ขึ้นศักราชใหม่กันอีกแล้ว 1 ปีผ่านไปเร็วจริงๆ ค่ะ ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา หากท่านใดต้องร่วม สัญจรไปพักผ่อนกับลูกหลาน ใช้เวลาสร้างสายใยแห่ง ความรักความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในครอบครัวด้วยแล้วละก็ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก! แต่ก็คงมีหลายท่านนะคะ ที่พอกลับ มาถึงบ้านด้วยความอิ่มเอมใจก็จริง แต่ด้านร่างกายนั้นกลับมีอาการปวดเข่ามาเป็นของแถมโดยไม่ได้ร้อง ขอเข้าจนได้
อาการข้างต้นเป็นเพราะเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ความสมบูรณ์ของร่างกายย่อมเสื่อมโทรมลงตามกาลเวลาค่ะ ทำให้ข้อเข่าที่เคยแข็งแรงเสื่อมสภาพลงได้โดยไม่ทันสังเกต พอรู้ตัวอีกที ก็เกิดอาการปวดขึ้นเสียแล้ว ปัญหาปวดเข่าเป็นเพียงอาการเท่านั้นค่ะ ส่วนสาเหตุที่ แท้จริงจะเป็นอะไร คงต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัย ตรวจดูอาการอักเสบ ลักษณะของข้อเข่า และอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการประกอบกันไป
สาเหตุของอาการปวดเข่าที่พบบ่อยครั้ง มักเกิดจาก ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบจากการติดเชื้อ มีทั้งชนิดเฉียบ พลันและเรื้อรัง ข้ออักเสบจากผลึกเกลืออาการของโรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือการอักเสบของ ถุงน้ำหรือเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อค่ะ แต่โอกาสที่ทำให้เกิด อาการปวดเข่ามากที่สุด โดยไม่ขึ้นอยู่กับช่วงวัย นั่นคือ อุบัติเหตุ เช่น ถูกรถชน เดินตกบันได หกล้ม ฯลฯ ที่ส่งผลกระทบกับข้อเข่าโดยตรง
วิธีรักษาอาการปวดเข่า มีด้วยกันหลายวิธี ต้องเลือกให้เหมาะกับลักษณะอาการ ไม่เช่นนั้น อาการปวด เข่าเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นความเรื้อรังที่ยากต่อการรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งวิธีเยียวยาให้อาการปวดเข่า หายดีขึ้นนั้น ก็แทบไม่ต่างไปจากอาการผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ที่เน้นรักษาอาการตามสาเหตุค่ะ
เริ่มที่การใช้ยา เช่น ยาลดปวด ในกรณีที่มีอาการ ปวดไม่มาก และยาต้านการอักเสบตามสาเหตุของโรค ซึ่งยาชนิดนี้ในปัจจุบันมีทั้งยากินและยาทา สะดวกใน การเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้มีอาการ เพราะตัวยาที่มีสรรพคุณลดอาการปวด บวม อักเสบ ส่วนใหญ่จะส่ง ผลกระทบกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่ก่อนแล้ว
การพักข้อ ก็เป็นวิธีบรรเทาอาการเบื้องต้นที่ได้ผลดี เช่นกันค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการชนิดเฉียบพลัน เข่าปวดบวมมากด้วยแล้ว การใช้เครื่องช่วยเดิน หรือจะพักข้อเข่าด้วยการลดการยืนและเดินให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ ก็จะช่วยลดการแบกรับน้ำหนักของข้อเข่าได้ เช่นกัน
ส่วนวิธีการถนอมข้อ ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อการบรรเทาอาการปวดหรือลดอาการอักเสบเรื้อรัง ก็สามารถทำได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่การ หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าเป็นเวลานานๆ เช่น การขึ้น-ลงบันได(เท่าที่จำเป็น) ใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ช่วยเดิน ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอิริยาบถที่ต้องงอหรือพับเข่ามากเกินไปด้วยการหลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบท่าคลานเข่า และไม่นั่งยองๆ
สำหรับกรณีที่จำเป็นต้องนั่งในท่าเหล่านี้แล้ว ก็ควร หมั่นสลับข้าง เพื่อลดการกดทับน้ำหนัก หรือการพับข้อเพียงข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานานๆ ทั้งนี้ ควรสวมปลอกเข่าร่วมด้วยค่ะ เพื่อช่วยพยุงเข่าและเอ็นที่อยู่รอบๆ ไม่เพียงเท่านี้ การจัดหาเก้าอี้นั่งที่มีความแข็งใน ความนุ่มพอประมาณและระดับความสูงของเก้าอี้ที่พอเหมาะ ประมาณ 45 ซม. เพื่อความสะดวกในการ ลุก-นั่ง ก็จะช่วยลดอาการปวดให้ทุเลาลงได้ในระยะยาว
การใช้ความร้อนและความเย็นช่วยบรรเทาอาการปวด ก็ยังคงเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบันค่ะ เนื่องด้วยคุณสมบัติของความเย็น สามารถลดอาการปวดเฉียบพลันอย่างได้ผล โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ ส่วนการ ใช้ความร้อนควรใช้ประคบในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า เรื้อรังค่ะ ซึ่งการใช้ความร้อนนี้ เราต้องระมัดระวัง! อย่าให้ร้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ได้
เบื้องต้นขอแนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบีบหมาดๆ หรืออาจเลือกใช้กระเป๋าน้ำร้อน โดยมีผ้าพันทับก่อนวางประคบ วางนานประมาณ 15-20 นาที ซึ่งก็ต้องระวังเป็นพิเศษด้วยค่ะ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการรับความรู้สึก เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการชาจากปลายประสาทผิดปกติ ที่สำคัญการใช้ความร้อนหรือความเย็นบรรเทาอาการปวดนี้ ก็ยังมีข้อ ยกเว้นด้วยนะคะ เนื่องจากวิธีนี้ ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ กับอาการข้ออักเสบจากผลึกเกลือโดยเด็ดขาด!
สำหรับท่านใดที่สนใจรักษาด้วยการลดน้ำหนักตัว ก็นับเป็นอีกหนึ่งทางลัดช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าอย่างได้ผลดี เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินความจำเป็นก็จะยิ่งเพิ่มภาระแบกรับให้ข้อเข่าของเราตลอดเวลา และทันทีที่น้ำหนักตัวลดลง การทำงานของข้อเข่าก็จะลดน้อยลงตามไปด้วยค่ะ แต่ปัญหามีอยู่ว่า การลดน้ำหนักนั้นไม่ได้เกิดจากการควบคุมอาหารเพียงอย่าง เดียวเสียเมื่อไหร่ ต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย จึงจะได้ผลเร็วขึ้น
แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังกังวลว่าการออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการสร้างผลเสียต่อข้อเข่าให้มีอาการหนักกว่าเดิมหรือไม่
ตรงนี้...หมดห่วงไปได้เลยค่ะ เพราะท่าทางการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยเผาผลาญส่วนเกินของร่างกายนั้น มีด้วยกันหลายท่วงท่า ซึ่งก็ควรเลือกออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อต้นขา ในท่าที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดผลเสียต่อข้อเข่า เช่น การออกกำลังกายด้วยการนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง โดยการนั่งพิงพนักเก้าอี้ เหยียดเข่าตรง หรือให้ปลายขาขนานกับพื้น จากนั้น ให้ นับ 1-5 ช้าๆ แล้ววางลง จึงนับเป็น 1 ครั้ง ซึ่งควรทำ ท่าในลักษณะนี้ข้างละ 10-20 ครั้ง/ 1 ชุด ทำอย่างน้อย วันละ 2 ชุด ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงและ ข้อเข่าสามารถรับน้ำหนักได้ดีขึ้นด้วย
ถึงตรงนี้...บรรดาว่าที่ผู้สูงอายุท่านใด ที่แม้วันนี้จะยังไม่เกิดอาการปวดข้อ ปวดเข่าเลยสักนิดก็ตาม อย่าได้นิ่งนอนใจไปค่ะ หมั่นเพิ่มเติมแร่ธาตุแคลเซียม ให้กับร่างกายสม่ำเสมอ ด้วยการทานปลาตัวเล็กและดื่มนมเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว รับรองว่า ... แหล่งอุดมแคลเซียมเหล่านี้ จะรับหน้าที่เป็นอัศวินม้า ขาว ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนในช่วงสูงวัยได้อย่าง ทันท่วงทีค่ะ
สำหรับฉบับนี้ ก่อนจากกันไป ยังคงยืนยันนะคะว่า...สุขภาพที่ดีไม่มีใครสามารถสร้างขึ้นได้ภายในวันเดียวค่ะ
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 74 ม.ค. 50 โดย อันดาภา)
อาการข้างต้นเป็นเพราะเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ความสมบูรณ์ของร่างกายย่อมเสื่อมโทรมลงตามกาลเวลาค่ะ ทำให้ข้อเข่าที่เคยแข็งแรงเสื่อมสภาพลงได้โดยไม่ทันสังเกต พอรู้ตัวอีกที ก็เกิดอาการปวดขึ้นเสียแล้ว ปัญหาปวดเข่าเป็นเพียงอาการเท่านั้นค่ะ ส่วนสาเหตุที่ แท้จริงจะเป็นอะไร คงต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัย ตรวจดูอาการอักเสบ ลักษณะของข้อเข่า และอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการประกอบกันไป
สาเหตุของอาการปวดเข่าที่พบบ่อยครั้ง มักเกิดจาก ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบจากการติดเชื้อ มีทั้งชนิดเฉียบ พลันและเรื้อรัง ข้ออักเสบจากผลึกเกลืออาการของโรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือการอักเสบของ ถุงน้ำหรือเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อค่ะ แต่โอกาสที่ทำให้เกิด อาการปวดเข่ามากที่สุด โดยไม่ขึ้นอยู่กับช่วงวัย นั่นคือ อุบัติเหตุ เช่น ถูกรถชน เดินตกบันได หกล้ม ฯลฯ ที่ส่งผลกระทบกับข้อเข่าโดยตรง
วิธีรักษาอาการปวดเข่า มีด้วยกันหลายวิธี ต้องเลือกให้เหมาะกับลักษณะอาการ ไม่เช่นนั้น อาการปวด เข่าเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นความเรื้อรังที่ยากต่อการรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งวิธีเยียวยาให้อาการปวดเข่า หายดีขึ้นนั้น ก็แทบไม่ต่างไปจากอาการผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ที่เน้นรักษาอาการตามสาเหตุค่ะ
เริ่มที่การใช้ยา เช่น ยาลดปวด ในกรณีที่มีอาการ ปวดไม่มาก และยาต้านการอักเสบตามสาเหตุของโรค ซึ่งยาชนิดนี้ในปัจจุบันมีทั้งยากินและยาทา สะดวกใน การเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้มีอาการ เพราะตัวยาที่มีสรรพคุณลดอาการปวด บวม อักเสบ ส่วนใหญ่จะส่ง ผลกระทบกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่ก่อนแล้ว
การพักข้อ ก็เป็นวิธีบรรเทาอาการเบื้องต้นที่ได้ผลดี เช่นกันค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการชนิดเฉียบพลัน เข่าปวดบวมมากด้วยแล้ว การใช้เครื่องช่วยเดิน หรือจะพักข้อเข่าด้วยการลดการยืนและเดินให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ ก็จะช่วยลดการแบกรับน้ำหนักของข้อเข่าได้ เช่นกัน
ส่วนวิธีการถนอมข้อ ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อการบรรเทาอาการปวดหรือลดอาการอักเสบเรื้อรัง ก็สามารถทำได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่การ หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าเป็นเวลานานๆ เช่น การขึ้น-ลงบันได(เท่าที่จำเป็น) ใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ช่วยเดิน ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอิริยาบถที่ต้องงอหรือพับเข่ามากเกินไปด้วยการหลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบท่าคลานเข่า และไม่นั่งยองๆ
สำหรับกรณีที่จำเป็นต้องนั่งในท่าเหล่านี้แล้ว ก็ควร หมั่นสลับข้าง เพื่อลดการกดทับน้ำหนัก หรือการพับข้อเพียงข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานานๆ ทั้งนี้ ควรสวมปลอกเข่าร่วมด้วยค่ะ เพื่อช่วยพยุงเข่าและเอ็นที่อยู่รอบๆ ไม่เพียงเท่านี้ การจัดหาเก้าอี้นั่งที่มีความแข็งใน ความนุ่มพอประมาณและระดับความสูงของเก้าอี้ที่พอเหมาะ ประมาณ 45 ซม. เพื่อความสะดวกในการ ลุก-นั่ง ก็จะช่วยลดอาการปวดให้ทุเลาลงได้ในระยะยาว
การใช้ความร้อนและความเย็นช่วยบรรเทาอาการปวด ก็ยังคงเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบันค่ะ เนื่องด้วยคุณสมบัติของความเย็น สามารถลดอาการปวดเฉียบพลันอย่างได้ผล โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ ส่วนการ ใช้ความร้อนควรใช้ประคบในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า เรื้อรังค่ะ ซึ่งการใช้ความร้อนนี้ เราต้องระมัดระวัง! อย่าให้ร้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ได้
เบื้องต้นขอแนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบีบหมาดๆ หรืออาจเลือกใช้กระเป๋าน้ำร้อน โดยมีผ้าพันทับก่อนวางประคบ วางนานประมาณ 15-20 นาที ซึ่งก็ต้องระวังเป็นพิเศษด้วยค่ะ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการรับความรู้สึก เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการชาจากปลายประสาทผิดปกติ ที่สำคัญการใช้ความร้อนหรือความเย็นบรรเทาอาการปวดนี้ ก็ยังมีข้อ ยกเว้นด้วยนะคะ เนื่องจากวิธีนี้ ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ กับอาการข้ออักเสบจากผลึกเกลือโดยเด็ดขาด!
สำหรับท่านใดที่สนใจรักษาด้วยการลดน้ำหนักตัว ก็นับเป็นอีกหนึ่งทางลัดช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าอย่างได้ผลดี เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินความจำเป็นก็จะยิ่งเพิ่มภาระแบกรับให้ข้อเข่าของเราตลอดเวลา และทันทีที่น้ำหนักตัวลดลง การทำงานของข้อเข่าก็จะลดน้อยลงตามไปด้วยค่ะ แต่ปัญหามีอยู่ว่า การลดน้ำหนักนั้นไม่ได้เกิดจากการควบคุมอาหารเพียงอย่าง เดียวเสียเมื่อไหร่ ต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย จึงจะได้ผลเร็วขึ้น
แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังกังวลว่าการออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการสร้างผลเสียต่อข้อเข่าให้มีอาการหนักกว่าเดิมหรือไม่
ตรงนี้...หมดห่วงไปได้เลยค่ะ เพราะท่าทางการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยเผาผลาญส่วนเกินของร่างกายนั้น มีด้วยกันหลายท่วงท่า ซึ่งก็ควรเลือกออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อต้นขา ในท่าที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดผลเสียต่อข้อเข่า เช่น การออกกำลังกายด้วยการนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง โดยการนั่งพิงพนักเก้าอี้ เหยียดเข่าตรง หรือให้ปลายขาขนานกับพื้น จากนั้น ให้ นับ 1-5 ช้าๆ แล้ววางลง จึงนับเป็น 1 ครั้ง ซึ่งควรทำ ท่าในลักษณะนี้ข้างละ 10-20 ครั้ง/ 1 ชุด ทำอย่างน้อย วันละ 2 ชุด ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงและ ข้อเข่าสามารถรับน้ำหนักได้ดีขึ้นด้วย
ถึงตรงนี้...บรรดาว่าที่ผู้สูงอายุท่านใด ที่แม้วันนี้จะยังไม่เกิดอาการปวดข้อ ปวดเข่าเลยสักนิดก็ตาม อย่าได้นิ่งนอนใจไปค่ะ หมั่นเพิ่มเติมแร่ธาตุแคลเซียม ให้กับร่างกายสม่ำเสมอ ด้วยการทานปลาตัวเล็กและดื่มนมเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว รับรองว่า ... แหล่งอุดมแคลเซียมเหล่านี้ จะรับหน้าที่เป็นอัศวินม้า ขาว ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนในช่วงสูงวัยได้อย่าง ทันท่วงทีค่ะ
สำหรับฉบับนี้ ก่อนจากกันไป ยังคงยืนยันนะคะว่า...สุขภาพที่ดีไม่มีใครสามารถสร้างขึ้นได้ภายในวันเดียวค่ะ
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 74 ม.ค. 50 โดย อันดาภา)