ปุจฉา
ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ความจำเป็นที่จะต้องฆ่าสัตว์ เช่น หนู กบ เต่า เพื่อทดลองและดูผลของยาว่ามีผลหรือไม่ การทำอย่างนี้จะมีผล บาปกรรมต่อผู้ปฏิบัติอย่างไร และควรทำอย่างไร
วิสัชนา
ถ้าหนูมันพูดได้ เต่าพูดได้ มันก็คงอยากเอามนุษย์มาทดลองบ้างเหมือนกันแหละ มนุษย์นี่ค่อนข้างเอาเปรียบสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์คิดว่าใครก็ตามที่มีอำนาจสร้างโลกนี้ เขาสร้างให้มนุษย์อยู่เท่านั้น สัตว์อื่นไม่มี สิทธิได้อยู่หรือไง มนุษย์คงจะเข้าใจผิดเกินไป หรือว่าคิดว่าตัวเองเป็น ผู้ที่ยึดถือโลกนี้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาก เกินไป เลยไปทำร้ายทำลายสัตว์อื่น สิทธิของผู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ บุคคล หรือว่าเล็น ไร เห็บ หมัด เล็กที่สุดและก็ใหญ่ที่สุด มีสิทธิเสมอกันแหละคุณ ไม่มีใคร ดลบันดาลหรือกำหนดว่ามนุษย์มีสิทธิมากกว่าสัตว์อื่น หรือไม่ก็สัตว์อื่น มีสิทธิมากกว่ามนุษย์ แต่ที่ทุกวันนี้มนุษย์ไปเบียดบังสัตว์อื่น หรือว่าแสดงอำนาจเหนือสัตว์อื่นก็เพราะมนุษย์คิดว่าตัวเองเป็นผู้พัฒนาแล้ว ตัวเองเป็นผู้มีศักยภาพแล้ว แล้วก็มนุษย์คิดว่าตัวเองมีปัญญาชาญ-ฉลาดแล้ว เลยทำร้ายทำลายสัตว์อื่น กัดกินสัตว์อื่น เอาเปรียบสัตว์อื่น มันก็คงไม่ต่างอะไรกับทฤษฎีปลาเล็กกินปลาใหญ่ แต่ถามว่าถ้าทำแบบนี้จะบาปไหม
ชีวิต ก็คือ ผู้เป็นเจ้าของชีวิตควรจะต้องรักษาชีวิต แต่เมื่อใดที่ผู้เป็นเจ้าของชีวิต ไม่สามารถรักษาชีวิต ตนไว้ได้ เพราะโดนคนอื่นมาทำร้ายทำลาย ก็เป็นธรรมดาที่ คนทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นต้องใช้หนี้ชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเล็ก ชีวิตน้อย ก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกัน เพราะฉะนั้น โดยธรรมชาติของกฎแห่งกรรมหรือธรรมชาติของจักรวาลนี้ ธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรม-ขันธ์เนี่ย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่ร่วมกัน พึ่งพิงอิงแอบอาศัย ไม่ใช่อยู่ แล้วก็จะมาเอาเปรียบกัน ทำร้ายทำลายล้างผลาญ และจ้องดูถูกดูหมิ่น นั่นไม่ใช่ความหมายคำว่า วิถีชีวิตที่เจริญซึ่งดำเนินอยู่ในโลกนี้ วิถีชีวิต ที่ต้องดำเนินอยู่ในโลกนี้ ก็คือเป็นวิถีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพิงอาศัย เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ตอบตรงๆ ก็คือเป็นบาป เอาเค้ามาทดลอง แล้วฆ่าเค้าให้ตาย มันก็เป็นบาปทั้งนั้นแหละ เพราะเค้าเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะถ้าเกิดกบ เต่า ปลา เค้าอยากเอาคุณไปทดลองบ้างล่ะจะว่าอย่างไร
ปุจฉา
ผมฟังพระคุณเจ้าวิสัชนา แล้วมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งว่าเห็นด้วยสัตว์ทุกชนิดย่อมรักชีวิตของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ทีนี้ผมลองนึกดูว่าในฐานะที่ผมเป็นคนทดลอง ทดลองมาเพื่อนำยาไปรักษาคนอีกทั่วโลก อย่างนี้มันดูที่เจตนาหรือว่าอะไรครับ
วิสัชนา
บาปก็คือบาป ก็คือคุณฆ่าเค้า บุญก็คือบุญ เพราะคุณช่วยเค้า มันคนละเรื่องกันนะคุณแยกแยะกันให้ออก
ปุจฉา
แล้วเช่นนั้น จะมีวิธีเลี่ยง หรือแก้ไขได้เช่นใด เพราะอย่างไรเค้าต้องใช้สัตว์ที่มีชีวิตมาทดลอง จึงจะทราบว่า จะใช้รักษาคนได้หรือไม่
วิสัชนา
ก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร เพราะฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เมื่อวันก่อน ไปแสดงธรรมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็มีคนถามว่า ฆ่ายุงกับฆ่าแมลงสาบเนี่ยมันเป็นบาปไหม
ฉันก็แนะนำวิธีเลี่ยงบาป แทน ที่จะไปฆ่า ก็ให้เปิดประตูหน้าต่างให้กว้างๆ แล้วฉีดยา แค่พอได้กลิ่น แล้วให้มันบินหนีไปทางประตูหน้าต่าง เพื่อแสดงว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า เพียงแค่ขับไล่เฉยๆ แต่ถ้าปิดประตูหน้าต่างหมดทุกบาน แล้วก็ฉีดๆๆ เจอหน้าแมลงสาบ เห็นแล้วก็ไล่ตามฉีด ไปจองเวรมันอีกเนี่ย อย่างนั้น เมื่อไหร่ๆ ก็บาป เพราะมีเจตนาจะฆ่า
ทีนี้ถ้าถามว่า ที่เราไม่มีเจตนาจะฆ่า แต่มีเจตนาจะทดลอง ฉันคิดว่าสัตว์ทุกชนิดมันไม่ได้ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือทดลองให้ใคร แล้วที่เรา ไปจับเขามาทดลอง เราก็มีเจตนาที่จะจับ เอามันไปขังก็มีเจตนาแล้ว แล้วก็ทรมานมัน ก็เป็นเจตนาแล้ว ผ่ามันก็เป็นเจตนาแล้ว เอามีดชำแหละมันก็เป็นเจตนาแล้ว
แล้วจะอ้างว่าไม่มีเจตนาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเจตนาแล้ว จะไปผ่ามันทำไม เพราะฉะนั้น ถ้าแยกเจตนา ออก มันจะละเอียดเป็นปรมาณู แล้วคุณจะรู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่คุณจับมันมาขังก็เป็นเจตนาแล้วล่ะ
เพราะฉะนั้น อย่ามาปฏิเสธว่า ผมฆ่าเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า มันไม่จริงหรอกคุณ เพราะถ้าไม่มีเจตนาฆ่า คุณจะไปขังมันทำไม แต่เจตนาตัวนั้นไม่บอกให้เห็นว่าคุณเป็นคนโหดร้าย คุณเพียงแค่คิดว่ามันไม่บาป ไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า หรือคิดว่าไม่บาป ไม่ผิด เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่เป็นไร
เพราะฉะนั้น แม้เราจะอ้างว่า เราทำเพื่อช่วยคนอื่น แต่ชีวิตสัตว์ทุกชนิด คุณไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินชีวิตเค้า ไม่มีสิทธิที่จะไปบอกว่า คุณเกิดมาเพื่อมาเป็นสัตว์ทดลองให้ฉันนะ เพราะมันไม่ได้สมัครใจ ถ้าสัตว์ตัวนั้นมันชอบและก็สมยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปุจฉา
ถ้าเช่นนั้น ขอกราบเรียนถามต่อ ไปว่า สำหรับคนที่ทำอาชีพนี้ จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อการรักษาสมดุล ตรงนี้ไว้ ให้เค้าไม่เกิดความรู้สึกเป็นบาป
วิสัชนา
จริงๆ แล้วเนี่ย การเป็นหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ปรุงยารักษาโรคมันดูแทบจะไม่เสมอไปหรอก ที่เราจะต้องใช้สัตว์มาทดลองยา คุณลองไปค้นคว้าดูตำราแพทย์โบราณๆ ที่อยู่ในพระไตรปิฎก ในการทดลองยาหรือใช้ยาในการบำบัดรักษาโรค หมอชีวกโกมารภัจจไม่ได้จับหนู จับเต่าเอามาผ่าหรือเอามาฆ่า
หมอชีวกโกมารภัจจ์มีความสามารถผ่าสมองคนในยุคสองพันหกร้อยกว่าปี เอาตัวจี๊ด เอาพยาธิออกจากสมอง ท่านก็ไม่ได้ไปค้นคว้า ไปทดลองโดยการผ่าหนู ผ่าเต่า ผ่าปู ผ่าปลา ยาบางอย่างท่านก็ทดลองใช้กับตัวเอง ไม่ใช่ไปใช้กับคนอื่น แล้วเมื่อรักษาหายจริงก็จึงเอาไปรักษากับคนอื่น บางเรื่องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า หมอประเภทนี้เป็นหมอที่ไม่ค่อยจะมีบาป มีแต่บุญ เค้าจึงเรียกว่าเป็นหมอเทวดา
แต่หมอที่เรียกตนเองว่าเป็นหมอเทวดา แต่ฆ่าคนอื่นทดลอง แล้วก็เอายานั้นไปรักษาคนอื่นให้หายเนี่ย ไม่น่าจะเป็นหมอเทวดาได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องทำ อย่างชนิดที่ไม่กลัวบาป คุณก็ต้องแยกแยะให้ออกว่า สิ่งที่คุณทำสำคัญ
แค่ไหน จำเป็นมากน้อยอย่างไร แล้วใครเดือดร้อนเพราะคุณทำ ในที่สุด ผลออกมาแล้วมันคุ้มกันไหม
เรื่องของโลกนะคุณ มันไม่มีอะไรจะหนีความผิดไปได้หรอก มันไม่ทำผิด ก็ต้องคิดผิด มันไม่คิดผิดมันก็ต้องทำผิด แต่พยายามอย่าให้มันผิดบ่อยๆ อย่าให้มันผิดถี่ๆ น่าจะดูดีและก็ใช้ได้เหมือนกัน
รวมๆ แล้ว ฉันก็อยากจะบอกคุณว่า ถ้าจำเป็นจะต้องค้นคว้าเนี่ย เราก็ต้องบอกกับตัวเราเองว่า เราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจ ก็ต้องยอมๆ ที่จะรับเอาผลแห่งการกระทำนั้น แต่ถ้าไม่อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจ ก็ต้องหาวิธีใช้กับตัวเองศึกษาตัวเองและหาวิธีที่ไม่ต้องไปเสี่ยงกับการฆ่าสัตว์หรือทำร้ายทำลายสัตว์ให้ตกล่วงมันก็น่าจะมีเยอะแยะเหมือนกัน
หลายครั้งที่ฉันเคยทดลองยา วางยากับตัวเอง ถ้าใช้ได้ผลแล้วจึงจะนำไปใช้กับบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีใจเมตตา มากน้อยแค่ไหนอย่างไร สรุปก็คือ บอกว่าบาปก็คือบาป บุญก็คือบุญ บาปกับบุญจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เราต้องแยกกันให้เด็ดขาด คนบางคน ในหนึ่งนาทีทำบาปมากมาย หลายนาทีต่อมาทำบุญเยอะแยะก็มีบุญมากมาย เพราะฉะนั้น ก็ต้องชั่งดูแล้วว่า บาปกับบุญ คุณทำอะไรมากกว่ากัน
ฉันก็คิดว่า ฉันยังไม่ให้ความกระจ่างกับคุณอยู่ดี เพราะถ้าฉันบอกว่าไม่ควรทำ คุณก็จะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะอยู่กันได้อย่างไร โลกนี้ก็ มีแต่เชื้อโรคทั้งนั้นแหละ เชื้อโรคมันเกิดก่อนคุณ ไม่ใช่คุณเกิดก่อนเชื้อโรค สัตว์อะไรที่ยึดครองโลกนี้ หากคุณคิดว่าจุลินทรีย์ แล้วจุลินทรีย์ก็แบ่งแยกออกเป็นส่วนที่ดีกับไม่ดี คุณก็เรียกมันว่าเชื้อโรคเหมือนกัน
จุลินทรีย์เกิดก่อนพวกคุณ แล้วเมื่อมันเกิดก่อนพวกเรา แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันคุณกำหนดมัน คุณจำกัดมันให้มันอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ปราบมันในเวลาที่มันล่วงเกินก้าวก่าย เรา มันก้าวก่ายสิทธิของเรา เราก็ต้อง ขับไล่มัน และหาวิธีให้มันหยุดการเจริญเติบโต หรือไม่ก็สูญพันธุ์ ขบวน การเหล่านี้ มันก็มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์เป็นพันปีแล้ว แล้วเราอยู่ อย่างนี้เนี่ย ถามว่าเราเป็นบาปไหม ก็ อย่างท่านที่ถามเมื่อครู่ว่า ไม่มีเจตนา ไม่น่าจะเป็นบาป แต่ว่าเราต้องเข้าใจ ความมีชีวิต พระเจ้าหรือใครก็ตามที่ สร้างโลกนี้ขึ้นมา เค้าไม่ได้ให้มนุษย์อยู่อย่างเดียว เค้าให้สรรพสิ่งอยู่ด้วย สรรพชีวิตก็อาศัยได้ด้วย แล้วเราจะอยู่อย่างไรกับสรรพสิ่งกับสรรพชีวิต
อย่างชนิดที่ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ก้าวก่ายกัน และทำชีวิตให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ฉันว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเนี่ย มันเหมือนจะไม่มีโรคอะไร ทุกอย่างมันจะกลืนกินสรรพสิ่ง และมันจะค่อยเป็นค่อยไปของมันเอง แต่ทุกวันนี้ที่มันเกิดโรคมากมาย ก็เพราะว่า มันไปเกิดก้าวก่ายกันและกันมาก และเราก็ไปติดโรคมา เราไปติดโรคเค้า เค้าไปติดโรคเรา และเราก็มาหาวิธีกำจัดโรคนั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว มันก็ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ของการอยู่ร่วมกัน
คุณหลับตานึกภาพไหมว่า คนกับสรรพสิ่งกับสรรพชีวิตมันจะต้องอยู่ร่วมกันแล้วก็ในธรรมชาตินั้น มันก็จะมีกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน กฎเกณฑ์ที่มนุษย์ใช้ก็คือ ศีล 5 บ้าง ศีล 8 บ้าง ศีล 10 บ้าง ศีล 227 บ้าง เหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติและสรรพสิ่ง แต่ทุกวันนี้เรา แทบจะทำร้ายทำลายกฎเกณฑ์พวกนี้ ไปหมด เราล่วงเกินเค้า เค้าล่วงเกินเรา เราก้าวก่ายเค้า เค้าก้าวก่ายเรา ต่างฝ่ายต่างล่วงเกินก้าวก่ายซึ่งกันและกัน คือที่นำมาของเชื้อโรคมากมายมหาศาล คุณลองไปวิเคราะห์ดูโรคที่ดังๆ และสำคัญๆ ที่อุบัติขึ้นในมนุษย์และเกิดจากการล่วงเกินก้าวก่าย เกิดจากการทำร้ายทำลายกติกาของธรรมชาติ แล้วทีนี้เรา ก็จะมาเรียกร้องสิทธิ โดยหาวิธีกำจัดผู้ที่มาก้าวก่ายล่วงเกินเรา แต่ตอนเราไปก้าวก่ายล่วงเกินเค้า ไม่เห็นพูดบ้างเลย อันที่จริงสิ่งที่มาก้าวก่ายล่วงเกินเราก็คือสรรพสิ่งสรรพชีวิตที่เราอิงอาศัยเค้า เมื่อเราไปล่วงเกินก้าวก่ายเค้า เค้าก็เข้ามาสู่ตัวเรา แล้วเราก็ต้องหาวิธีกำจัดเค้า แล้วเราก็บอกว่าเค้าผิด
ฉันว่ามันไม่ค่อยถูกต้อง ไม่ค่อยจะยุติธรรมสักเท่าไหร่ อยากจะบอกว่า วิธีกันโรคได้ดีที่สุด แก้โรคได้ชะงัดที่สุด ป้องกันโรคได้เยี่ยมที่สุดก็คือรักษากติกาของธรรมชาติ แล้วคุณจะไม่เป็นโรคอะไรเลย
ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ความจำเป็นที่จะต้องฆ่าสัตว์ เช่น หนู กบ เต่า เพื่อทดลองและดูผลของยาว่ามีผลหรือไม่ การทำอย่างนี้จะมีผล บาปกรรมต่อผู้ปฏิบัติอย่างไร และควรทำอย่างไร
วิสัชนา
ถ้าหนูมันพูดได้ เต่าพูดได้ มันก็คงอยากเอามนุษย์มาทดลองบ้างเหมือนกันแหละ มนุษย์นี่ค่อนข้างเอาเปรียบสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์คิดว่าใครก็ตามที่มีอำนาจสร้างโลกนี้ เขาสร้างให้มนุษย์อยู่เท่านั้น สัตว์อื่นไม่มี สิทธิได้อยู่หรือไง มนุษย์คงจะเข้าใจผิดเกินไป หรือว่าคิดว่าตัวเองเป็น ผู้ที่ยึดถือโลกนี้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาก เกินไป เลยไปทำร้ายทำลายสัตว์อื่น สิทธิของผู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ บุคคล หรือว่าเล็น ไร เห็บ หมัด เล็กที่สุดและก็ใหญ่ที่สุด มีสิทธิเสมอกันแหละคุณ ไม่มีใคร ดลบันดาลหรือกำหนดว่ามนุษย์มีสิทธิมากกว่าสัตว์อื่น หรือไม่ก็สัตว์อื่น มีสิทธิมากกว่ามนุษย์ แต่ที่ทุกวันนี้มนุษย์ไปเบียดบังสัตว์อื่น หรือว่าแสดงอำนาจเหนือสัตว์อื่นก็เพราะมนุษย์คิดว่าตัวเองเป็นผู้พัฒนาแล้ว ตัวเองเป็นผู้มีศักยภาพแล้ว แล้วก็มนุษย์คิดว่าตัวเองมีปัญญาชาญ-ฉลาดแล้ว เลยทำร้ายทำลายสัตว์อื่น กัดกินสัตว์อื่น เอาเปรียบสัตว์อื่น มันก็คงไม่ต่างอะไรกับทฤษฎีปลาเล็กกินปลาใหญ่ แต่ถามว่าถ้าทำแบบนี้จะบาปไหม
ชีวิต ก็คือ ผู้เป็นเจ้าของชีวิตควรจะต้องรักษาชีวิต แต่เมื่อใดที่ผู้เป็นเจ้าของชีวิต ไม่สามารถรักษาชีวิต ตนไว้ได้ เพราะโดนคนอื่นมาทำร้ายทำลาย ก็เป็นธรรมดาที่ คนทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นต้องใช้หนี้ชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเล็ก ชีวิตน้อย ก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกัน เพราะฉะนั้น โดยธรรมชาติของกฎแห่งกรรมหรือธรรมชาติของจักรวาลนี้ ธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรม-ขันธ์เนี่ย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่ร่วมกัน พึ่งพิงอิงแอบอาศัย ไม่ใช่อยู่ แล้วก็จะมาเอาเปรียบกัน ทำร้ายทำลายล้างผลาญ และจ้องดูถูกดูหมิ่น นั่นไม่ใช่ความหมายคำว่า วิถีชีวิตที่เจริญซึ่งดำเนินอยู่ในโลกนี้ วิถีชีวิต ที่ต้องดำเนินอยู่ในโลกนี้ ก็คือเป็นวิถีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพิงอาศัย เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ตอบตรงๆ ก็คือเป็นบาป เอาเค้ามาทดลอง แล้วฆ่าเค้าให้ตาย มันก็เป็นบาปทั้งนั้นแหละ เพราะเค้าเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะถ้าเกิดกบ เต่า ปลา เค้าอยากเอาคุณไปทดลองบ้างล่ะจะว่าอย่างไร
ปุจฉา
ผมฟังพระคุณเจ้าวิสัชนา แล้วมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งว่าเห็นด้วยสัตว์ทุกชนิดย่อมรักชีวิตของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ทีนี้ผมลองนึกดูว่าในฐานะที่ผมเป็นคนทดลอง ทดลองมาเพื่อนำยาไปรักษาคนอีกทั่วโลก อย่างนี้มันดูที่เจตนาหรือว่าอะไรครับ
วิสัชนา
บาปก็คือบาป ก็คือคุณฆ่าเค้า บุญก็คือบุญ เพราะคุณช่วยเค้า มันคนละเรื่องกันนะคุณแยกแยะกันให้ออก
ปุจฉา
แล้วเช่นนั้น จะมีวิธีเลี่ยง หรือแก้ไขได้เช่นใด เพราะอย่างไรเค้าต้องใช้สัตว์ที่มีชีวิตมาทดลอง จึงจะทราบว่า จะใช้รักษาคนได้หรือไม่
วิสัชนา
ก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร เพราะฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เมื่อวันก่อน ไปแสดงธรรมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็มีคนถามว่า ฆ่ายุงกับฆ่าแมลงสาบเนี่ยมันเป็นบาปไหม
ฉันก็แนะนำวิธีเลี่ยงบาป แทน ที่จะไปฆ่า ก็ให้เปิดประตูหน้าต่างให้กว้างๆ แล้วฉีดยา แค่พอได้กลิ่น แล้วให้มันบินหนีไปทางประตูหน้าต่าง เพื่อแสดงว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า เพียงแค่ขับไล่เฉยๆ แต่ถ้าปิดประตูหน้าต่างหมดทุกบาน แล้วก็ฉีดๆๆ เจอหน้าแมลงสาบ เห็นแล้วก็ไล่ตามฉีด ไปจองเวรมันอีกเนี่ย อย่างนั้น เมื่อไหร่ๆ ก็บาป เพราะมีเจตนาจะฆ่า
ทีนี้ถ้าถามว่า ที่เราไม่มีเจตนาจะฆ่า แต่มีเจตนาจะทดลอง ฉันคิดว่าสัตว์ทุกชนิดมันไม่ได้ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือทดลองให้ใคร แล้วที่เรา ไปจับเขามาทดลอง เราก็มีเจตนาที่จะจับ เอามันไปขังก็มีเจตนาแล้ว แล้วก็ทรมานมัน ก็เป็นเจตนาแล้ว ผ่ามันก็เป็นเจตนาแล้ว เอามีดชำแหละมันก็เป็นเจตนาแล้ว
แล้วจะอ้างว่าไม่มีเจตนาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเจตนาแล้ว จะไปผ่ามันทำไม เพราะฉะนั้น ถ้าแยกเจตนา ออก มันจะละเอียดเป็นปรมาณู แล้วคุณจะรู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่คุณจับมันมาขังก็เป็นเจตนาแล้วล่ะ
เพราะฉะนั้น อย่ามาปฏิเสธว่า ผมฆ่าเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า มันไม่จริงหรอกคุณ เพราะถ้าไม่มีเจตนาฆ่า คุณจะไปขังมันทำไม แต่เจตนาตัวนั้นไม่บอกให้เห็นว่าคุณเป็นคนโหดร้าย คุณเพียงแค่คิดว่ามันไม่บาป ไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า หรือคิดว่าไม่บาป ไม่ผิด เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่เป็นไร
เพราะฉะนั้น แม้เราจะอ้างว่า เราทำเพื่อช่วยคนอื่น แต่ชีวิตสัตว์ทุกชนิด คุณไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินชีวิตเค้า ไม่มีสิทธิที่จะไปบอกว่า คุณเกิดมาเพื่อมาเป็นสัตว์ทดลองให้ฉันนะ เพราะมันไม่ได้สมัครใจ ถ้าสัตว์ตัวนั้นมันชอบและก็สมยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปุจฉา
ถ้าเช่นนั้น ขอกราบเรียนถามต่อ ไปว่า สำหรับคนที่ทำอาชีพนี้ จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อการรักษาสมดุล ตรงนี้ไว้ ให้เค้าไม่เกิดความรู้สึกเป็นบาป
วิสัชนา
จริงๆ แล้วเนี่ย การเป็นหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ปรุงยารักษาโรคมันดูแทบจะไม่เสมอไปหรอก ที่เราจะต้องใช้สัตว์มาทดลองยา คุณลองไปค้นคว้าดูตำราแพทย์โบราณๆ ที่อยู่ในพระไตรปิฎก ในการทดลองยาหรือใช้ยาในการบำบัดรักษาโรค หมอชีวกโกมารภัจจไม่ได้จับหนู จับเต่าเอามาผ่าหรือเอามาฆ่า
หมอชีวกโกมารภัจจ์มีความสามารถผ่าสมองคนในยุคสองพันหกร้อยกว่าปี เอาตัวจี๊ด เอาพยาธิออกจากสมอง ท่านก็ไม่ได้ไปค้นคว้า ไปทดลองโดยการผ่าหนู ผ่าเต่า ผ่าปู ผ่าปลา ยาบางอย่างท่านก็ทดลองใช้กับตัวเอง ไม่ใช่ไปใช้กับคนอื่น แล้วเมื่อรักษาหายจริงก็จึงเอาไปรักษากับคนอื่น บางเรื่องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า หมอประเภทนี้เป็นหมอที่ไม่ค่อยจะมีบาป มีแต่บุญ เค้าจึงเรียกว่าเป็นหมอเทวดา
แต่หมอที่เรียกตนเองว่าเป็นหมอเทวดา แต่ฆ่าคนอื่นทดลอง แล้วก็เอายานั้นไปรักษาคนอื่นให้หายเนี่ย ไม่น่าจะเป็นหมอเทวดาได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องทำ อย่างชนิดที่ไม่กลัวบาป คุณก็ต้องแยกแยะให้ออกว่า สิ่งที่คุณทำสำคัญ
แค่ไหน จำเป็นมากน้อยอย่างไร แล้วใครเดือดร้อนเพราะคุณทำ ในที่สุด ผลออกมาแล้วมันคุ้มกันไหม
เรื่องของโลกนะคุณ มันไม่มีอะไรจะหนีความผิดไปได้หรอก มันไม่ทำผิด ก็ต้องคิดผิด มันไม่คิดผิดมันก็ต้องทำผิด แต่พยายามอย่าให้มันผิดบ่อยๆ อย่าให้มันผิดถี่ๆ น่าจะดูดีและก็ใช้ได้เหมือนกัน
รวมๆ แล้ว ฉันก็อยากจะบอกคุณว่า ถ้าจำเป็นจะต้องค้นคว้าเนี่ย เราก็ต้องบอกกับตัวเราเองว่า เราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจ ก็ต้องยอมๆ ที่จะรับเอาผลแห่งการกระทำนั้น แต่ถ้าไม่อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจ ก็ต้องหาวิธีใช้กับตัวเองศึกษาตัวเองและหาวิธีที่ไม่ต้องไปเสี่ยงกับการฆ่าสัตว์หรือทำร้ายทำลายสัตว์ให้ตกล่วงมันก็น่าจะมีเยอะแยะเหมือนกัน
หลายครั้งที่ฉันเคยทดลองยา วางยากับตัวเอง ถ้าใช้ได้ผลแล้วจึงจะนำไปใช้กับบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีใจเมตตา มากน้อยแค่ไหนอย่างไร สรุปก็คือ บอกว่าบาปก็คือบาป บุญก็คือบุญ บาปกับบุญจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เราต้องแยกกันให้เด็ดขาด คนบางคน ในหนึ่งนาทีทำบาปมากมาย หลายนาทีต่อมาทำบุญเยอะแยะก็มีบุญมากมาย เพราะฉะนั้น ก็ต้องชั่งดูแล้วว่า บาปกับบุญ คุณทำอะไรมากกว่ากัน
ฉันก็คิดว่า ฉันยังไม่ให้ความกระจ่างกับคุณอยู่ดี เพราะถ้าฉันบอกว่าไม่ควรทำ คุณก็จะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะอยู่กันได้อย่างไร โลกนี้ก็ มีแต่เชื้อโรคทั้งนั้นแหละ เชื้อโรคมันเกิดก่อนคุณ ไม่ใช่คุณเกิดก่อนเชื้อโรค สัตว์อะไรที่ยึดครองโลกนี้ หากคุณคิดว่าจุลินทรีย์ แล้วจุลินทรีย์ก็แบ่งแยกออกเป็นส่วนที่ดีกับไม่ดี คุณก็เรียกมันว่าเชื้อโรคเหมือนกัน
จุลินทรีย์เกิดก่อนพวกคุณ แล้วเมื่อมันเกิดก่อนพวกเรา แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันคุณกำหนดมัน คุณจำกัดมันให้มันอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ปราบมันในเวลาที่มันล่วงเกินก้าวก่าย เรา มันก้าวก่ายสิทธิของเรา เราก็ต้อง ขับไล่มัน และหาวิธีให้มันหยุดการเจริญเติบโต หรือไม่ก็สูญพันธุ์ ขบวน การเหล่านี้ มันก็มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์เป็นพันปีแล้ว แล้วเราอยู่ อย่างนี้เนี่ย ถามว่าเราเป็นบาปไหม ก็ อย่างท่านที่ถามเมื่อครู่ว่า ไม่มีเจตนา ไม่น่าจะเป็นบาป แต่ว่าเราต้องเข้าใจ ความมีชีวิต พระเจ้าหรือใครก็ตามที่ สร้างโลกนี้ขึ้นมา เค้าไม่ได้ให้มนุษย์อยู่อย่างเดียว เค้าให้สรรพสิ่งอยู่ด้วย สรรพชีวิตก็อาศัยได้ด้วย แล้วเราจะอยู่อย่างไรกับสรรพสิ่งกับสรรพชีวิต
อย่างชนิดที่ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ก้าวก่ายกัน และทำชีวิตให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ฉันว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเนี่ย มันเหมือนจะไม่มีโรคอะไร ทุกอย่างมันจะกลืนกินสรรพสิ่ง และมันจะค่อยเป็นค่อยไปของมันเอง แต่ทุกวันนี้ที่มันเกิดโรคมากมาย ก็เพราะว่า มันไปเกิดก้าวก่ายกันและกันมาก และเราก็ไปติดโรคมา เราไปติดโรคเค้า เค้าไปติดโรคเรา และเราก็มาหาวิธีกำจัดโรคนั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว มันก็ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ของการอยู่ร่วมกัน
คุณหลับตานึกภาพไหมว่า คนกับสรรพสิ่งกับสรรพชีวิตมันจะต้องอยู่ร่วมกันแล้วก็ในธรรมชาตินั้น มันก็จะมีกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน กฎเกณฑ์ที่มนุษย์ใช้ก็คือ ศีล 5 บ้าง ศีล 8 บ้าง ศีล 10 บ้าง ศีล 227 บ้าง เหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติและสรรพสิ่ง แต่ทุกวันนี้เรา แทบจะทำร้ายทำลายกฎเกณฑ์พวกนี้ ไปหมด เราล่วงเกินเค้า เค้าล่วงเกินเรา เราก้าวก่ายเค้า เค้าก้าวก่ายเรา ต่างฝ่ายต่างล่วงเกินก้าวก่ายซึ่งกันและกัน คือที่นำมาของเชื้อโรคมากมายมหาศาล คุณลองไปวิเคราะห์ดูโรคที่ดังๆ และสำคัญๆ ที่อุบัติขึ้นในมนุษย์และเกิดจากการล่วงเกินก้าวก่าย เกิดจากการทำร้ายทำลายกติกาของธรรมชาติ แล้วทีนี้เรา ก็จะมาเรียกร้องสิทธิ โดยหาวิธีกำจัดผู้ที่มาก้าวก่ายล่วงเกินเรา แต่ตอนเราไปก้าวก่ายล่วงเกินเค้า ไม่เห็นพูดบ้างเลย อันที่จริงสิ่งที่มาก้าวก่ายล่วงเกินเราก็คือสรรพสิ่งสรรพชีวิตที่เราอิงอาศัยเค้า เมื่อเราไปล่วงเกินก้าวก่ายเค้า เค้าก็เข้ามาสู่ตัวเรา แล้วเราก็ต้องหาวิธีกำจัดเค้า แล้วเราก็บอกว่าเค้าผิด
ฉันว่ามันไม่ค่อยถูกต้อง ไม่ค่อยจะยุติธรรมสักเท่าไหร่ อยากจะบอกว่า วิธีกันโรคได้ดีที่สุด แก้โรคได้ชะงัดที่สุด ป้องกันโรคได้เยี่ยมที่สุดก็คือรักษากติกาของธรรมชาติ แล้วคุณจะไม่เป็นโรคอะไรเลย