กุมภาพันธ์เดือนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของ‘ความรัก’ ใครที่มีความรักคงจะสดชื่นรื่นรมย์ แต่สำหรับคนที่ รักคุด-รักขม-รักระทมขมขื่น ก็อย่าเพิ่งปวดร้าว เพราะ ‘ธรรมลีลา’ ฉบับนี้มี 3 สาวกับอีก 1 หนุ่ม มาบอกเล่าถึงประสบการณ์ของความรักที่กลายเป็นความทุกข์แสนสาหัสในชีวิต ดังพุทธภาษิตที่ว่า ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’
แต่ยังดีที่มี ‘ธรรมโอสถ’ ช่วยเยียวยาให้ดวงตาไม่มืดบอดเพราะความรัก แต่กลับเห็น แสงธรรมแห่งปัญญาที่จะพาให้พ้นทุกข์
ทุกข์เพราะรัก ของ ‘จั๊กจั่น’ อคัมย์สิริ
อกหักดังโป๊ะ...หัวใจโอ๊ะโอ๊ย.. อยู่พักใหญ่ ดาราสาวตากลม ‘จั๊กจั่น’ อคัมย์สิริ สุวรรณศุข ก็สามารถลุกขึ้นมายิ้มแป้นได้อย่างสดใส แม้แผลในใจจะยังไม่หายสนิท แต่เธอก็ได้เรียนรู้ชีวิตจากบทเรียนรักครั้งนี้เป็นอย่างมากทีเดียว
เรื่องราวความรักระหว่างสาวจั๊กจั่นกับพระเอกหนุ่มซาตานหน้าหยก ‘ชาคริต แย้มนาม’ ที่เคยทำเอาคนทั้งประเทศช็อกกับการประกาศหมั้นและวางแผนการแต่งงานสายฟ้าแลบ เมื่อปีที่แล้ว และหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ออกมาประกาศล้มเลิกการแต่งงาน พร้อมกับประกาศตัวเป็นโสด อีกครั้งทั้งคราบน้ำตาของดาราสาว
จากวันนั้นจนถึงวันใหม่ในปีใหม่นี้ สาวน้อย วัย 25 บอกกับตัวเองว่า จะไม่ร้องไห้ฟูมฟายอีกต่อไป เพราะในขณะที่ชีวิตถูกพิษรักทำร้าย เธอก็ได้หันหน้าเข้าวัด ปฏิบัติธรรม และได้เรียนรู้จักชีวิตอย่างแท้จริง
ดาราสาวเชื่อว่า การหันหน้าเข้าหาธรรมะ ช่วยให้ดับทุกข์ได้ เธอจึงตัดสินใจบวชชีพราหมณ์ ที่วัดคอกกระบือ จังหวัดสมุทรสาคร เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน
“จั่นไม่อยากพูดถึงความรักช่วงนั้นอีกแล้ว แต่ที่เข้าวัดและไปฝึกสมาธิ เพราะเราอยากไปเอง ปกติจั่นไปทำบุญและถวายสังฆทานที่วัดตลอด ตอนนั้นก็มีเวลาว่าง และใกล้วันเกิดคุณแม่ จั่นเองก็อายุ 25 ปี พอดี จึงตั้งใจจะบวชปีนี้อยู่แล้ว” จักจั่นกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองหันหน้าเข้าวัด
แม้จะมีเวลาเข้าวัดเพียง 3 วัน แต่เป็น 3 วันที่คุ้มค่าที่ได้จากการฝึกสมาธิ และศึกษาธรรมะ เจ้าตัวยอมรับว่า ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับจากการบวชครั้งนี้ นั่นก็คือ การนิ่ง การยอมรับความจริง และการอยู่กับปัจจุบัน
“ตอนที่มีปัญหาเรื่องความรัก คิดฟุ้งซ่านมาก ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากอยู่ต่อไปแล้ว แต่เมื่อได้ไปนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรม ทำให้ได้รู้ว่าปัญหานั้นมันผ่านมาแล้ว มันเกิดขึ้นไปแล้ว และตอนนี้เราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่เกิดในปัจจุบันให้ได้มากกว่า จั่นคิดว่าหลักธรรมคำสอน และการฝึกสมาธินั้นใช้ได้กับทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรัก แต่การทำงานก็ด้วย หากเรามีสมาธิ เราก็ทำงานได้ดีขึ้น เข้าใจกับปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เรารู้ว่า คนเราก็เท่านี้ เราทำดีที่สุดแล้ว ให้ยอมรับกับความเป็นจริง”
ส่วนความคิดเห็นในเรื่องความรัก ที่มักทำให้เกิดความทุกข์นั้น จั๊กจั่นกล่าวว่า “ความรักให้ทั้งความสุขและความทุกข์ เพียงแต่ว่าผู้ที่ได้รับความทุกข์จากความรัก จะรู้จักจัดการกับมันได้แค่ไหน คนเราไม่มีสุขทุกวัน และก็ไม่ได้ทุกข์ทุกวัน แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เรามีวิธีจัดการกับความเครียด และปัญหาเหล่านั้นอย่างไร การ ‘ฝึกสมาธิ’ ช่วยได้มาก หาอะไรที่เราทำแล้วสงบ เช่น ดูหนังก็สร้างสมาธิได้ จดจ่อกับการฟังเพลง ก็ตั้งสมาธิได้ โดยส่วนใหญ่จั่นจะใช้วิธีตั้งสมาธิกับการท่องบท เพราะจะให้เราไปนั่งสมาธิในกองถ่ายที่คนเป็นร้อยวิ่งวุ่น ก็คงทำไม่ได้”
แม้ดาราสาวที่ผ่านเรื่องรักมาอย่างครบรสคนนี้ จะเคยเศร้าเพราะความรัก แต่เธอเชื่อว่ารักครั้งนี้ไม่ถือเป็นบทเรียน แต่กลับคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ ต่อไปหากเธอได้เจอปัญหา หรือเรื่องที่ทุกข์มากกว่าครั้งนี้ ก็จะไม่เสียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“จั่นได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ความรักครั้งนี้ว่า การใช้ชีวิตอยู่ต่อไปต้องคิดให้รอบคอบ ใช้สมองมากขึ้น ความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่ารักอย่างเดียว แต่มี ปัจจัยรอบด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนี้เรารู้ว่าตัวเองโตขึ้นแล้ว และจะไม่ทำให้สิ่งที่เกิดแล้ว ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีก” ดาราสาวทิ้งท้าย
แม้ความรักจะทำร้ายจิตใจเธอไปไม่น้อย แต่ทุกวันนี้เธอมีความสุขกับการถ่ายละคร และเฝ้ารอว่ารักครั้งใหม่ (ที่ต้องไม่เหมือนเดิม) จะเข้ามาให้เธอได้ สัมผัสอีกครั้ง...สักวันหนึ่ง
ความรัก กับ การปล่อยวาง ‘แจน’ ศิรนุช
ยอมรับว่าคงเข็ดขยาดกับความรักไปอีกนาน..สำหรับ ‘แจน’ ศิรนุช โรจนเสถียร ม่ายไฮโซป้ายแดงที่เพิ่งหย่าขาดกับอดีตนักร้องวงแกรนด์เอ็กซ์ ‘โอ๋’ ไอศูรย์ วาทยานนท์ ตั้งแต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
หลังจากตัดสินใจแต่งงานแบบฟ้าแลบเพราะคบหากับอดีตสามีเพียง 6 เดือน ที่สุดแล้วไม่เกิน 3 เดือนเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น อดีตสามีเกิดอาการหน่ายเรือนหอมาซะดื้อๆ บอกได้แค่ว่าอยากกลับไปอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่เหมือนเดิม ศรีภรรยากล้ำกลืนฝืนทนไม่ไหวจึงต้องจำใจขอเลิกด้วยประการฉะนี้
แจนเริ่มต้นย้อนความรู้สึกตอนรักขมว่า “ช่วงนั้นจำได้ว่าเป็น ช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด ร้องไห้อยู่เป็นเดือนๆ บางทีร้องไห้จนหลับไปก็มี บางคืนนอนไม่หลับก็ต้องกินยานอนหลับ เป็นทุกข์จนลืมดูแลตัวเองส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรม ทำงานก็ไม่ได้ดี กลายเป็นว่าทำงานตามหน้าที่ไปวันๆ แรกๆ มีเพื่อนโทรมาให้กำลังใจตลอดเวลา แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเต็ม ที่ได้แค่พูดปลอบ ส่วนกำลังใจที่สำคัญที่สุดได้มาจากหลานๆ และพี่สาว ปกติถ้ารู้สึกมีปัญหาจะพยายามเข้าไปอยู่กับหลาน การได้อยู่กับเด็กๆ ทำให้รู้สึกมีความสุข เพราะพวกเขาไม่ได้มารับรู้ปัญหาตรงนี้กับเรา เพียงแค่ว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาแล้วทำให้รู้สึกสบายใจเท่านั้นเอง”
ระทมทุกข์อยู่กับพิษรักมาหลายเดือน ม่ายสาววัย 27 ปี ก็มีวิธีการเยียวยา จิตใจให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นกระดังงาลนไฟสดใสซาบซ่าอีกครั้ง เธอบอกว่า จากเมื่อก่อนเป็นคนคิดมาก เวลามีเรื่องผิดหวัง เสียใจจะโกรธแค้นคนที่ทำร้ายตัวเธอ แล้ววนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่าทำไมต้องมาถูกกระทำเช่นนี้ ตอนนี้จึงพยายาม ‘ปล่อยวาง’ และท่องคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ จนขึ้นใจ และคิดว่าทำบุญกันมาแค่นี้ หรือเมื่อก่อนอาจเคยไปทำอะไรกับเขา ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุด คือ การปล่อยวาง ไม่ถือโทษ ไม่โกรธ และพยายามมีสติในทุกๆเรื่อง
นอกจากนี้กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งฉุดเธอให้หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ มิใช่มีเพียงหลักพุทธศาสนาง่ายๆ ที่ช่วยปลอบประโลมใจให้คลายเศร้าแล้ว ‘คุณพ่อคุณแม่’ ยังเป็นเสมือนพระในใจของหญิงสาวที่ช่วยให้ลุกขึ้นต่อสู้ได้อย่างภาคภูมิ แม้ในวันนี้จะไม่มีท่านทั้งสองอยู่เคียงข้างแล้วก็ตาม
“พ่อแม่ของแจนเสียหมดแล้ว ฉะนั้นเวลาที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาในชีวิต จะนึกถึงพ่อแม่มาตลอด ท่านทั้งสองถือเป็นพระประจำใจของแจน ยังคิดเลยว่าถ้าตอนนี้ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่แล้วเราเป็นแบบนี้ ท่านจะเสียใจมากแค่ไหน ทุกวันนี้ไม่ว่าทำอะไรจะรักตัวเองให้มากๆ และยึดคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก” กระดังงาไฮโซบอกวิธีคิด
แม้ความรักจะทำให้เป็นทุกข์ จนเกิดความรู้สึกเข็ดหลาบลึกๆในใจ ถึงขั้นออกปากขอปิดประตูใจใส่กลอนไม่มีวันยอมให้ชายใดมาแง้มได้ง่ายๆ พร้อมเห็นดีเห็นงามกับสุภาษิตที่ว่า ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’
“ชีวิตคนเราไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา คนที่มีความรักแล้วมีความ สุขถือว่าเป็นโชคดีของเขา แต่ด้วยสังคมปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่าง ทำให้รู้สึกว่าการมอบความรักกับใครสักคนนั้น มักเกิดปัญหาได้ง่ายกว่าในสมัยก่อน ฉะนั้นความทุกข์ซึ่งเกิดจากความรักจึงเกิดขึ้นตามมาด้วย จริงๆแล้วแจนยังเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสุขกับการได้รับและมอบความรักแบบหนุ่มสาว แต่ผู้โชคดีกลุ่มนั้นคงไม่ใช่แจน” ม่ายหมาดๆ เผยความในใจ
ที่สุดแล้วไม่ว่าความรักจะนำมาซึ่งความทุกข์ หรือความสุข ย่อมต้องใช้สติ คิดใคร่ครวญ มากกว่าตัดสินด้วยอารมณ์ และหัวใจ!!
‘โจ’ มณฑานี กับ รักที่เจ็บปวด
ถ้าจะถามถึงเรื่องรักที่ผิดหวังเป็นอย่างไรบ้าง สาวมั่น ‘โจ’ มณฑานี ตันติสุข นักจัดรายการวิทยุชื่อดังคงจะไขปุจฉานี้ได้อย่างทะลปรุโปร่ง เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตที่เคยสัมผัสกับความรักที่ไม่สมหวัง ทำให้เธอพบกับความทุกข์ อย่างแสนสาหัส จนถึงวันนี้โจได้แปรประสบการณ์มาเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรัก’ ที่มีผลงานเขียนและงานแปลที่เกี่ยวกับ ‘ความรัก’ เอาไว้ไม่น้อย
“ดิฉันเคยยึดติดในคำคำนี้มาก เชื่อมั่นว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ เพราะดิฉันเคยมีรักที่เจ็บปวด”
รักครั้งนั้น เจ็บถึงขั้นที่ทำให้เธอคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่หายขาดจากความรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร โจเล่าย้อนถึงหนทางที่ทำให้หลุดพ้น จาก ‘ทุกข์เพราะรัก’ ได้น่าสนใจ นั่นคือการได้พบกับคำสอนของพระลามะ จากดินแดนหลังคาโลก
วันหนึ่งเธอได้พบกับพระลามะจากทิเบต ซึ่งเดินทางมาเทศน์ที่เมืองไทยทุกปี เธอมีโอกาสสนทนาธรรม ว่าด้วยเรื่องความรักอันเป็นทุกข์
“ท่านตอบว่า พุทธทิเบต ซึ่งเป็นพุทธฝ่าย มหายาน ไม่ได้สอนแบบนี้ แต่สอนว่าความรัก ความเมตตาสำคัญที่สุด เพราะรักคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก แต่พุทธบ้านเราเป็นเถรวาท จึงมองความรักแบบนั้น คือเน้นทางนิพาน ซึ่งก็ไม่ผิด อยู่ที่คุณว่าจะใช้ชีวิตทางโลก เป็นมนุษย์ปกติ หรือใช้ชีวิตมุ่งทางธรรมไปเลย”
โจตอบว่าเธอขอเป็นมนุษย์ธรรมดา ท่านจึงตอบว่าถ้าเป็นฆราวาสก็ยังไม่ต้องตัดกิเลสขนาดนั้น แต่ควรรักให้เป็น พร้อมยกคำสอนของพุทธทิเบตขึ้นมา คือ ให้มองความรักเป็นต้นโพธิ์ คุณต้องคอยดูแลรดน้ำ พรวนดินให้เติบโต แล้วแผ่ร่มเงาทำให้เราร่มเย็น มีความสุข
ในที่สุด โจจึงเลือกเดินทางสายกลาง พร้อมๆกับที่เริ่มเข้าใจว่า จะรักอย่าง ไรให้มีความสุข ตั้งแต่นั้นจึงเริ่มเขียนคอลัมน์ ให้ความรู้เกี่ยวกับผู้มีปัญหาในความรัก เธอเดินหน้าศึกษาเรื่องนี้อย่างเต็มตัว มุ่งมั่นทุ่มเทหาข้อมูลทั้งทางวิชาการ ซึ่งว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ รวมถึงศึกษาด้านธรรมะด้วย
สุดท้ายแล้ว โจจึงเข้าใจว่า ความรักที่ทำให้ใจเราเป็นสุขนั้น คือสัจธรรมอันจริงแท้ ไม่มีพรมแดนศาสนาใดๆกั้นขวาง เพราะเธอเองก็สัมผัสได้จากทั้งคำสอนของลามะรูปนั้น และจาก ท่าน ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ที่ได้รับการนับถือมากคนหนึ่งของเมืองไทย รวมถึงคำสอนจากแทบทุกลัทธิ ทุกศาสนา ซึ่งล้วนให้ข้อคิดที่ดี ไม่ต่างกัน
“ท่าน ว.วชิรเมธี เคยอธิบายเรื่องนี้ไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า หากเราทุกข์ เพราะรัก นั่นหมายความว่า เรารักแบบเอาตัวเองเป็นใหญ่ ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักแบบยึดมั่นถือมั่น หารู้ไม่ว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือรักแบบมีเมตตากรุณานั่นเอง”
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนจากมุมไหนของโลกหรือจะยุคสมัยกาลเวลาไหนก็ตาม ความจริงนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง คำสอนทั้งมวลล้วนนำมาปรับใช้กับความรักแบบชู้สาวได้ทั้งสิ้น
ทุกวันนี้ โจจึงรักได้อย่างเป็นสุข “ถ้าความรักนั้นเป็นความรักที่แท้ มันจะทำให้เราปีติสุขอยู่ข้างใน แล้วเผื่อแผ่ถึงคนรอบข้าง”
ดังนั้น หากเรารักใครก็ตาม แล้วเราเห็นแก่ตัว ระแวง หึงหวง ไม่อยากเสียเขาไป พยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามา นั่นไม่ใช่รัก แต่ก่อนจะคิดได้แบบนี้ ความรักครั้งแรกของเธอก็เคยทำให้เธอคิดฆ่าตัวตาย
“แต่เมื่อดิฉันรักเป็น ความรักไม่ทำให้คิดแบบนั้นอีกแล้ว เพราะรักที่แท้จริงจะไม่ทำร้ายเรา และคนที่เรารัก” โจ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าฟัง
น้ำในภาชนะ ‘รัก’ ของ ‘เป้ สีน้ำ’
เคยเป็นหนึ่งในพลพรรค ‘รัก’ ทำให้ใจหม่นเศร้ากับเขาเหมือนกัน สำหรับศิลปิน เป้ สีน้ำ หรือ อรรณพ ศรีสัจจา และต้องใช้เวลายาวนานเป็น 10 ปี จึงจะบำบัดใจตัวเองได้สำเร็จ จากอาการที่เรียกว่า ‘อกหัก’ นอกเหนือจากวิธีการ อื่นใดที่ลองทำแล้ว ‘ธรรมะ’ ก็มีส่วนช่วยให้หายปวดร้าวด้วย
“เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การศึกษาธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะมากในช่วง นั้น เพราะมันมีความทุกข์เป็นอารมณ์ คล้ายๆว่าจิตมันสยบกับความเป็นจริง อะไรที่มันเป็นจริง มันก็อยากจะเรียนรู้ไปหมดในตอนนั้น”
หนึ่งชีวิตนี้เขาเล่าว่ามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่พอจะนิยามการจากไปของใครอีกคนหนึ่งซึ่งรักและผูกพันได้ว่า‘อกหัก’
“จริงๆมันก็นานมาแล้ว เราก็ไม่อยากจะนับมันหรอก แต่ว่ามันคือการอกหักของผู้ชายคนหนึ่งในวัยหนุ่ม ตอนนั้นอายุประมาณ 35-36 ปี ซึ่งเป็นวัยที่แสวงหาและเห็นชีวิตมาแล้ว อกหักครั้งนั้นเป็นบทเรียนที่ดี เป็นบทเรียนอันใหญ่มาก เป็นปัญหาอันหนักอึ้งทีเดียว ผ่านมันไปได้ยากเย็นอย่างยิ่ง และกินเวลาเนิ่นนาน จนเพื่อนๆหน่าย แม้แต่พี่สะใภ้ก็ต้องเป็นเพื่อนคอยปลอบใจ ถึงขั้นที่ต้องเรียน รู้สัจจะกันในยามนั้นเลยล่ะว่า ความทุกข์คืออะไร ชีวิตคืออะไร และก็ธรรมะคืออะไร”
อาการนอนไม่หลับ คิดถึงแต่หน้าเธอ คิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคิดวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า เพราะอะไร... ทำไม... ถึงได้ทิ้งกันไป บางครั้งก็ทำ ให้เจ้าตัวคิดหาทางออกด้วยการนั่งสมาธิและลุกขึ้นเดินจงกรมลองดูบ้าง
กล่าวได้ว่าการเรียนรู้ธรรมะของเขานั้น ค่อยๆดำเนินไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่มีเกิดขึ้นในหัวใจ
“แต่การเรียนรู้ธรรรมะ มันไม่ใช่ว่าเรียนรู้แล้วเข้าใจเลย คำบางคำ ประโยคบางประโยค บางอย่างเราก็จำได้นั่นแหละ แต่ว่ามันจะถูกตีความไปเมื่อมันได้ผ่านชีวิต อย่างคำว่า “เป็นเช่นนั้นเอง” เราก็ได้ยินได้ฟังมาเป็น 20 ปี แต่เรานึก ถึงคำเดียวกันในวันนี้ทัศนะมันจะเปลี่ยนไปแล้ว มันอยู่ที่การผ่านชีวิตมากกว่า”
ในช่วงแรกๆ เขายอมรับว่า ไม่ได้ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหายไปจากความปวด ร้าวอันใหญ่หลวงนั้น แม้จะเป็นช่วงชีวิตที่ต้องอยู่กับความเศร้าทั้งวันทั้งคืน คล้ายไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่ง และมีแต่ความว้าเหว่เข้าแทรกแซงความเบิกบานในหัวใจ
“ฉันอยากจะได้เธอกลับคืนมาต่างหาก ไม่ใช่ฉันอยากจะหายไปจากความเจ็บปวด แล้วก็ไปรักใครคนใหม่ แต่ฉันอยากจะได้เธอกลับคืนมา และฉันก็หวังว่า เธออาจจะเปลี่ยนใจคิดกลับคืนมา อันนี้คืออันตรายมากสำหรับคนอกหัก”
เขาไม่รู้หรอกว่า ความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียความรักตรงกับคำบาลีหรือธรรมะข้อไหน แต่มันช่างเป็นจริงแน่แท้กับคำกล่าวที่ว่า “การพลัดพรากจาก สิ่งที่รักเป็นทุกข์”
“มันจริงจนไม่รู้จะจริงอย่างไร ผมเองยังเคยเขียนถึงความรักไว้เลยว่า ‘ไม่มีความทุกข์ใดขมขื่นได้เท่าความทุกข์ที่เกิดจากความรัก’ เราทุกข์เรื่องอื่นมันไม่ค่อยขมขื่น แต่กับความรัก ทำไมมันถึงขมขื่นได้้ยาวนานเหลือเกิน”
ทั้งวันนั้นและวันนี้ วันที่ที่คนรักถอยห่างไปจากชีวิตเขานานแล้ว เธอคนนั้นก็ยังเรียกได้ว่าเป็น ‘คนรัก’ ของเขาอยู่เสมอ การจากไปของคนรักไม่ได้นำมาซึ่งความเกลียด เขาว่า..“เรารักกันเกินกว่าจะเกลียดกัน” เพียงแค่โมงยามนี้ถึงคราวต้องยอมรับและเข้าใจในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น
“ความรักมันไม่ได้ตรงข้ามกับความเกลียดชังเลยนะ มันไม่มีความเกลียด ชังเข้ามาเลย มันก็ยังป็นความรักนั่นแหละ แต่มันอาจจะผิดหวังที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผิดหวังที่เรายังไม่ได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวตนของกันและกัน มันน่าเสียดายคนที่กินอาหารแบบเดียวกันได้..”
เขาไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ก่อนจะส่งเสียงปฏิเสธ
“ไม่ ...ที่ใดมีรักที่นั่นมีสุขนะ มีทุกข์ได้ยังไง มีรักต้องมีสุข แต่วันใดที่พลัดพรากจากสิ่งที่รักเท่านั้น ที่จะเป็นทุกข์ คงจะพูดผิดแล้วล่ะ ถ้ามีทุกข์แสดงว่านั่นไม่ใช่รัก”
ในวัยหนุ่มก่อนที่จะเผชิญหน้ากับคำว่า ‘อกหัก’ ครั้งครานั้น เขาอาจเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะมีใครที่เราจะรักได้สักคนหนึ่งไหม” แต่วันนี้มุมมอง ที่เขามีต่อความรัก ก็คือ ถ้าชีวิตจะต้องมีคนรักสักคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วย จะมีใครที่อยู่ด้วยแล้วพอดี สวยงาม คล้ายน้ำในภาชนะและมีทัศนะที่พอจะแลก เปลี่ยนกันได้ไหม
“เราเรียนรู้ชีวิตจนพบว่า องค์ประกอบมันไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ มองเป็นเพียง ความพอดีและทัศนะ คนเราถ้ามันมีทัศนะที่ไม่ตรงกันนัก หมายถึงว่ามีทัศนะที่แลกเปลี่ยนกันได้ มันก็จะทำให้ชีวิตมีเนื้อหา ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต แล้วก็มาสื่อสารกัน ไม่ว่าจะในเรื่องของศิลปะ หรือศาสตร์ความรู้อะไรก็ตามแต่ ชีวิตมันก็จะมีเนื้อหา และรู้สึกว่ามันมีความหมาย ...ถ้าจะต้องมีใครสักคน”
ศิลปินสีน้ำทิ้งท้ายคล้ายต้องการโยนภาระให้โชคชะตาช่วยตัดสินอีกทาง
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 75 ก.พ. 50 โดย เบญจพร)