4. ผลที่เกิดจากความสุดโต่ง
ความสุดโต่งทั้งสองด้านเป็นอุปสรรคต่อการ เจริญวิปัสสนา เพราะการเจริญวิปัสสนาคือการมีสติระลึกรู้รูปที่กำลังปรากฏอยู่เนืองๆ หรือมีสติตาม ระลึกรู้นามที่เพิ่งดับไปอยู่เนืองๆ โดยต้องเป็นการ รู้สภาวะของรูปนามตามความเป็นจริงด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงบังคับกดข่มหรือดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อรู้บ่อยเข้า ในที่สุด ก็จะเกิดปัญญาคือเกิดความรู้ความเข้าใจรูปนามอย่างถูกต้องว่า รูปนามมีลักษณะไม่เที่ยงคือเกิดแล้วก็ดับไป เป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตาคือไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร เมื่อเกิดปัญญาแจ่มแจ้งแล้ว จิตจะปล่อยวางความถือมั่นในรูปนาม แล้วได้ประจักษ์ถึงนิพพานอันเป็นสภาวะที่พ้นจากกิเลส และพ้นจากรูปนาม หรือทุกข์ทั้งปวง
เมื่อใดจิตสุดโต่งไปในข้างการหลงตามกิเลส เมื่อนั้นจิตจะหลงอารมณ์อันเป็นบัญญัติและจะรู้รูปนาม/กายใจของตนเองไม่ได้เลย และเมื่อใดเกิดการบังคับกดข่มกายและใจ เมื่อนั้นกายและใจจะถูกดัดแปลงให้ผิดไปจากธรรมดาที่ควรจะเป็น ผู้ปฏิบัติย่อมไม่สามารถรู้รูปนามตามความเป็นจริงได้ ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิดความเห็นผิดว่ากายกับจิตใจเป็นอัตตา คือเป็นสิ่งที่บังคับควบคุมได้ตามใจปรารถนา
ดังนั้นถ้าจิตของผู้ปฏิบัติเดินทางผิดคือไปหลงอยู่ในทางสุดโต่งทั้งสองด้านนี้ หรือแม้เพียงด้านใดด้านหนึ่ง ผู้ปฏิบัติจะไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ นั่นหมายถึงว่าไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ได้เลย ทางผิดทั้งสองสายนี้จึงเป็นทางผิดที่ติดตาย คือติดไปเรื่อยๆ จนตายก็หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ และจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะหลุดออกจากทางผิดทั้งสองสายนี้ได้
5. ความเป็นไปได้ที่จิตจะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่ง และเดินทางสายกลางได้เอง
เรื่องนี้ขอตอบอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จิตของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่งและเดินอยู่ในทางสายกลางได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุดโต่งในด้านการหลงตามกิเลส แล้วเที่ยวแสวงหาอารมณ์ที่เพลิดเพลิน พอใจ ซึ่งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายติดข้องกันอยู่แทบทั้งนั้น ส่วนผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม นอกจากจะหลงสุดโต่งตามใจกิเลสแล้ว พอคิดถึงการปฏิบัติเมื่อใด ก็มักจะหลงสุดโต่งไปในข้างการบังคับกายบังคับใจของตนเองอีกด้วย
ผู้ที่จะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่งได้เด็ดขาดจริงๆ ก็คือผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมจนมีมัคคา มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ อันเป็นวิสุทธิมรรคลำดับที่ 5 ในหลักธรรมเรื่องวิสุทธิ 7 ซึ่งตรงกับโสฬสญาณ ที่ 3 และ 4 ชื่อสัมมสนญาณและอุทยัพพยญาณ แต่พวกเราจะข้ามความสนใจในศัพท์ที่จำยากเหล่านี้ไปก่อนก็ได้ เพราะเราสามารถศึกษาธรรมได้ โดยไม่ต้องรู้ศัพท์ภาษาบาลีอันเป็นบัญญัติ ขอให้รู้เห็นปรมัตถ์คือสภาวะของจริงของรูปนามเนืองๆ โดยไม่เผลอและไม่เพ่ง ก็พอจะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย ของทางสายกลางได้บ้างแล้ว จากนั้นจิตจะค่อยพัฒนาไปได้เป็นลำดับๆ จนสามารถเห็นความเกิด ดับของรูปนามได้ ก็เป็นอันว่าได้รู้จักทางสายกลาง อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้การเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น ถ้าเห็นรูปนามใหม่ปรากฏขึ้นจึงอนุมาน ได้ว่ารูปนามเก่าดับไปแล้ว ก็เรียกว่าสัมมสนญาณ ซึ่งยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะยังเจือด้วยการคิด แต่ถ้าเห็นรูปนามเก่าดับไป แล้วเห็นรูปนามใหม่เกิดขึ้นโดยแยกขาดจากรูปนามเก่า ก็เรียกว่า อุทยัพพยญาณ ซึ่งจัดเป็นวิปัสสนาญาณขั้นต้น
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า
วิธีสังเกตว่าจิตหลงสู่ทางที่สุดโต่งหรือไม่)
ความสุดโต่งทั้งสองด้านเป็นอุปสรรคต่อการ เจริญวิปัสสนา เพราะการเจริญวิปัสสนาคือการมีสติระลึกรู้รูปที่กำลังปรากฏอยู่เนืองๆ หรือมีสติตาม ระลึกรู้นามที่เพิ่งดับไปอยู่เนืองๆ โดยต้องเป็นการ รู้สภาวะของรูปนามตามความเป็นจริงด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงบังคับกดข่มหรือดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อรู้บ่อยเข้า ในที่สุด ก็จะเกิดปัญญาคือเกิดความรู้ความเข้าใจรูปนามอย่างถูกต้องว่า รูปนามมีลักษณะไม่เที่ยงคือเกิดแล้วก็ดับไป เป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตาคือไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร เมื่อเกิดปัญญาแจ่มแจ้งแล้ว จิตจะปล่อยวางความถือมั่นในรูปนาม แล้วได้ประจักษ์ถึงนิพพานอันเป็นสภาวะที่พ้นจากกิเลส และพ้นจากรูปนาม หรือทุกข์ทั้งปวง
เมื่อใดจิตสุดโต่งไปในข้างการหลงตามกิเลส เมื่อนั้นจิตจะหลงอารมณ์อันเป็นบัญญัติและจะรู้รูปนาม/กายใจของตนเองไม่ได้เลย และเมื่อใดเกิดการบังคับกดข่มกายและใจ เมื่อนั้นกายและใจจะถูกดัดแปลงให้ผิดไปจากธรรมดาที่ควรจะเป็น ผู้ปฏิบัติย่อมไม่สามารถรู้รูปนามตามความเป็นจริงได้ ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิดความเห็นผิดว่ากายกับจิตใจเป็นอัตตา คือเป็นสิ่งที่บังคับควบคุมได้ตามใจปรารถนา
ดังนั้นถ้าจิตของผู้ปฏิบัติเดินทางผิดคือไปหลงอยู่ในทางสุดโต่งทั้งสองด้านนี้ หรือแม้เพียงด้านใดด้านหนึ่ง ผู้ปฏิบัติจะไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ นั่นหมายถึงว่าไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ได้เลย ทางผิดทั้งสองสายนี้จึงเป็นทางผิดที่ติดตาย คือติดไปเรื่อยๆ จนตายก็หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ และจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะหลุดออกจากทางผิดทั้งสองสายนี้ได้
5. ความเป็นไปได้ที่จิตจะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่ง และเดินทางสายกลางได้เอง
เรื่องนี้ขอตอบอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จิตของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่งและเดินอยู่ในทางสายกลางได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุดโต่งในด้านการหลงตามกิเลส แล้วเที่ยวแสวงหาอารมณ์ที่เพลิดเพลิน พอใจ ซึ่งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายติดข้องกันอยู่แทบทั้งนั้น ส่วนผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม นอกจากจะหลงสุดโต่งตามใจกิเลสแล้ว พอคิดถึงการปฏิบัติเมื่อใด ก็มักจะหลงสุดโต่งไปในข้างการบังคับกายบังคับใจของตนเองอีกด้วย
ผู้ที่จะไม่หลงไปสู่ความสุดโต่งได้เด็ดขาดจริงๆ ก็คือผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมจนมีมัคคา มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ อันเป็นวิสุทธิมรรคลำดับที่ 5 ในหลักธรรมเรื่องวิสุทธิ 7 ซึ่งตรงกับโสฬสญาณ ที่ 3 และ 4 ชื่อสัมมสนญาณและอุทยัพพยญาณ แต่พวกเราจะข้ามความสนใจในศัพท์ที่จำยากเหล่านี้ไปก่อนก็ได้ เพราะเราสามารถศึกษาธรรมได้ โดยไม่ต้องรู้ศัพท์ภาษาบาลีอันเป็นบัญญัติ ขอให้รู้เห็นปรมัตถ์คือสภาวะของจริงของรูปนามเนืองๆ โดยไม่เผลอและไม่เพ่ง ก็พอจะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย ของทางสายกลางได้บ้างแล้ว จากนั้นจิตจะค่อยพัฒนาไปได้เป็นลำดับๆ จนสามารถเห็นความเกิด ดับของรูปนามได้ ก็เป็นอันว่าได้รู้จักทางสายกลาง อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้การเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น ถ้าเห็นรูปนามใหม่ปรากฏขึ้นจึงอนุมาน ได้ว่ารูปนามเก่าดับไปแล้ว ก็เรียกว่าสัมมสนญาณ ซึ่งยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะยังเจือด้วยการคิด แต่ถ้าเห็นรูปนามเก่าดับไป แล้วเห็นรูปนามใหม่เกิดขึ้นโดยแยกขาดจากรูปนามเก่า ก็เรียกว่า อุทยัพพยญาณ ซึ่งจัดเป็นวิปัสสนาญาณขั้นต้น
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า
วิธีสังเกตว่าจิตหลงสู่ทางที่สุดโต่งหรือไม่)