พุทธธรรมเป็นสากลของจักรวาล เพราะก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าพระธรรมได้เกิดขึ้นมาแล้ว เช่น สามัญลักษณะ ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด กระบวนการที่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ชาติใดภาษาใดก็ไม่มีใครกล้าจะปฏิเสธหลักเหล่านี้ได้
พระพุทธองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ดีเลิศ และงามพร้อมได้ใช้เวลาสั่งสอนและอบรมปัญญาญาณ และทำชีวิตจิตวิญญาณของพระองค์ให้อยู่ในกระแสห้วงแห่งพระธรรมมาตลอดยาวนานเป็นอสงไขย
พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงความเป็นสากลของพุทธธรรม ที่พระองค์ทรงรู้
ความเป็นสากลที่พระศาสดาทรงสอนเอาไว้ในหลักของการดำเนินชีวิต เรียกว่าอปัณกปฏิปทา คือข้อปฏิบัติไม่ผิด 3 อย่าง ได้แก่ หนึ่ง อินทรียสังวร ก็คือการสังวรสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง 6 คือสำรวมระวังตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส อย่าตกเป็นทาสของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากมายไปนัก ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงใหลได้ปลื้มกับแฟชั่นหรูหรา กับความทะยานอยาก เห่อเหิม ฟุ้งเฟ้อต่างๆนานา สอง โภชเนมัตตัญญุตา คือสำรวมสังวรระวังในการบริโภคอาหาร และสาม ชาคริยานุโยค คือมีความกระตือรือร้น ตื่นที่จะเป็นผู้รู้ เพราะมนุษย์จะเป็นสัตว์ประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้
หรือความเป็นสากลที่ทรงสอนในเรื่องอื่นๆเช่น กฎของกรรม เราจะมองเห็นว่าคำสอนที่พระศาสดาทรงแสดงและชี้แจงเรื่องกฎของกรรม บ่งบอกให้เราเห็นความเป็นสากลอย่างแจ้งชัดว่า ผู้ใดทำกรรมอย่างไรได้ผลอย่างนั้น
แต่มีหลายคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมสักเท่าไหร่ เพราะถ้าเชื่อเรื่องกฎของกรรม ก็คงไม่ผิดพลาดบกพร่อง เกิดกลียุคไปทั่วทุกหย่อมหญ้า หรือเกิดวิกฤตทางศีลธรรมจริยธรรม วิกฤตทางการเมืองการปกครอง การบริหารการจัดการ รวมทั้งวิกฤตการใช้ทรัพยากรของชาติด้วย ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีสากลในการดำรงชีวิต ไม่มีสากลในการบริหารการจัดการชีวิต เราก็เลยมีชีวิตอยู่อย่างไร้สมดุล คือขาดดุลยภาพในการดำรงชีวิต
วิถีพุทธคือกระบวนการบริหารจัดการชีวิต วิถีพุทธคือกระบวนการบริหารจัดการจิตวิญญาณ และวิถีพุทธคือศิลปะในการดำรงชีวิตให้มีประสิทธิผล มีความงามในความดำรงอยู่ เหล่านี้เป็นความหมายของความเป็นสากลในวิถีพุทธ
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนฉลาด องอาจ สง่างาม และสามารถจัดการกระบวนการบริหารจัดการชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และเกิดประโยชน์สุดในการทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาด
พระพุทธองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ดีเลิศ และงามพร้อมได้ใช้เวลาสั่งสอนและอบรมปัญญาญาณ และทำชีวิตจิตวิญญาณของพระองค์ให้อยู่ในกระแสห้วงแห่งพระธรรมมาตลอดยาวนานเป็นอสงไขย
พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงความเป็นสากลของพุทธธรรม ที่พระองค์ทรงรู้
ความเป็นสากลที่พระศาสดาทรงสอนเอาไว้ในหลักของการดำเนินชีวิต เรียกว่าอปัณกปฏิปทา คือข้อปฏิบัติไม่ผิด 3 อย่าง ได้แก่ หนึ่ง อินทรียสังวร ก็คือการสังวรสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง 6 คือสำรวมระวังตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส อย่าตกเป็นทาสของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากมายไปนัก ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงใหลได้ปลื้มกับแฟชั่นหรูหรา กับความทะยานอยาก เห่อเหิม ฟุ้งเฟ้อต่างๆนานา สอง โภชเนมัตตัญญุตา คือสำรวมสังวรระวังในการบริโภคอาหาร และสาม ชาคริยานุโยค คือมีความกระตือรือร้น ตื่นที่จะเป็นผู้รู้ เพราะมนุษย์จะเป็นสัตว์ประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้
หรือความเป็นสากลที่ทรงสอนในเรื่องอื่นๆเช่น กฎของกรรม เราจะมองเห็นว่าคำสอนที่พระศาสดาทรงแสดงและชี้แจงเรื่องกฎของกรรม บ่งบอกให้เราเห็นความเป็นสากลอย่างแจ้งชัดว่า ผู้ใดทำกรรมอย่างไรได้ผลอย่างนั้น
แต่มีหลายคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมสักเท่าไหร่ เพราะถ้าเชื่อเรื่องกฎของกรรม ก็คงไม่ผิดพลาดบกพร่อง เกิดกลียุคไปทั่วทุกหย่อมหญ้า หรือเกิดวิกฤตทางศีลธรรมจริยธรรม วิกฤตทางการเมืองการปกครอง การบริหารการจัดการ รวมทั้งวิกฤตการใช้ทรัพยากรของชาติด้วย ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีสากลในการดำรงชีวิต ไม่มีสากลในการบริหารการจัดการชีวิต เราก็เลยมีชีวิตอยู่อย่างไร้สมดุล คือขาดดุลยภาพในการดำรงชีวิต
วิถีพุทธคือกระบวนการบริหารจัดการชีวิต วิถีพุทธคือกระบวนการบริหารจัดการจิตวิญญาณ และวิถีพุทธคือศิลปะในการดำรงชีวิตให้มีประสิทธิผล มีความงามในความดำรงอยู่ เหล่านี้เป็นความหมายของความเป็นสากลในวิถีพุทธ
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนฉลาด องอาจ สง่างาม และสามารถจัดการกระบวนการบริหารจัดการชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และเกิดประโยชน์สุดในการทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาด