xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา:4 ขั้นในการพัฒนาจิตส่วนที่เป็นกุศล คือ เรียน ทำ หยุดพิจารณา เมื่อรู้แล้วก็ละ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา
อัพยากฤต


ขอความเมตตาหลวงปู่ อธิบาย คำว่าอัพยากฤต และกระบวนการพัฒนาจิต

วิสัชนา

ถ้าอัพยากฤตเกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่งแล้วตาย พวกนี้จะไปเกิดเป็น พวกคนธรรพ์ นางกินรี นางอัปสร ที่อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นพวกเฝ้าจอมปลวก เฝ้าสมบัติ แต่ไม่ใช่พระภูมิเจ้าที่ ไม่ใช่ภูมิเทวดา เป็นพวกกินนร เป็นพวกที่ต้องไปอยู่ในป่าหิมพานต์ พวกที่บำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญธรรม เพื่อจะกลับเข้ามาสู่ในกระแสของกุศล หรืออกุศล

พวกที่มีอัพยากฤตจิตประเภทนี้ เป็นพวกที่มีกุศลเป็นตัวนำเยอะมากๆ คือ มีกุศลนำมาตลอดแล้วจิตมันวูบเข้าไปในอัพยากฤตจิตจะมีอายุยืนยาวมาก ไปเกิดเป็นพรหม รูปพรหมสูงส่ง พระพุทธเจ้าเกิดนิพพานแล้ว 5-6 องค์ จึงจะหมดอายุ ขัยลงมาเกิด ซึ่งก็เป็นกลียุคแล้ว ยุค ที่โลกธาตุแตกสลายกระฉานซ่านเซ็น ภัยพิบัติเกิดปรากฏขึ้นทุกหย่อมหญ้า

พวกอัพยากฤตจิตนี้เทียบคล้ายๆ กับพวกเอกัคคตาจิตได้เหมือนกัน แต่ว่ามันควบคุมไม่ได้ มันไม่เหมือนกับกุศลจิตหรืออกุศลจิต เพราะมันมีแรงดูด แรงดัน แรงผลัก เหมือนกับเส้นใยบางๆ ที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

กุศลกับอกุศลก็เหมือนกัน กุศล ก็เส้นใยสีทองหรือสีขาวบางๆ ผูกไว้ อกุศลก็เส้นใยสีดำทะมึนผูกไว้ จะห่างไกลแค่ไหนก็ไม่ขาดจากกัน แต่อัพยากฤตจิตนี่เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์ที่โดนตัดเชือกแล้วมันลอยไป เองโดยอำนาจแห่งลมพาไป ดังนั้นหน้าที่ของเรา เมื่อรู้ว่าสภาพจิตมันมีอย่างนี้ อัพยากฤตจิตไม่ดี อกุศลก็ไม่ดี อัปรีย์ กุศลเท่านั้นจึงจะดี แล้วกุศลนั้นเป็นจิตอย่างไร

จิตที่มีกุศล คือ จิตที่มีสภาวะความรู้ชัด เป็นจิตที่ไม่มีอกุศลมาเกาะเกี่ยว ไม่มีความปรุงแต่ง จิตที่ดิ่งนิ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็จัดว่าเป็นจิตส่วนที่เป็นกุศล

จะเล่าสภาพจิตส่วนที่เป็นกุศล จิตแรกให้พวกคุณฟังว่า มันคือความ สำนึก ใคร่เรียนใคร่รู้ ใคร่ศึกษาที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิตวิริยะ หรือวิริยจิต จิตที่เป็นกุศลในส่วนวิริยจิตนี้ มีพัฒนาการของจิต ในวิริยจิตก็มี ขันติจิต สติจิต สมาธิจิต ภาวนาจิต แล้วก็มีการขวนขวายแสวงหาอยากทำดีให้สูงๆ ขึ้น มันเป็นความอยากทำส่วนที่เป็นกุศลตลอดเวลา เห็นคน ทุกข์ยากก็อยากช่วยเหลือ เห็นคนลำบากก็อยากให้การอุปถัมภ์ส่งเสริม เห็นสัตว์ทั้งหลายเดินทางไปสู่ความตายก็แผ่เมตตาสงสาร อนุเคราะห์

หลวงปู่นั่งรถมา บางทีเจอรถบรรทุกหมูจะไปโรงฆ่า หลวงปู่ก็นั่งมองมันแล้วก็นึกว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข เกิดชาติหน้าฉันใดอย่าไปเกิดเป็นหมูให้เขาฆ่า ให้พ้นทุกข์ภัย จิตอย่างนี้เป็นจิตที่มีกุศลเป็นตัวนำพัฒนาให้จิตสูงขึ้น

กุศลอีกระดับหนึ่งก็คือ จิตนิ่ง นิ่งตัวนี้ไม่มีสงสาร ไม่มีวิริยะ ไม่มีขันติ ไม่มีโสรัจจะ นิ่งเฉยๆ เขาเรียกว่า เจริญสมถะ หรือหยุดอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

พัฒนาจิตขึ้นมาอีกจากนิ่งให้สูงขึ้นมาอีกในส่วนที่เป็นกุศล รอบรู้เข้าใจแจ่มแจ้ง ชัดเจน แล้วก็สอดคล้องตามความเป็นจริง จิตรู้พัฒนาต่อไป มันไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้ ขั้นตอนของการพัฒนาจิต มันมีจิตละ พอรู้แล้วต้องละ พัฒนาต่อไป

เราจะเห็นว่านี่คือ 4 ขั้นตอนใน การพัฒนาจิตของส่วนที่เป็นกุศล ขั้นตอนแรกเรียน ขั้นตอนที่สองทำ ขั้นตอนที่สามหยุดพิจารณา ขั้นตอน ที่สี่รู้แล้วก็ละ ที่ว่าเรียนนั้นก็คือ สภาวะที่เรารักษาศีล ฟังธรรม แผ่เมตตา สวดมนต์ภาวนา นั่นเป็นขั้นตอนเดิมๆ ของจิตในส่วนที่เป็นกุศล กตัญญู ซื่อสัตย์ รักความถูกต้อง ชอบธรรม มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว นั่นคือ ลักษณะของการเรียนรู้แห่งจิต พัฒนาการของจิตในส่วนของจิตที่เป็นกุศล

ขยับขึ้นมาสูงอีกหน่อย ก็รักษาศีล มีจิตจดจ่ออยู่ในองค์แห่งคุณงามความดี มีจิตจดจ่ออยู่ในสิ่งที่เป็นสัจจะ หรือความมุ่งหมายตรงต่อเป้าประสงค์อย่างไม่คลาดเคลื่อน เลื่อนหลุด นั่นคือ การพัฒนาของจิต ในขั้นต่อมา แล้วก็ทำจิตให้หยุด รับรู้เรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นผู้เข้าใจแจ่มแจ้ง

ส่วนจิตสุดท้ายก็ละวาง ปล่อยทุกเรื่องที่ปรากฏขึ้นทั้งจริง ไม่จริง รู้ไม่รู้ พัฒนาการของจิตอกุศลก็เหมือนกัน แต่มันจะต่างกันตรงที่ว่า จิตอกุศลนั้นมีพัฒนาการไปในทางใฝ่ต่ำเสมอ ดำเสมอ มืดเสมอ ทุกข์เสมอ ลำบากเสมอ บอดเสมอ แล้วก็มีความไม่รู้เสมอ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ก็ต้องถามตัวเอง มีข้อบัญญัติเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ถ้าเรารู้เป็นกุศล ถ้าไม่รู้เป็นอกุศล

ถามว่าหลวงปู่พูดเองหรือ... ไม่ใช่ เพราะว่ามีบัญญัติไว้ในหลักพระศาสนาว่า อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดตัณหาอุปาทาน อวิชชาคือ ความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดชาติ ชรา มรณะ พยาธิ อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ อวิชชาเป็นเหตุให้ไม่รุ่งเรืองปัญญา คำว่าอวิชชา คือความไม่รู้นั่นเอง เมื่อใดที่จิตเราไม่รับรู้ หรือไม่รู้ อกุศลมันเกิดแล้ว

ความหมายรู้ในจิตสามอย่างนี้ มันเป็นเครื่องเลือกสรรที่อยู่ในจิตว่าตอนนี้เราจะอยู่บ้านหลังไหน มันเหมือนบ้านสามหลัง หลังสว่าง หลังมืด แล้วก็อีกหลังหนึ่งไม่มีหน้าต่าง มืดก็ไม่ใช่ ลมพัดก็ไม่พัด มันสว่างด้วย แต่มันไม่มีหน้าต่าง นั่นคือ อัพยากฤตจิต คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปอยู่ในบ้านหลังนั้น และคนโง่เท่านั้นแหละที่จะมาอยู่ในบ้านมืดบอดสนิท คนฉลาดมีวิชาเท่านั้นจึงไปอยู่บ้านหลังที่สว่างปลอดโปร่ง โล่ง เบาสบาย หลังนั้นก็เรียกว่า กุศล

หลายเดือนที่ผ่านมานี้ หลวงปู่พยายามพร่ำสอนให้เรามีองค์ประกอบของจิตในส่วนที่เป็นกุศลเบื้องต้น การสดับรับฟัง มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว ต่อมาก็พยายามพร่ำบ่นสอนสั่ง ให้รู้จักรักษาศีล ละอายชั่วกลัวบาปนั่นคือ พัฒนาการของจิต

บ่อยครั้งมากที่มีพัฒนาการทางจิต ที่หลวงปู่พยายามพร่ำสอนบอกกล่าวว่า พยายามทำความสงบให้ ปรากฏขึ้นในจิต แล้วก็บ่อยครั้งมากหรือหลายครั้งมากที่จะพยายามบอกว่า นอกจากพัฒนาการของจิตที่มี ความสงบแล้ว จำเป็นจะต้องรู้จักที่จะรู้ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า สภาพ ที่เกิดขึ้นนั้นมันจะต้องรู้ชัดจริง แต่ไม่ได้บ่อยครั้งที่หลวงปู่บอกว่าให้เราวางมัน ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะมันไม่ได้วาง

โดยคำบอก จิตสุดท้ายแห่งกุศลนี้ หลวงปู่จะไม่สอน พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่า เมื่อใดที่เรามีขั้นตอน 3 ประการพร้อมมูล คือ เรียน นิ่ง รู้แจ้ง แล้วมันวางเอง แต่สามตอนแรกนี้หลวงปู่จะพยายามพร่ำสอนตลอด บอกกล่าวตลอด มีน้ำใจนะลูก รู้จักให้อภัยนะ อย่าเห็นแก่ตัว รักษาศีลไว้นะลูก ว่างๆ รู้จักทำจิตให้สงบ ผ่อนคลายบ้าง แล้วก็รู้ชัดตาม ความเป็นจริงว่า อะไรมันเกิดขึ้น

เหล่านี้คือองค์ประกอบของจิตในส่วนที่เป็นกุศลทั้งหมดทั้งปวง สามขั้นตอนแรกสอนแล้ว สอนหมด สอนเยอะมาก แต่ขั้นตอนสุดท้ายที่ไม่จำเป็นต้องสอนคือการวางแห่งจิต เพราะเหมือนกับคนที่รู้ว่าสิ่งที่กำอยู่มันเป็นขี้ ไม่ต้องไปบอกให้โยนหรอก มันโยนทิ้งเองแน่ เว้นแต่ว่ามองเห็นขี้ เป็นทองนั่นแหละ ก็จะกำไว้จนแน่นเลย ถ้าเช่นนั้นก็ยังต้องกลับไปสู่จุดเดิมของจิตที่พัฒนาการเริ่มแรกใหม่อีกรอบหนึ่งก่อน จึงจะไปถึงคำว่าวางในตอนสุดท้าย

ครั้งต่อไปจะสอนลักษณะของจิตในส่วนอกุศลว่า มีองค์ประกอบอะไร และขอบอกให้รู้ว่า ถ้าคำว่า ไม่รู้ เกิดขึ้นปรากฏขึ้นก็เป็นอกุศลทั้งนั้น โดยจิตเป็นตัวกำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น