xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา :คาถาเงินล้านกับการปฎิบัติตนที่ถูกต้องในศาสนาพุทธ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มีผู้สงสัยถามเกี่ยวกับคาถาเงินล้าน ซึ่งมีความเชื่อกันว่าสามารถ จะบันดาลให้ผู้สวดคาถานี้มีฐานะร่ำรวยขึ้น

มีบุคคลกลุ่มหนึ่งนำคาถานี้ไปใช้แล้วไม่ได้ผล จึงมาสอบถามกับหลวงปู่ว่า เป็นเพราะเหตุใด หลวงปู่ได้เมตตาอธิบายถึงความเชื่อ กับ การปฏิบัติตนที่ถูกต้องในศาสนาพุทธ มีความว่า

ไม่ว่าจะเป็นตำราเล่มไหนของศาสนานี้ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เล่มใดๆ และคำสอนจากที่ไหนขององค์สมเด็จพระจอมไตร พระองค์ไม่เคยตรัสไว้เลยว่า พระองค์ทรงให" คาถาเงินล้าน" เอาไว้ และพระองค์ไม่เคยตรัสไว้เลยว่าคาถาของ พระองค์จะทำให้เกิดเงินล้านขึ้นได้ และ พระองค์ไม่ทรงเคยยืนยัน และ ตรัสไว้ที่ใดๆ เลยว่า สิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะอาการสวดมนต์ อ้อนวอน

เราลองมาเปิดคัมภีร์พระไตรปิฎก เพื่อจะพิสูจน์และยืนยันใน พระธรรมคำสั่งสอน ซึ่งมีมาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่บรรดาพระเถระ หรือเถระชั้นผู้ใหญ่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน ได้เรียบเรียงร้อยกรองเป็นบทพิจารณาให้ดู ไม่มีคำไหนที่พระองค์ทรงบ่งบอกเอาไว้ หรือ พระองค์ได้ทรงเคยยืนยันว่า การได้ มาซึ่งทุนทรัพย์ หรือเอกราชต่างๆ จะเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยการอ้อนวอน

แม้แต่ครั้งหนึ่ง พระองค์เสด็จไปริมฝั่งแม่น้ำคงคา มี สิงคารมานพ กำลังกราบไหว้สักการบูชาทิศทั้ง 6 ตัวเนื้อเปียกปอนไปด้วยอำนาจของน้ำ โดยบิดาผู้เป็นพราหมณ์ได้สั่งเอาไว้ว่า ถ้าฉันตาย แกจงไหว้ทิศทั้ง 6 เพื่อวิญญาณของฉันจะได้เกิดบนสรวงสวรรค์

ความกตัญญูต่อบิดา เมื่อก่อนพ่อจะตายสั่งดังนั้น สิงคารมานพเลยเอาตัวลงไปจุ่มน้ำคงคา แล้วก็ขึ้นมาไหว้ทิศทั้ง 6 จนตัวแห้งแล้วกลับลงไปจุ่มใหม่ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาว ทำอย่างนี้ทุกเช้าเรื่อยมา

วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระจอมไตรเดินภิกขาจารเพื่อจะบิณฑบาต เห็นสภาพของสิงคารมานพมีความทุกข์ทรมานเพราะความหนาวเหน็บ พระองค์ก็ทรงแปลกประหลาดใจ เข้าไปถามว่า "ดูก่อน มานพน้อย เธอไม่หนาวกระนั้นหรือ" สิงคารมานพทูลว่า "หนาว พระเจ้าค่ะ"

"อ้าว หนาวแล้วทำไมเธอมา ยอมทำตัวเองให้เปียกปอนล่ะ"

"เพราะบิดาของข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์มีสกุล ได้สอนสั่งเอาไว้ว่า ถ้าบิดาตายแล้วอยากจะให้จิตและวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพรหม จงกราบไหว้บูชาทิศทั้ง 6 เพื่อจะอุทิศส่วนกุศลนี้ให้แด่ผู้เป็นบิดา"

องค์สมเด็จพระศาสดาก็ไม่ได้ทรงค้านว่าการไหว้เช่นนี้เป็นการผิด แต่พระองค์ก็ทรงแนะนำต่อไปว่า ดี..ดีแล้ว..ดีสุดยอด เพราะเธอทำด้วยความกตัญญู แต่ถ้าจะดียิ่งกว่านี้ การไหว้ทิศทั้ง 6 ย่อมประกอบไปด้วยวิธีนี้ ลองทำดู อาจจะดียิ่งกว่านี้

แล้วสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงได้สอนทิศทั้ง 6 ในวิชาพระพุทธ-ศาสนาว่า การที่เธอจะมาไหว้ทิศเบื้องหน้า เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องกลาง เบื้องล่าง เบื้องสูง ด้วยการกราบ ไหว้เฉยๆ ผลประโยชน์จะไม่เกิดแต่บิดา จะไม่เกิดแต่ผู้ล่วงลับหรือมีชีวิตอยู่เลย แต่การไหว้ที่เราจะบอกเธอต่อไปนี้ มันมีประโยชน์ทั้งผู้ที่ตายและผู้ที่อยู่

พระองค์ได้ทรงสอนเบื้องต้น คือ ทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์ พระองค์ทรงบอกว่าการกราบไหว้สมณพราหมณ์ ไม่ใช่เอาแต่กราบ เอาแต่ไหว้ ไม่ใช่ไหว้ฟ้า ไม่ใช่ไหว้เทวดา แต่การไหว้ของวิชาศาสนานี้ คือ การไหว้ต่อเนื่อง คือ น้อมนำเอาพระสัจธรรมของสมณพราหมณ์นำมาปฏิบัติให้เกิดผล นี่จัดว่าเป็นการไหว้อย่างสูงสุดยอด

ส่วน ทิศเบื้องหน้า คือ บิดาและมารดา การกราบบิดาและมารดา

ไม่ใช่ว่าเอาแต่กราบ แต่จงเชื่อถ้อยฟังคำ ให้การอุปถัมภ์ค้ำชู เมื่อท่านเลี้ยงดูเรามา เราเลี้ยงท่านตอบ ท่านแก่เฒ่าลง เราก็ให้การช่วยเหลืออุปถัมภ์บำรุงรักษา ให้การอนุเคราะห์ ทะนุบำรุงตามสภาวะการมีการเป็นไป นี่จัดว่าเป็นการไหว้สูงสุดยอดใน ศาสนานี้ แล้วได้ประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ

ต่อมาพระองค์ทรงสอน การไหว้ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรธิดา การไหว้บุตรธิดาไม่ใช่ว่าไปกราบปลกๆ แต่ไหว้ด้วยวิธีการ คือ ต้องให้การอุปถัมภ์ค้ำชู เลี้ยงดูบำรุงตามสภาวะ อาการที่ตัวเองมีความรับผิดชอบ

แค่อธิบายเพียง 3 ทิศพวกเรา ก็คงเข้าใจได้แล้วว่า พระพุทธเจ้าหรือ ศาสดาของศาสนานี้มิได้ทรงสอนให้บุคคลเอาแต่ไหว้ มิได้ทรงสอนให้บุคคลเชื่อในสิ่งที่งมงาย แต่ทรงสอนให้พิสูจน์ ด้วยการกระทำและปฏิบัติตัวของตัวเอง ได้ผลอย่างไรแล้วจึงจะยอมรับและเชื่อ

จะเห็นได้ว่า แม้คำสอนเล็กๆ น้อยๆ เรื่องทิศทั้ง 6 ของพราหมณ์ผู้หนึ่ง องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังเปลี่ยนให้เป็น วิธีการไหว้ที่ทันสมัยและใหม่เสมอ คือ การปฏิบัติตัวของตัวเอง

สุดท้าย แม้แต่วันที่องค์สมเด็จ พระชินสีห์จะปรินิพพาน บุคคล ทั้งหลายพากันบูชาพระองค์ด้วยเครื่องหอมจุรณจันทน์ กระแจะ และดอกมณฑาทิพย์ที่ตกจากสรวงสวรรค์ มีความสูงเท่าหัวเข่าเมื่อยืนขึ้น พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า

"ดูกร อานนท์ เราไม่ได้สรรเสริญวิธีการบูชาด้วยอามิสบูชา ชนิดนี้เลย เพราะจัดเป็นการบูชาชั้นเลว ไม่ได้ประโยชน์จากผู้ที่บูชา แต่เราสรรเสริญในการปฏิบัติบูชา คือ การบูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่เราเคยสอนไป ทดลองให้เป็น ตามสภาวะอย่างไรแล้ว จึงจะชื่อว่าผู้นั้นบูชาตถาคต"

สุดท้ายพระองค์ได้ตรัสเป็นพุทธพจน์บทพระบาลีที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ผู้ใดต้องการนั่งใกล้ตถาคต ผู้นั้นต้องปฏิบัติธรรม จะเห็นว่านี่คือคำสอนของศาสนาซึ่งมีเหตุมีผล มีความถูกต้อง และมีข้อพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน

เรากลับมาดู คาถาเงินล้าน กันใหม่ ถ้าเรายังเชื่อคาถาเงินล้าน พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ เดือนนี้ทั้งเดือน ท่องแต่คาถาเงินล้าน รักษาศีล 5 ให้สมบูรณ์บริสุทธิ์ดูซิ เงินล้านมันจะเกิดได้ไหม ความจริงเรื่องศีลเป็น การดี ศีล แปลว่าปกติ บุคคลใดมีศีล บุคคลนั้นเป็นคนปกติ มีความรู้สึกเป็นสุขในความเป็นอยู่ด้วยความ ปกติ เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลคือความปกติ คาถาเงินล้านเป็นความไม่ปกติ เพราะมันทำบุคคลให้หมดสภาวะความมีศีล ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น

ถ้าหากจะมีคำพูดเสียใหม่ว่า คาถาเงินล้านนี้ เป็นอุบายเพื่อที่จะทำให้เกิดสมาธิ อย่างนี้พูดแล้วพอฟังได้ แต่ถ้าไปมอมเมา มัวเมา หลงงมงาย โง่งี่เง่า ด้วยคำว่าสวดคาถาแล้วให้เกิดเงินล้านนี้ พูดไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง เป็นเรื่อง ทำให้คนต้องมืดบอดด้วยอำนาจของ ความโลภ เพราะ การทำความดีด้วยศีล 5 ก็ดี ด้วยความมีสมาธิก็ดี ที่เกิดขึ้นมาจากความโลภ มันไม่จัดเป็นกุศล คือ ความฉลาด ไม่จัดเป็น ความถูกต้องในคำสอนของศาสนานี้ เพราะไม่มีความฉลาดอยู่ มีแต่ความโง่เขลา

ทีนี้มาดูว่า ทำไมจึงไม่ถูกต้องใน คำสอนของศาสนานี้ เพราะใน คำสอนของศาสนานี้ สุดท้ายพระองค์ตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่ายึด อย่าผูกพันในสิ่งใดๆ ทั้งหมด จงอย่ายุ่งเกี่ยว อย่าติด อย่าข้อง ในสิ่งใดๆ ทั้งหมด จงมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างเป็นผู้ที่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ โดยการไม่เอาใจไปผูก ไปปรุงแต่ง ให้เกิดตัวราคะ โทสะ และโมหะ จงอย่าเอาจิตใจไปทำให้เกิดสภาวะความเศร้าหมองขึ้นในใจ มันเกิดเพียงรูปกายภายนอกแล้ว จงมีความรู้สึกว่าเราอยู่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด คำสอนนี้เป็นหลักแกนกลางที่เป็นสัจธรรม เป็นชั้นโลกุตตระ และ โลกียะ ทั้งหมดมีสภาวะอันเดียวกัน คือทำใจให้เป็นสุขด้วยความไม่ยึดไม่ผูกพัน

เมื่อเกิดเงินล้านขึ้น อะไรจะเกิดตามมา นั่นคือ ความหลง ความงมงาย ความวุ่นวาย ความขัดเคือง ความเศร้าหมอง และความรำคาญ นี่เป็นคำสอนที่ปลดทุกข์กระนั้นหรือ เป็นคำสอนที่ทำให้พ้นจากความเป็นทาส กลายเป็นไท เข้าถึงองค์พระนิพพานได้กระนั้นหรือ เป็นสิ่งที่พระในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระ แปลว่า ผู้ดีเลิศ ผู้งามพร้อม ผู้บริสุทธิ์ สมควรจะสอนให้คนทั้งหลายทำตาม กระนั้นหรือ

พวกเราทั้งหลาย เมื่อรู้สภาวะความเป็นจริงว่าอะไรเป็นเรื่องถูกต้อง โดยเฉพาะคำสอนในศาสนานี้ไม่ได้สอนให้คนงมงาย มีคำสอนคำใดที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วทำให้เกิดความรู้สึกงมงายบ้าง

ครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระศาสดาทรงเทศนาอยู่ใน เชตวันมหาวิหาร มีพระภิกษุนั่งฟังอยู่ประมาณ 500 รูป เมื่อเทศน์จบแล้ว พระองค์ทรงถามว่า "เธอทั้งหลาย เชื่อตถาคตหรือไม่" พระภิกษุ 499 รูป บอกว่า "เชื่อ" เหลือรูปเดียว คือ พระสารีบุตรยังไม่บอกว่าเชื่อ นิ่งอยู่เฉยๆ เหล่าพระภิกษุทั้งหลายจึงหันมามองพระสารีบุตร พลางนึกในใจว่า สารีบุตร นี่ถือตัวว่าเป็น อัครสาวกเบื้องขวา พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ไม่ยอมเชื่อ

พระพุทธเจ้าทรงรู้วาระจิตของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้หันมาถามพระสารีบุตรว่า "ดูกร สารีบุตร ทำไมเธอจึงไม่เชื่อคำสอนของตถาคต หรือ จึงนิ่งเฉย"

พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระศาสดาผู้เจริญ ที่ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ยอมรับ เพราะข้าพระพุทธเจ้าเพิ่งๆฟังจบเมื่อสักครู่นี้เองพระเจ้าข้า คำสอนที่พระองค์เพิ่งจะตรัสหลุดออกมาจากพระโอษฐ์เมื่อสักครู่นี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง รอให้ข้าพระพุทธเจ้าลองไปทำให้มันเกิดผล
หรือไม่เกิดผล จึงจะมายอมรับหรือปฏิเสธ"

องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงกล่าวสาธุการถึง 3 ครั้งว่า

"สาธุ สาธุ สาธุ ดีแล้ว สารีบุตร เธอทำถูกต้องสมกับที่ตถาคตยกย่อง เป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้ยอดใน เรื่องของปัญญา เธอจงเอาอย่างพระสารีบุตร ตถาคตเทศนาสั่งสอนใดๆ เธออย่าเพิ่งปักใจเชื่อ เธอจงเอา คำสอนของตถาคตไปใคร่ครวญ พิจารณาทดลองทำให้เป็นผล จึงยอม รับว่าเชื่อ ถ้าไม่เห็นผลก็ไม่ต้องเชื่อ ควรมาคัดค้าน"

นี่เป็น คำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งมีเหตุมีผล แม้แต่ตัวของพระองค์เองก็ยังทรงบอกไม่ให้ใครมาเชื่อในตัวของพระองค์ ในคำสอน 10 ประการ(ในกาลามสูตร) พระองค์ทรงบอกว่า เธอทั้งหลายจงอย่าเชื่อคัมภีร์ อย่าเชื่อตำรา อย่าเชื่อสิ่งที่เล่ากันมา อย่าเชื่อข่าวลือ สุดท้ายเธอทั้งหลายจงอย่าเชื่อตถาคต จงเชื่อ ตัวของตัวเอง ซึ่งประกอบไปด้วยกุศล คือ ความฉลาด อันมีศรัทธา คือความเชื่อซึ่งมีความฉลาดอยู่ด้วย ในการปฏิบัติเห็นผลอย่างไรแล้วจึงเชื่อ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงสรุปท้ายด้วยว่า อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พระองค์ไม่ทรงบอกให้ไปพึ่งใครเลย ไม่ให้พึ่งคาถาบทไหนเลย เพราะถ้ามี พระองค์คงทรงบอกไว้แล้ว

สิ่งที่ฉันพูดวันนี้ ฉันบอกก่อนแล้วว่าฉันขออนุญาตเปิดคัมภีร์ตำรา เพราะไม่ใช่เป็นธรรมชาติ เป็นภาษาในตำรา เพราะอย่างน้อยก็เป็นข้ออ้างกับพวกเราได้ว่า ไม่มีตำราเล่มไหนบ่งบอกไว้เลยว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้งมงายอย่างนั้น

คำสอนของพระศาสดาทุกเรื่องทุกขั้นตอนเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนก็จริง เป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดกาลก็จริง เป็นวิญญูหิติ คือเรียกผู้อื่นมารู้ได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเองอยู่เสมอด้วยใคร่ครวญพิจารณา ทุกขั้นตอนยืนยันได้เสมอ เรียกร้องให้ใครๆ เขามาดูได้เสมอ เพราะคำสอนของพระองค์มีเหตุมีผลเมื่อศึกษา
กำลังโหลดความคิดเห็น