัก พระคุณเจ้าจะแนะนำเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ
เวลาไปบรรยายตามโรงเรียนหรือสถานศึกษา อาตมาจะเทศน์เรื่องความรักให้วัยรุ่นฟังบ่อยๆนะ คือจะชี้ให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง ให้เห็นว่านอกจากแฟนแล้วยังมีคนรอบๆตัวที่รักเขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนๆ คำถามหนึ่งที่อาตมาจะถามบ่อยมากคือ เกิดมาทำไม บางคน ก็บอกว่าเกิดมาใช้กรรม แล้วจะหมดกรรมเมื่อไร... หมดกรรมเมื่อตาย... อาตมาก็ถามว่าจริงหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเรามาตายวันนี้ดีไหม เขาก็บอกโอ๊ย...ไม่เอา ก็บอกเขาว่าแค่ หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก แค่นี้ก็ตายแล้ว จะมาทรมานชีวิต จะมาฝ่าฟันกับอุปสรรคปัญหาทำไม แล้วถ้าเราอดทนจนเติบโตมาได้ถึงป่านนี้ แค่อกหักจะมาคิดฆ่าตัวตายทำไม ผู้หญิงบางคนซ้วย...สวย แต่ผู้ชายหน้าอย่างกะปลาบู่ชนเขื่อน หน้าอย่างกับลิงเมากะปิ แล้วจะไปฆ่าตัวตายเพื่อเขาทำไม สู้เราทำชีวิตให้ดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติไม่ดีกว่าหรือ
• แล้วเราจะป้องกันปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อน วัยอันควร และการทำแท้งที่กำลังระบาดในกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างไรคะ
ป้องกันด้วยการรับธรรมะเข้าไปมากๆ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะศีลข้อ 3 นี่สำคัญมาก ไม่ผิดลูกผิดเมียเขา ไม่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร บางทีวัยรุ่นเขา รู้นะว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่บางทีก็ทำตามกระแสสังคมบ้าง ทำเพื่อประชดพ่อแม่บ้างเพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ หรือพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมดิลิเวอรี่จะต้องเข้าไปอธิบายให้เขาเข้าใจ เราก็จะพูดให้เขาเห็นถึงความยากลำบากของพ่อแม่ว่า กว่าท่านจะเลี้ยงดูเราจนโตขนาดนี้ ส่งเสียให้มีการศึกษา ท่านต้องลำบากขนาดไหน ฉะนั้นเราอย่าเอาความรักความเสียสละของท่านมาทำร้ายท่าน เราต้องขยันเรียนเพื่ออนาคตของตัวเองและเพื่อให้พ่อแม่ชื่นใจ
แล้วก็อธิบายให้เขาฟังว่าการที่ลูกกับพ่อแม่ไม่เข้าใจกันนั้นเพราะต่างคนต่างอยู่กันคนละข้าง ก็เลยมองไม่เห็นปัญหาและความต้องการของอีกฝ่าย เหมือนกับอยู่กันคน ละด้านของถ้วยกาแฟ ลูกอยู่ฝั่งที่ไม่มีหู ก็บอกว่าแก้วใบนี้ไม่มีหูหรอก ส่วนพ่อแม่อยู่ฝั่งที่มีหู ก็ยืนยันว่าแก้วใบนี้มีหู ก็เลยทะเลาะกัน ทำไมไม่ย้ายไปยืนข้างเดียวกันล่ะ จะได้เห็น เหมือนกันและเข้าใจกัน ลูกไม่เห็นปัญหาของการมีเซ็กส์ใน วัยเรียน เพราะไม่คิดว่าถ้าท้องหรือติดเชื้อเอชไอวีแล้วจะเกิดปัญหาอะไรตามมา
ส่วนพ่อแม่ก็มักจะได้แต่บอกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กอย่างเพิ่งริมีแฟน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะย้ายมาอยู่ข้างเดียวกัน พ่อแม่ก็อธิบายให้เขาเข้าใจว่าถ้าลูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะเกิดอันตรายหรือมีปัญหาอะไรตามมา ลูกก็ต้องรับฟังสิ่งที่ท่านบอกท่านเตือน
จริงๆแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นก็ควรปล่อย ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปรีบร้อน รอให้ถึงวัยอันควรก่อน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรจะรักษาพรหมจรรย์ของเราไว้ ให้กับคนที่เรารักที่สุดนั่นก็คือคนที่เราจะแต่งงานด้วย อย่าคิดว่าเราจะแวะซ้ายแวะขวายังไงก็ได้ สุดท้ายจะมีควายตัวหนึ่งที่ยืนรอเราอยู่ เราควรจะปลุกกระแสใหม่ว่าการรักษาพรหมจรรย์ไว้ไม่ใช่เรื่องที่เชย แต่เป็นเรื่องอินเทรนด์มาก แสดงว่าเราเป็นคนฉลาด เพราะมันช่วยป้องกันโรคเอดส์ ป้องกันการตั้งครรภ์ในขณะที่ยังไม่พร้อม ป้องกันการทำแท้ง และปัญหาเด็กที่ถูกทิ้งไว้ตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
• อยากให้พระคุณเจ้าฝากข้อคิดสำหรับวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้
ปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันแห่งความรักกันมาก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ถ้ามีความรักแล้ว ต้องรักให้เป็น รักอย่างมีสติ มีเมตตา ไม่เบียดเบียน ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะเรียกได้ว่าเป็นความรักที่ แท้จริง
.........
นับเป็นความโชคดีของวัยรุ่นยุคนี้ ที่พระมหาสมปองได้ย่อยธรรมะให้เป็นเรื่องง่าย แล้วนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่แบบ ‘ธรรมดิลิเวอรี่’ ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองครบถ้วน ผิดกับสารอีกมากมายหลายชนิด ที่แฝงมากับความเย้ายวนน่าลิ้มลอง แต่กลับแทรกโทษภัยไว้ในสมองและจิตใจมากมายไม่ต่างจากอาหารจังก์ฟู้ด หรืออาหารขยะที่ทำร้ายร่างกายเราไปทีละน้อยๆนั่นเอง
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดย จินตปาฏิ)