พระโสดาบันคือผู้ละสักกายทิฏฐิได้เด็ดขาด พวกเราผู้ที่ปรารถนา จะบรรลุโสดาปัตติผลจึงควรสนใจศึกษาเรื่องสักกายทิฏฐิให้ดี
สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่ากายใจหรือรูปนามหรือขันธ์ ๕ เป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อปรารถนาจะละความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนาม ก็จำเป็นจะต้องศึกษาเข้ามาที่รูปนามหรือกายใจของตน จะเที่ยวไปศึกษาเรื่องอื่นเพื่อจะทำลายความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนามไม่ได้ จำเป็นต้องหมั่นศึกษารูปนามของตนจนเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกว่าตัวเรา ไม่มี มีแต่รูปกับนาม เมื่อเกิดความรู้ถูกแล้วความเห็นผิดก็เป็นอันถูกละไปเองเรียบร้อยแล้ว
การศึกษารูปนามเพื่อให้เกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกนี้เองคือสิ่งที่เรียกว่า การเจริญวิปัสสนา ดังนั้นถ้าจะเจริญวิปัสสนาก็ต้องรู้รูปนาม ถ้าพยายาม หรือหลงไปรู้สิ่งอื่นก็ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา นี้แหละเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติละสักกายทิฏฐิได้
สักกายทิฏฐินั้นชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความคิดความเห็น และตามธรรมดาของปุถุชนนั้นย่อมจะมีความเห็นผิดอยู่เสมอ จะให้เห็นถูกอย่างพระอริยบุคคลไม่ได้ แม้จะพยายามใช้ความคิดหรือใช้ความเห็นพิจารณารูปนามของตนอย่างไร ก็จะเข้าใจได้เพียงแค่ว่า ตัวเรามีอยู่ แต่อาจจะมีอยู่อย่างถาวรในลักษณะที่ว่าเมื่อกายนี้ตายลง จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ หรือบางคนก็เห็นว่าเรามีอยู่ แต่มีอยู่เพียงชั่วคราวเมื่อ ตายแล้วก็ขาดสูญไปเลยก็ได้
ความเห็นผิดว่าเรามีอยู่นี้แหละคือสักกายทิฏฐิ ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรว่าเราไม่มี สิ่งที่รู้สึกได้ก็ยังมีเราอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าพวกเราเกิดความรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เราจะหลุด ออกมาจากโลกของความคิดมาอยู่กับโลกของความจริงอันมีสภาพรู้ ตื่น และเบิกบาน จากนั้นเมื่อสติเกิดระลึกรู้กายก็จะรู้สึกได้ทันทีว่ากายไม่ใช่เรา แต่เป็นเพียงก้อนธาตุหรือรูปธรรมที่มาประชุมกันอยู่ชั่วคราว มีธาตุหมุน เวียนไหลเข้าไหลออกเป็นนิจ มีความทุกข์บีบคั้นอยู่เป็นนิจ และไม่อยู่ใน อำนาจบังคับ และเมื่อสติเกิดระลึกรู้จิต ก็จะรู้สึกได้ว่าจิตและเจตสิกไม่ใช่เรา แต่เป็นเพียงสภาพธรรมบางอย่างที่รู้อารมณ์ มีลักษณะเกิดดับต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่คงทนอยู่ได้และบังคับไม่ได้ เมื่อเห็นอย่างนี้มากเข้าในที่สุดปัญญาก็จะแก่รอบ แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจและยอมรับความจริงขึ้นอย่างฉับพลันว่า เราไม่มี มีแต่รูปกับนามซึ่งเกิด ดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย สักกายทิฏฐิก็เป็นอันถูก ทำลายลงไปในทันทีนั้น
ขอให้พวกเราหยุดความพยายามที่จะทำลายสักกายทิฏฐิด้วยวิธีการต่างๆ แล้วหันมาปลุกจิตให้ตื่นขึ้นเป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แทนที่จะเป็นเพียงจิตผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง เมื่อจิตตื่นขึ้นมาแล้วก็หมั่นมีสติตาม รู้กายตามรู้ใจอยู่เนืองๆ นี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย แต่มันยากตรงที่พวกเราเอาแต่คิดหรือพยายามหาวิธีปฏิบัติต่างๆนานา แทนที่จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วตามรู้กายตามรู้ใจไปตามความ เป็นจริงด้วยจิตใจที่ปกติธรรมดานี้เอง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่ากายใจหรือรูปนามหรือขันธ์ ๕ เป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อปรารถนาจะละความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนาม ก็จำเป็นจะต้องศึกษาเข้ามาที่รูปนามหรือกายใจของตน จะเที่ยวไปศึกษาเรื่องอื่นเพื่อจะทำลายความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนามไม่ได้ จำเป็นต้องหมั่นศึกษารูปนามของตนจนเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกว่าตัวเรา ไม่มี มีแต่รูปกับนาม เมื่อเกิดความรู้ถูกแล้วความเห็นผิดก็เป็นอันถูกละไปเองเรียบร้อยแล้ว
การศึกษารูปนามเพื่อให้เกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกนี้เองคือสิ่งที่เรียกว่า การเจริญวิปัสสนา ดังนั้นถ้าจะเจริญวิปัสสนาก็ต้องรู้รูปนาม ถ้าพยายาม หรือหลงไปรู้สิ่งอื่นก็ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา นี้แหละเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติละสักกายทิฏฐิได้
สักกายทิฏฐินั้นชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความคิดความเห็น และตามธรรมดาของปุถุชนนั้นย่อมจะมีความเห็นผิดอยู่เสมอ จะให้เห็นถูกอย่างพระอริยบุคคลไม่ได้ แม้จะพยายามใช้ความคิดหรือใช้ความเห็นพิจารณารูปนามของตนอย่างไร ก็จะเข้าใจได้เพียงแค่ว่า ตัวเรามีอยู่ แต่อาจจะมีอยู่อย่างถาวรในลักษณะที่ว่าเมื่อกายนี้ตายลง จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ หรือบางคนก็เห็นว่าเรามีอยู่ แต่มีอยู่เพียงชั่วคราวเมื่อ ตายแล้วก็ขาดสูญไปเลยก็ได้
ความเห็นผิดว่าเรามีอยู่นี้แหละคือสักกายทิฏฐิ ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรว่าเราไม่มี สิ่งที่รู้สึกได้ก็ยังมีเราอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าพวกเราเกิดความรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เราจะหลุด ออกมาจากโลกของความคิดมาอยู่กับโลกของความจริงอันมีสภาพรู้ ตื่น และเบิกบาน จากนั้นเมื่อสติเกิดระลึกรู้กายก็จะรู้สึกได้ทันทีว่ากายไม่ใช่เรา แต่เป็นเพียงก้อนธาตุหรือรูปธรรมที่มาประชุมกันอยู่ชั่วคราว มีธาตุหมุน เวียนไหลเข้าไหลออกเป็นนิจ มีความทุกข์บีบคั้นอยู่เป็นนิจ และไม่อยู่ใน อำนาจบังคับ และเมื่อสติเกิดระลึกรู้จิต ก็จะรู้สึกได้ว่าจิตและเจตสิกไม่ใช่เรา แต่เป็นเพียงสภาพธรรมบางอย่างที่รู้อารมณ์ มีลักษณะเกิดดับต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่คงทนอยู่ได้และบังคับไม่ได้ เมื่อเห็นอย่างนี้มากเข้าในที่สุดปัญญาก็จะแก่รอบ แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจและยอมรับความจริงขึ้นอย่างฉับพลันว่า เราไม่มี มีแต่รูปกับนามซึ่งเกิด ดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย สักกายทิฏฐิก็เป็นอันถูก ทำลายลงไปในทันทีนั้น
ขอให้พวกเราหยุดความพยายามที่จะทำลายสักกายทิฏฐิด้วยวิธีการต่างๆ แล้วหันมาปลุกจิตให้ตื่นขึ้นเป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แทนที่จะเป็นเพียงจิตผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง เมื่อจิตตื่นขึ้นมาแล้วก็หมั่นมีสติตาม รู้กายตามรู้ใจอยู่เนืองๆ นี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย แต่มันยากตรงที่พวกเราเอาแต่คิดหรือพยายามหาวิธีปฏิบัติต่างๆนานา แทนที่จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วตามรู้กายตามรู้ใจไปตามความ เป็นจริงด้วยจิตใจที่ปกติธรรมดานี้เอง
(อ่านต่อฉบับหน้า)