ครั้งที่ 004 เครื่องมือที่ใช้ในการรู้ 3 ประการ
3. เครื่องมือที่ใช้ในการรู้ 3 ประการ ประกอบด้วย
3.1 สติ คือความระลึกได้ถึงความปรากฏของ รูปนาม สติเป็นอนัตตาเช่นเดียวกับธรรมทั้งปวง ดังนั้นไม่มีใครที่จะสั่งหรือจงใจให้สติเกิดขึ้นได้ เว้นเสียแต่มีเหตุที่สมควรสติจึงจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้อง พยายามทำให้เกิด เหตุให้เกิดสติได้แก่ การที่จิตรู้จักและจดจำสภาวะของรูปนามได้แม่นยำ เพราะได้เจริญสติปัฏฐานหรือตามรู้สภาวะของกาย เวทนา จิต หรือธรรมเนืองๆ และทันทีที่สติเกิดขึ้น สติจะทำหน้าที่คุ้มครองจิต คืออกุศลจะดับไปแล้วกุศลเกิดขึ้นทันที
สติหรือสัมมาสตินี้จะแตกต่างจากมิจฉาสติหรือสติธรรมดา ตรงที่สัมมาสตินั้นเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ได้แก่ รูปนามในขั้นการเจริญมรรคเบื้องต้น และระลึกรู้นิพพานในขณะที่เกิดอริยมรรค ส่วนมิจฉาสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ บัญญัติอันเป็นสาธารณกุศลต่างๆ ผู้เขียนมีข้อสังเกตส่วนตัวที่ขอฝากให้เพื่อนนักปฏิบัติก็คือ สัมมาสติจะสักว่าระลึกรู้อารมณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปพร้อมกับจิตเป็นขณะๆ ส่วนสติธรรมดามักจะเข้าไปตั้งแข็งหรือนอนแช่อยู่ในอารมณ์ และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสตินั้นเป็นของที่ตั้งอยู่ได้นานๆ โดยไม่เกิดดับ
3.2 สัมมาสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตในการ ระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ได้แก่ ความตั้งมั่นของจิตในขณะที่รู้รูปนามในขั้นการเจริญมรรคเบื้องต้น และความตั้งมั่นของจิตในขณะที่รู้นิพพานเมื่อเกิด อริยมรรค ความตั้งมั่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจิตเข้าไปตั้งแช่หรือนอนนิ่งอยู่กับอารมณ์ แต่เป็นสภาวะที่จิตไม่คลาดเคลื่อนจากอารมณ์ปรมัตถ์นั้นๆ แล้วไหลไปสู่อารมณ์บัญญัติแทน พูดง่ายๆ ก็คือในขณะที่รู้รูปนามก็รู้ด้วยความไม่ลืมตัว ไม่หลงไปหาอารมณ์อื่น และไม่เพ่งอารมณ์ที่กำลังรู้นั้นจนลืมตัว จิตจะตั้งมั่นและเป็นกลาง ไม่เผลอไป แต่ก็ไม่เพ่งอารมณ์ไว้
สัมมาสมาธิต่างจากมิจฉาสมาธิ ตรงที่จิตที่ตั้งมั่นอย่างมีสัมมาสมาธินั้นจะมีความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงาน ความคล่องแคล่ว และความซื่อตรงในการรู้อารมณ์รูปนามโดยไม่เข้า ไปแทรกแซง และเกิดขึ้นได้เพราะจิตมีความสุขใน การรู้รูปนาม ซึ่งความสุขนั้นก็เกิดเพราะจิตมีสตินั่นเอง
ส่วนมิจฉาสมาธิมักจะเกิดจากโลภะ คือความ อยากจะรู้อารมณ์ให้ชัดๆ แล้วเกิดการกำหนด การ ประคอง การเพ่ง การรักษาจิตและอารมณ์ไว้ จิตมักจะเกิดโมหะและโลภะแทนที่จะเกิดปัญญา รู้ความจริงของรูปนาม จิตมักมีอาการหนักแทนที่จะเบา แข็งแทนที่จะอ่อน ถูกนิวรณ์ครอบงำแทนที่จะควรแก่การงาน ซึมทื่อแทนที่จะปราดเปรียว และเข้าไปแทรกแซงอารมณ์แทนที่จะรู้อารมณ์อย่างซื่อๆ ตรงๆ
3.3 ปัญญา คือ ความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่าเมื่อจิตตั้งมั่นในการรู้อารมณ์รูปนามเนืองๆ แล้ว ความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามหรือปัญญาก็จะเกิดขึ้น ปัญญาในที่นี้จึงเป็นวิปัสสนาปัญญาเกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการอ่านและการฟังในขั้นการศึกษาพระปริยัติธรรม และไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการคิด อนึ่งยังมีปัญญาขั้นสูงอีก อย่างหนึ่งเรียกว่าโลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่เข้า ใจนิพพานในขณะที่เกิดอริยมรรค
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/วิธีการรู้กาย และอื่นๆ)
3. เครื่องมือที่ใช้ในการรู้ 3 ประการ ประกอบด้วย
3.1 สติ คือความระลึกได้ถึงความปรากฏของ รูปนาม สติเป็นอนัตตาเช่นเดียวกับธรรมทั้งปวง ดังนั้นไม่มีใครที่จะสั่งหรือจงใจให้สติเกิดขึ้นได้ เว้นเสียแต่มีเหตุที่สมควรสติจึงจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้อง พยายามทำให้เกิด เหตุให้เกิดสติได้แก่ การที่จิตรู้จักและจดจำสภาวะของรูปนามได้แม่นยำ เพราะได้เจริญสติปัฏฐานหรือตามรู้สภาวะของกาย เวทนา จิต หรือธรรมเนืองๆ และทันทีที่สติเกิดขึ้น สติจะทำหน้าที่คุ้มครองจิต คืออกุศลจะดับไปแล้วกุศลเกิดขึ้นทันที
สติหรือสัมมาสตินี้จะแตกต่างจากมิจฉาสติหรือสติธรรมดา ตรงที่สัมมาสตินั้นเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ได้แก่ รูปนามในขั้นการเจริญมรรคเบื้องต้น และระลึกรู้นิพพานในขณะที่เกิดอริยมรรค ส่วนมิจฉาสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ บัญญัติอันเป็นสาธารณกุศลต่างๆ ผู้เขียนมีข้อสังเกตส่วนตัวที่ขอฝากให้เพื่อนนักปฏิบัติก็คือ สัมมาสติจะสักว่าระลึกรู้อารมณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปพร้อมกับจิตเป็นขณะๆ ส่วนสติธรรมดามักจะเข้าไปตั้งแข็งหรือนอนแช่อยู่ในอารมณ์ และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสตินั้นเป็นของที่ตั้งอยู่ได้นานๆ โดยไม่เกิดดับ
3.2 สัมมาสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตในการ ระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ได้แก่ ความตั้งมั่นของจิตในขณะที่รู้รูปนามในขั้นการเจริญมรรคเบื้องต้น และความตั้งมั่นของจิตในขณะที่รู้นิพพานเมื่อเกิด อริยมรรค ความตั้งมั่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจิตเข้าไปตั้งแช่หรือนอนนิ่งอยู่กับอารมณ์ แต่เป็นสภาวะที่จิตไม่คลาดเคลื่อนจากอารมณ์ปรมัตถ์นั้นๆ แล้วไหลไปสู่อารมณ์บัญญัติแทน พูดง่ายๆ ก็คือในขณะที่รู้รูปนามก็รู้ด้วยความไม่ลืมตัว ไม่หลงไปหาอารมณ์อื่น และไม่เพ่งอารมณ์ที่กำลังรู้นั้นจนลืมตัว จิตจะตั้งมั่นและเป็นกลาง ไม่เผลอไป แต่ก็ไม่เพ่งอารมณ์ไว้
สัมมาสมาธิต่างจากมิจฉาสมาธิ ตรงที่จิตที่ตั้งมั่นอย่างมีสัมมาสมาธินั้นจะมีความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงาน ความคล่องแคล่ว และความซื่อตรงในการรู้อารมณ์รูปนามโดยไม่เข้า ไปแทรกแซง และเกิดขึ้นได้เพราะจิตมีความสุขใน การรู้รูปนาม ซึ่งความสุขนั้นก็เกิดเพราะจิตมีสตินั่นเอง
ส่วนมิจฉาสมาธิมักจะเกิดจากโลภะ คือความ อยากจะรู้อารมณ์ให้ชัดๆ แล้วเกิดการกำหนด การ ประคอง การเพ่ง การรักษาจิตและอารมณ์ไว้ จิตมักจะเกิดโมหะและโลภะแทนที่จะเกิดปัญญา รู้ความจริงของรูปนาม จิตมักมีอาการหนักแทนที่จะเบา แข็งแทนที่จะอ่อน ถูกนิวรณ์ครอบงำแทนที่จะควรแก่การงาน ซึมทื่อแทนที่จะปราดเปรียว และเข้าไปแทรกแซงอารมณ์แทนที่จะรู้อารมณ์อย่างซื่อๆ ตรงๆ
3.3 ปัญญา คือ ความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่าเมื่อจิตตั้งมั่นในการรู้อารมณ์รูปนามเนืองๆ แล้ว ความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามหรือปัญญาก็จะเกิดขึ้น ปัญญาในที่นี้จึงเป็นวิปัสสนาปัญญาเกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการอ่านและการฟังในขั้นการศึกษาพระปริยัติธรรม และไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการคิด อนึ่งยังมีปัญญาขั้นสูงอีก อย่างหนึ่งเรียกว่าโลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่เข้า ใจนิพพานในขณะที่เกิดอริยมรรค
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/วิธีการรู้กาย และอื่นๆ)