xs
xsm
sm
md
lg

นางอัปสรแห่งเขาสีคิริยะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพพระอวโลกิเตศวรงานจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพุทธศิลป์ที่มีความงดงามที่สุด นอกจากที่ถ้ำอชันตาในรัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดียแล้ว งานพุทธศิลป์แบบเดียวกันนี้ก็มีปรากฏอยู่ที่เขาสีคิริยะ ในตอนกลางของประเทศศรีลังกาด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะต่างยุคต่างวาระกับอินเดีย

เขาสีคิริยะนี้เคยเป็นราชธานีและวังของพระเจ้ากัสสปะมาก่อนในสมัยระหว่าง พ.ศ.1020-1038 แม้ว่าพระองค์จะทรงครองราชย์เพียง แค่ 18 ปี แต่ก็ได้พัฒนาบ้านเมืองไว้อย่างมากมาย จะเห็นได้จากโครงการชลประทานที่ได้ทรงทำเอาไว้เพื่อลำเลียงน้ำขึ้นไปใช้ถึงยอดเขา ซึ่งปัจจุบันยังคงเห็นร่องรอยสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในอดีตอย่างมากมายนี้

นอกจากสิ่งก่อสร้างและอาคารต่างๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญและสร้างชื่อเสียงให้กับเขาสีคิริยะ ก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังอันทรงคุณค่าซึ่งได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ แม้ว่าจะยังมิอาจหาสมมติฐานได้ว่า ผู้ใดเป็นคนวาด ได้แต่สันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา ว่าเป็นพระสงฆ์วาดเช่นเดียวกันกับที่ถ้ำอชันตา

ภาพที่เขาสีคิริยะนี้เป็นภาพเขียนรูปนางอัปสรเป็นคู่ๆ บ้างก็ถือดอกไม้ บ้างก็ถือถาด ปัจจุบันเหลือร่องรอยความงดงามให้เห็นเพียง 15 ภาพเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีมากมายแต่ถูกทำลายลงไป เคราะห์ดีที่ทางฝ่ายโบราณสถานและโบราณคดีของประเทศศรีลังกายังอนุรักษ์ได้ทัน มิฉะนั้นคนรุ่นหลังๆ ก็คงจะอดได้ยลพุทธศิลป์อันวิจิตรนี้

มีหลักฐานจากภาษาจารึกอักษรพรหมี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์มาก่อนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 6
แม้ว่าเขาสีคิริยะจะถูกทิ้งร้างไปนานตั้งแต่ยุคหลังพระเจ้ากัสสปะ แต่มาภายหลังประเทศศรีลังกาก็ได้ทุ่มเทงบประมาณและบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันเขาสีคิริยะนี้ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและทางพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งของศรีลังกา

ขณะเดียวกันเขาแห่งนี้ก็มีประวัติศาสตร์อันโชกเลือดมาเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระเจ้ากัสสปะได้เคยทำปิตุฆาต ฆ่าพ่อของตัวเอง คือ พระเจ้าธาตุเสน ด้วยความกลัวว่าน้องชายต่างมารดาคือพระเจ้าโมคคัลลาจะมาแก้แค้น จึงได้อพยพหลบหนีมาตั้งราชธานีอยู่บนเขาแห่งนี้ ซึ่งเป็นชัยภูมิที่ดี แต่สุดท้ายท่านก็ถูกเวรกรรมตามทัน เพราะในที่สุดพระอนุชาก็ตามมาปลดชีวิตท่านได้สำเร็จ และก็ได้ขึ้นครองราชย์แทน
แต่กระนั้นก็มีบางหลักฐานอ้างว่า ท่านมาอยู่ที่เขาสีคิริยะนี้เนื่องจากทรงเบื่อความวุ่นวายของเมืองอนุราธปุระ จึงหลบมาสร้างวังอยู่ที่นี่
สำหรับเขาสีคิริยะ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ เขาสิงโต เนื่องจากในอดีตได้มีการสร้างปูนปั้นเป็นรูปสิงโตใหญ่ไว้ แต่ปัจจุบันพังไปหมดแล้วเหลืออยู่เพียงรอยเท้าสิงห์ที่ยังชัดเจนอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นสู่พระราชวัง และมีบันไดทอดขึ้นสู่ด้านบน ผู้ที่มาเที่ยวชมก็จะต้องเดินขึ้นจากด้านล่างคือที่เท้าสิงห์เข้าไปสู่ปากสิงห์ที่เป็นถ้ำอยู่ตรงกลางภูเขา
ปัจจุบันศรีลังกายังคงรักษาประวัติศาสตร์ของเขาสีคิริยะเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้ศึกษาเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความรุ่งเรืองของดินแดนแห่งนี้จะค่อยๆ เสื่อมลงไป พร้อมๆ กับการจบชีพลงของพระเจ้ากัสสปะ แต่อายุของงานพุทธศิลป์ และนางอัปสรนั้นก็ยังคงยืนยาว มาจนตราบเท่าทุกวัน
กำลังโหลดความคิดเห็น