xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา : เรื่องบางเรื่องคนมีปัญญามองว่าไม่มีอะไรแต่คนที่ไม่มีปัญญาจะมองว่าเป็นปัญหา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา
วิธีคิดแก้เซ็งชีวิต


รู้สึกเบื่อ เหนื่อย และเซ็งชีวิตครับ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แค่เพียงฆ่าเวลา ผ่านไปก็ครึ่งอายุขัยแล้วยังหา ความหมายของตัวเองไม่เจอครับ ขอมุมมองใหม่จากหลวงปู่ด้วย เผื่อจะช่วยให้มีกำลังใจทำชีวิตให้ดีกว่านี้

วิสัชนา

หลวงปู่เสียดายเวลาที่มันกัดกิน สรรพสิ่งและกลืนกินสรรพสัตว์ อย่า ปล่อยให้มันกินเราฟรีๆ เราต้องได้อะไรตอบแทนจากการที่มันจะกินเราด้วย อย่างน้อยเราก็ยังเหลือสารประโยชน์ของการงานที่ได้ทำ

ความเสื่อมมันเกิดขึ้นทุกขณะ ทุกเวลา ทุกโอกาส เสื่อมอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเสื่อมปัญญา เรื่องของคนที่เสื่อมปัญญานี้ ขอเตือนเอาไว้ว่า เป็นความเสื่อมที่เลวร้าย และเป็นความเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ เพราะมันทำร้าย ทำลายตัวเราทั้งไกลทั้งใกล้ ความ-หมายของการเสื่อมปัญญา คือทำให้เราหลง โง่ งมงาย เชื่อง่าย ไร้สาระ ทำให้เรามองอะไรไม่เห็นกระจ่าง คิด อะไรไม่แจ่มแจ้ง พูดอะไรไม่ชัดเจน ทำอะไรไม่หมดจด คนที่เสื่อมปัญญาเป็นคนค่อนข้างที่จะรก เลอะเทอะ รุ่มร่าม เปรอะเปื้อน

ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนคนทั้งหลาย สอนสรรพสัตว์ว่า ปัญญาคือแสงสว่างของโลก คนมีปัญญานี่ มันสว่างทุกเวลา พระจันทร์สว่างกลางคืน พระอาทิตย์สว่างกลางวัน แต่คนมีปัญญาสว่างทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้ามีปัญญาแล้วมันต้องรู้จักใช้ปัญญาวิเคราะห์ใคร่ครวญ หรือวิเคราะห์พิจารณา

เรื่องบางเรื่องคนที่มีปัญญามองว่าไม่มีอะไร แต่คนที่ไม่มีปัญญาจะมองว่าเป็นปัญหา มีอะไรมากมาย เรื่องบางเรื่องคนมีปัญญาเขา มองว่าเป็นเรื่องง่ายมาก ผ่อนคลายสบายๆ แต่คนไม่มีปัญญาจะมองเหมือนกับว่ามีสิ่งเคลือบแอบแฝงคลางแคลงและสำแดงในทางที่ผิดปกติเสมอ เพราะอารมณ์แห่งความวิตกกังวล อารมณ์แห่งความกลัว กลัดกลุ้มเร้ารุมให้เขากลายเป็นคนคิดมาก กังวลมาก วิเคราะห์มาก ใคร่ครวญมาก บางครั้งเหมือนกับพายเรือในอ่างใบเล็กๆ มันไม่หลุดทะลุออกไปสู่ทะเล ขยันจริงๆ ขยันพาย แต่พายไม่พ้นอ่างสักที พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะนำเรือออกทะเลไปสู่ฝั่งได้ ถ้าไม่มีปัญญามันจะไปไม่ได้

ปัญญามันเกิดมาจากอะไรล่ะ ปัญญาเกิดมาจากการบริหารเวลา เวลาที่กลืนกินสรรพสิ่งและกินสรรพสัตว์ ถ้าเราบริหารมันได้อย่างมีประโยชน์ทุกเวลานาที แม้มันจะกิน เราก็ไม่เป็นไร แต่เราจะได้อะไรจากมันมากมายมหาศาล เราแก่ลงไม่เป็นไร เพราะกว่าจะถึงคำว่าแก่ลงนี้ เราได้อะไรกลับมาเป็นสาระเป็นชีวิตของจิตวิญญาณเราเยอะแยะมากมาย เป็นเครื่องชี้นำบอกกล่าวให้เรารู้ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป สิ่งที่ทิ้งเอาไว้คือของมีค่ามีราคา คนบริหารเวลาเป็นเขาจะทำทุกเรื่องให้เกิดสารประโยชน์และได้ประโยชน์สูงสุด คือ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ความเข้าใจจาก การงานเยอะขึ้น

ในการเรียนรู้จากการบริหารประสบการณ์ทางวิญญาณ กาลเวลา นั้นมันทำให้เข้าใจสภาวะความเป็นจริงมากขึ้น และก็รอบรู้มากมายปรากฏให้เห็นเด่นชัด ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่รู้จักบริหารเวลาและมักมีคำพูดติดปากว่า ไปดูหนังฆ่าเวลากันหน่อย ไปเล่นไพ่ฆ่าเวลากันหน่อย เมาท์ฆ่าเวลากันหน่อย ไปเที่ยวฆ่าเวลากันหน่อย เข้าใจอะไรผิดไป หรือเปล่า เวลาน่ะไม่ต้องไปฆ่าหรอก ดีไม่ดีมันกลับมาฆ่าเราต่างหาก เพราะเวลาที่ผ่านไป ทุกวันทุกนาทีทุกโอกาส มันผ่านไปมันก็พาเราไปด้วย เวลาที่วิ่งผ่านไปมันเอาหนังตึงๆ ของเราไปด้วย เอาตาสดใส เอาผมดำขลับ เอาร่างกายที่สวยงาม เอาพลังวังชา เอาแรงเอาพลังชีวิตของเรา ไปด้วย ดีไม่ดีมันก็เอาสุขภาพเราไปด้วย เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเราต้อง ฆ่ามันทิ้งด้วยการไปทำเรื่องไร้สาระ เลิกซะทีเถอะ ชวนกันไปเล่นไพ่ฆ่าเวลา จับกลุ่มนินทาชาวบ้านเพื่อฆ่า เวลา เลิกซะทีที่มีเวลาว่างๆ ก็ไม่รู้จัก คิดสิ่งที่เป็นสาระ คิดแต่ที่จะตำหนิ ติคนโน้นคนนี้ หลวงปู่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงคิดอย่างนี้ ไม่เห็นภัย ไม่เข้าใจชีวิตหรืออย่างไร

อยากเล่าความรู้สึกของหลวงปู่ ที่นึกอยู่ในใจให้ฟังสักเรื่องว่า เมื่อไม่ นานมานี้หลวงปู่ป่วย แล้วเพื่อนๆ พระเขาก็มาเยี่ยม เขามาบอกว่า อืม! ท่านนี่น่าจะเข้าป่าซะทีนะ เพราะว่าอยู่ ข้างนอกก็ทำให้ป่วยทรมานไม่รู้จักหยุด เราก็มานึกว่า เออ! เขามาเตือน บ่อยครั้งมาก หลายเที่ยวมาก ต้องเลือกในสิ่งที่เขาเตือนได้แล้ว เพราะสุขภาพเราก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว ก็มาคิด เอาว่างานการที่เราทำอยู่นี้มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่ครบองค์ประกอบ ลูกหลานก็ยังเดินร้องมอๆ อยู่ ที่ไม่เห็นมันก็โก่งคอขันไปเลย เมื่อไหร่จะฉลาดจะได้เลิกสอนซะที แล้วให้มันมาสอนเราบ้าง

อีกอย่างก็มาคิดว่า หากงานภายนอกเราทำให้มาก งานภายในก็หาทางจัดการกับมัน ก็จะไม่มีทางไป คิดตำหนิคนอื่น เอาล่ะ...ถ้าทำแต่งาน ภายในให้เกิดสมดุลของสมอง ของลมหายใจ ของความดันในกระแสเลือด ของการเต้นหัวใจ ของชีพจร ของลำไส้ของกระเพาะอาหาร การดูดซึมอาหารของลำไส้ทุกหยาดหยด ของการกำจัดกากของเสียในร่างกาย กำหนดรู้ว่าความเป็นไปของปอดที่ขยาย คือ ลมหายใจเข้า ความเป็นไป ของปอดที่หดตัวทุกครั้งที่ลมหายใจออก รู้ความเป็นไปของอวัยวะภายใน ที่กระเพื่อมเมื่อโดนกระตุ้นเตือนจาก สภาวะเคลื่อนไหวของกาย รู้ว่าจะยกขาอย่างไรให้ก้าวตรงไปข้างหน้าไม่เซ ไม่ซวน ไม่ล้ม รู้ว่าจะยืนขึ้นอย่างไรให้ตรงองอาจ สง่างาม รู้ว่าจะนั่งอย่างไรให้กระดูกมันขบกัดกันแต่ให้ข้อเป็นเส้นตรง รู้ว่าจะนอนอย่างไรให้หลับสนิท รู้ว่าจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรให้ถูกต้องตามสภาวะความเป็นจริง ทำให้คนฟังเข้าใจ คนดู รู้สึกลึกซึ้ง รับได้ทำได้มีประโยชน์ งานแค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้วจนไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่น

บางทีขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งอยู่ บนรถยังนึกว่า พวกชาวโลกนี่เขาทำอะไรกัน ทำไมใช้เวลาไปกับเรื่องที่สิ้นเปลือง ทำไมเขาจึงไม่รู้ตัวว่ากำลังมอดไหม้ กำลังหรี่ลงๆ เขาไม่รู้สึกเลยรึไงว่าเขากำลังดับแหล่ มิดับแหล่อยู่แล้ว ทำอย่างไรจะให้ตะเกียงหรือประทีปในชีวิตเขา เป็นประทีปที่ให้ความสว่างต่อตัวเขาเองและให้ความสว่างต่อชาวโลก ถ้าดับไปก็อย่างไร้ร่องรอย เรียกว่า ดับแล้วเย็นสนิท คือ นิพพาน ทำอย่างไร จะให้เขารู้ว่าชีวิตเขาเหมือนกับดวงไฟที่จุดแล้ว และกำลังรอวันที่จะดับอยู่ข้างหน้า นั่นคือกาลเวลาที่กัดกินประทีปนั้นเป็นไปอยู่ทุกเวลา เมื่อจุดขึ้นแล้ว มันก็เผาไหม้ทรัพยากรเชื้อเพลิงให้หมดไป และต้องมีวันหนึ่งแน่ที่มันต้องดับ

เมื่อจุดขึ้น สว่างขึ้น เขาให้อะไรกับสังคมโลกและตัวเขาเองบ้าง และถ้ามันดับมันจะยังเหลือเชื้อไว้อีกไหม หรือมันดับไปพร้อมกับความ โง่เขลาเบาปัญญา ไม่ใช่ดับพร้อมกับความสว่างจนลืมได้ประโยชน์สูงสุดจากการมีแสงเรืองรองให้แก่ชาวโลก ก็มานึกว่า อืม! พระพุทธเจ้า นี้ทรงเป็นพระสัพพัญญูที่สุดวิเศษจริงๆ พระองค์ทรงมีสุทธิปัญญา รู้ถึงทั้งจิต วิญญาณ สันดานของสัตว์และมนุษย์

พระองค์คงทรงคิดว่า จะไม่มีคำสอนอะไรที่จะเตือนมนุษย์และสรรพสัตว์ได้ดีในตอนที่เราตถาคตจะนิพพาน เท่ากับคำสอนที่ว่า เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด แสดงว่าพระองค์ทรงรู้ว่าพวกเรานี้ประมาทสุดๆ พระองค์ทรงมีปัญญาญาณมองเลยไปข้างหน้าเป็นหลายพันปี ว่าสรรพ-สัตว์ต่อไปข้างหน้าจะกลายเป็นคนเมา ประมาท และขาดสติ จึงเตือนให้สติ คำสอนของพระองค์เป็นอมฤตสัจธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตายไม่ว่าจะกี่พันปี คำสอนนี้ยังใช้ได้อยู่เสมอเช่นนี้ถือเป็นตัวอย่างของท่านผู้มีแสงสว่างไม่รู้จักดับ

คนที่ไม่เชื่อคำสอนก็คือคนที่ประมาทเป็นนิจ ซึ่งมีอยู่เกลื่อนกล่นทั่วเมือง แม้แต่นักบวชเองก็เป็น แสดง ว่าคำสอนใดๆ ที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระศาสดา พระองค์ต้องรู้แจ้งแล้วว่าสัตว์ประมาทนะ มนุษย์ประมาทนะ จึงทรงหาคำสอนที่จะกำชับ กำกับพฤติกรรมของสัตว์และมนุษย์ และตรัสออกมาเป็น ปัจฉิมโอวาทว่า 'เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด'

เพราะหลวงปู่คิดอย่างนี้ตั้งแต่เล็กๆ เลยไม่ปล่อยชีวิตให้กาลเวลามันกลืนกินจนสิ้นสนิท ไม่ปล่อยให้มันกัดกินแรงชีวิตให้หมดไปโดยที่ไม่ได้สาระอะไรกลับคืนมา กลัวจะผิด คำสอนของพระศาสดา ไม่ทำตามพระพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงแสดงความเมตตาอย่างลึกซึ้ง กรุณาอย่างสูงสุดต่อมหาชน คน สัตว์ และตัวเราเอง ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพระองค์ยังประทีปให้ดำรงอยู่ตลอด สองพันกว่าปี นั่นคือ อย่าทำตนให้เป็นคนประมาท จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม แล้วลูกหลานท่านทั้งหลายล่ะไปถึงไหนแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น