xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา :สติควบคุมจิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา
ระงับเวทนาทางกาย


มีคำถามจะฝากนมัสการเรียนถาม หลวงปู่เกี่ยวกับธรรมะข้อหนึ่งคะ "เชื่อว่าจิตกับใจแยกจากกันได้จริง (ไม่ใช่ตอนตาย หมายถึงตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่) ทำได้อย่างไร เช่นเวลาที่กายเจ็บป่วยแล้วใจก็เศร้าหมอง เราจะมีทางระงับได้อย่างไรเพื่อไม่ให้กายเป็นนายของใจ?"

วิสัชนา

"จริงๆ แล้วคำถาม ถามค่อนข้าง จะสับสน ก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่องจิตกับใจแยกกันได้จริงหรือไม่ หลายคนอาจจะสงสัยว่าอะไรคือจิต และอะไรคือใจ จิตในภาษาธรรมะ วิชาการศาสนา เขาเรียกมันเป็นสภาว-ธรรม จิตนี้เป็นสภาวธรรม ไม่มี รูปร่างแต่ต้องการที่อยู่ ธรรมชาติของ จิตคือมีความซึมสิง ซึมทราบ มีตัวรู้ เมื่อจิตไม่มีรูปร่างต้องการที่อยู่มีคุณสมบัติคือรับรู้อารมณ์ รับรู้สภาว-ธรรม ที่อยู่ของจิตก็คือกายนี้

ส่วนใจ หรือภาษาบาลีหรือภาษาวิชาการศาสนา เขาเรียกว่า หะทะยัง หรือหัวใจ มีสัณฐานกลมเหมือนดอกบัวตูมใหญ่เล็กเท่าเจ้าของ กำปั้นของคนคนนั้น รูปร่างจะใหญ่โตเท่ากับกำปั้นของผู้เป็นเจ้าของใจ ใจนั้น ใจนี้ มีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เหมือนโรงงาน สูบน้ำ เพราะฉะนั้น จิตอิงอาศัยกายและใจนี้

โดยภาษาธรรมะแล้ว จิตนี้เปรียบดั่งพลังงานมีอำนาจเหนือการควบคุมของสมอง สำหรับผู้ไม่ได้รับการฝึกปรือ แต่ถ้าผู้ควบคุมแล้วคือฝึกปรือแล้ว ก็สามารถควบคุมจิตนี้ให้ดำรงตั้งมั่น หรือแยกออกจากกายและใจนี้ได้

การควบคุมหรือการฝึกปรืออันนั้น ก็ได้มาจากการเจริญสติและทำให้สติตั้งมั่น เมื่อสติตั้งมั่นอยู่ในจิตนี้แล้ว เราก็จะควบคุมจิตนี้ได้ไม่ให้รับความรู้สึกจากเวทนาที่ปรากฏทางใจ หรือเวทนาที่ปรากฏทางกาย คำถามที่ถามว่า ทำอย่างไรที่จะแยกจิตออกจากใจ ก็คือ ต้องฝึก ต้องมีสติ ฝึกให้จิตนี้ปรากฏสติทุกดวงที่เกิด ดับ จนเป็นความชำนาญสามารถ แยกจิตออกจากใจได้ เมื่อจิตออกจากใจก็คือเหมือนกับจิตที่ออกจากกาย กายตรงไหนที่เป็นทุกข์เดือดร้อน เช่นปวดขา ปวดมือ ปวดหัว ปวดท้อง อาการปวดเป็นเวทนา เมื่อจิตนี้สามารถแยกออกจากใจได้ก็คือไม่รับรู้อารมณ์ที่ปรากฏขึ้น เวทนานั้นก็จะไม่มีอำนาจ คือจะไม่มีอำนาจครอบคลุมกายนี้ มีเรื่องอยากจะบอกคุณอีกนิดหนึ่งว่า โดยธรรมชาติ ของกาย มีสมองเป็นผู้ควบคุมการทำงานของกาย มีใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง มีจิตเป็นผู้ควบคุมการทำงานของสมอง ใจ กาย จิตจะทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ ในและนอกกายนี้ เมื่อฝึกจิตดีแล้ว กายนี้ก็ย่อมไม่มีอิทธิพลต่อจิต"

ปุจฉา
สติควบคุมจิต


หลวงปู่สอนไว้ว่าให้ใช้สติควบคุมจิต เหมือนประตูหน้าต่าง แสดงว่า อารมณ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ จะต้องเกิดขึ้นก่อนแล้วสติค่อย กำกับทีหลัง มีข้อยกเว้นสำหรับ พระอรหันต์ที่ยังอยู่ในสังคมไม่ใช่อยู่ในป่า (สมมติว่ามี) หรือไม่ คือ จิตจะไม่เกิด อารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีเลย หรือว่ามีอารมณ์เหมือนกัน แต่สติตามได้ทันตลอดเวลา

วิสัชนา

"ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า โทสะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโทสะ หามีไม่ โมหะนั้นมีอยู่เดิมบุคคล ผู้รับโมหะนั้นหามีไม่ ราคะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับราคะนั้น หามีอยู่ไม่ เมื่อโทสะ โมหะ ราคะ มันมีอยู่เดิมแล้ว เราไม่มี ก็คือตัวเราจริงๆ ไม่มี แต่ที่เราเข้าไปรับมัน ก็เพราะเราไปปรุงแต่งว่าตัวเรามีแล้วเรารับมันเข้ามาใช้ประโยชน์ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเดิมก่อนที่คุณจะเกิด ทีนี้เมื่อมันมีอยู่เดิม คุณเกิดมาหน้าที่ของคุณก็คือเพียงแค่ระวังอย่าให้ไปเปื้อน อย่าให้ไปแปดเปื้อน อย่าให้มันมีอำนาจมาทำให้จิตวิญญาณของคุณขุ่นมัวเท่านั้นเอง สติก็เป็นตัวกางกั้น สติทำหน้าที่หรือมีหน้าที่ที่จะเปิดปิดประตูแห่งใจคุณว่า อะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ นี่เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุน เดิมของโลกมีอยู่แล้ว ส่วนราคะ โทสะ โมหะที่เป็นทุนเดิมของกรรม หรือพิธีกรรม หรือจิตวิญญาณของคุณ ที่ เป็นทุนเดิมเรียกว่า โลภมูลจิต โทสะมูลจิต โมหมูลจิต ก็คือคุณเกิดมาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นมูลเดิม ของจิตวิญญาณคุณที่สั่งสมอบรมมา แต่อดีตชาติ ที่เรียกว่าอนุสัย เมื่อสั่งสมอบรมมาแต่เก่าก่อนแล้วสิ่งเหล่านี้ หน้าที่ของคุณ เกิดเป็นคนต้องชำระล้าง ละตัดให้หลุด อย่าปล่อยให้มันมาฉุดเราอยู่ รวมๆ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ มีทั้งภายใน ก็คือจิตเดิมของคุณมีมาเก่า และมีทั้งภายนอกก็คือมีอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ประตูหน้าต่างมีเอาไว้สำหรับป้องกันพายุข้างนอก แต่ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดถู มีสำหรับไว้ป้องกันฝุ่นละอองภายใน ถ้าคุณมีสองสิ่งนี้ได้ก็ถือว่าคุณมี สติ สมาธิ และปัญญา จะกำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ของจิตคุณทั้งภายในและภายนอกได้

ส่วนคำถามที่ถามว่า พระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นผู้ที่เจริญซึ่งสติ สมาธิ และปัญญาแล้ว ก็คือมีทั้งประตูหน้าต่าง และเครื่องกำจัดภายใน ที่สมบูรณ์ที่ไม่มีรูรั่ว ที่สามารถ ป้องกัน ราคะ โทสะ โมหะ หรือภัยพิบัติจากข้างนอกได้แล้ว แล้วก็มีเครื่องดูดฝุ่น มีทั้งผ้าเช็ดพื้น มีทั้งไม้กวาดอันสมบูรณ์ แล้วก็มีพนักงาน ที่พร้อมที่จะทำลายสิ่งที่เป็นภายในที่เรียกว่าฝุ่นละอองนั้น หมดไปเรียบร้อยแล้ว รวมๆ ก็คือพระอรหันต์ไม่มีมลพิษทั้งภายใน หมดแล้ว ภายนอกก็ไม่มีอำนาจเหนือท่านแล้ว พระอรหันต์ไม่ใช่ไม่มีมลพิษแต่ภายนอก ภายนอกไม่มีสิทธิ์ พระอรหันต์นี่ไม่สามารถที่จะไปทำลายโทสะ โมหะ ราคะ ของโลก ได้ ก็บอกแล้วว่ามันมีอยู่แล้วเป็นทุน เดิม ถ้าจะทำลายก็ต้องวางระเบิดเวลา เผาผลาญโลก หรือไม่ก็ทำลายโลกไป ก็ไม่แน่ใจว่าโลกนี้มันระเบิดแล้วจะหมด ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็นผู้หมดจากกิเลสทั้งภายใน และไม่ปล่อยให้ภายนอกมามีอำนาจเหนือท่าน ราคะ โทสะ โมหะ ข้างนอกมีอยู่แต่ไม่ทำ ให้ท่านต้องเดือดร้อยเท่านั้นเอง"
กำลังโหลดความคิดเห็น