แทนคุณ จิตต์อิสระ ชื่อนี้เริ่มเป็นที่คุ้นหู และใบหน้านี้ก็เริ่มเป็นที่คุ้นตา ของผู้สนใจธรรมะ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง ที่มุ่งมั่นทำอะไรหลายต่อหลาย อย่างเช่น ทำโครงการธรรมะการ์ตูนถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำโครงการเซ็นเตอร์พอยต์เซ็นเตอร์พุทธ ทำโครงการหนึ่งครอบครัว หนึ่งลูกกตัญญู อบรมเด็กไม่น่าจะต่ำกว่าสามแสนคนทั่วประเทศ เป็นครูสอนภาษาจีน เป็นพิธีกรในรายการธรรมะ และรายการที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมากมาย
‘ธรรมลีลา’จะพาคุณผู้อ่านไปเปิดใจกับคนหนุ่มรุ่นใหม่ ว่าอะไรทำให้หัวใจเขาอุทิศให้แก่พุทธศาสนา
• ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร ช่วงวัยรุ่นเกเรไหม
ตอนเด็กๆ ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว เป็นผู้ชายคนเดียว เพราะมีพี่สาวกับน้องสาว และเพื่อนข้างบ้านก็จะเป็นแต่ผู้หญิง ก็เล่นคนเดียว แต่ที่แตกต่างคือ ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเป็นผู้ชายคนเดียว และเป็นลูกชายในบ้านคนจีน ก็จะต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงาน กลับจากโรงเรียนมาก็จะทำงาน คือต้องไม่ขี้เกียจ ไม่เกเรนะ จะใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่ค่อยฟุ้งเฟ้อ จะกลับบ้านตรงเวลา กินข้าวกับที่บ้านด้วยกันทุกวัน
• ระยะหลังๆ นี้ไม่เล่นละครอีกเลย แต่หันมาทางพิธีกรอย่าง เดียว เพราะอะไรหรือคะ
ทำไปทำมา หกปีเจ็ดปีที่อยู่ในวงการละคร ถ่ายละคร ถ่ายหนังมาเป็นหลายสิบเรื่อง สุดท้ายก็มาถึงจุดเปลี่ยน คือวันที่คุณพ่อเสีย ก็เป็นจุดสำคัญ แต่มันมีรายละเอียดที่สำคัญทางความรู้สึกมากกว่านั้น ตรงที่ว่า เราไม่เคยเตรียมตัวมาก่อน เราไม่เคยรู้ว่า พ่อจะต้องตาย เรารู้ว่าพ่อจะต้องไปในวันหนึ่ง เรารู้จักความตาย แต่เราไม่รู้จักการตาย เราไม่รู้ว่าการตายมันเจ็บปวดแค่ไหน ยิ่งจากคนที่เรารักที่สุดด้วย เพราะพ่อคือทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นฮีโร่ของเรา ทำให้เราอยากจะไปเรียนแบบเรียนรู้ อยากเป็นเหมือนเขา แต่วันหนึ่งเขาก็จากไปเลย หลับไป แล้วก็ไม่ตื่นเลย
• ตอนนั้นจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกตัวเองอย่างไร
ตอนนั้นเรารู้สึกเคว้งไปเลย ทำอะไรต่อไปไม่ได้ และเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เหมือนกับต้องรับภาระทุกอย่างแทนพ่อแล้ว เพราะที่เหลือเป็นผู้หญิง เป็นแม่ เป็นพี่สาวน้องสาว พยายามย้ำกับตัวเองตลอดเวลาว่า นี่คือความฝัน ไม่ใช่ความจริง มันเบลอไปหมด ก่อนนำพ่อใส่โลง ก็เข้าไปกราบพ่อไปกอดพ่อ คือ ไม่เคยทำสอง อย่างนี้มาก่อนเลย ไม่เคยทำต่อหน้าเขา เหมือนกับไม่มีโอกาสได้ทำ เขาก็ไม่ได้รับรู้ ก็กอดก็กราบไป ในที่สุดเวลานั้นก็ทำได้แค่นั้น เสียใจมาก ทุกวินาทีจะคิดถึงแต่พ่อ เป็นช่วงเวลาที่แย่มากๆ เป็นการเรียนรู้ความตาย หรือจะเรียกว่าเรียนรู้ธรรมะก็ได้ หรือความจริงจากธรรมชาติก็ได้ที่เจ็บปวดที่สุด
ใช้เวลาเป็นปีๆ ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ เหตุผลที่ต้องอ่านหนังสือธรรมะตอนนั้น เพราะต้องการที่จะหายามาเยียวยาทุกอย่างเลย เพราะตอนนั้นจะทำอะไรก็ไม่ดีขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องของจิตใจ
• เห็นว่าตอนนั้นลึกๆ ยังมีความหวังว่าคุณพ่อจะฟื้นคืนมาใช่ไหม
ตอนนั้นก่อนนอนและตื่นนอนจะอธิษฐานทุกวันว่า ขอให้พ่อฟื้นขึ้นมา และขอให้ทั้งหมดนี้เป็นความฝัน แต่ทั้งหมดนี้มันก็เป็นการหลอกตัวเอง เราหลอกตัวเองทุกวันๆ จนกระทั่งวันที่จะฝังพ่อแล้วก็ยังหลอกตัวเองอีก
• หลังจากนั้นเรามีท่าทีและมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราอย่างไร เห็นว่าได้เอาเรื่องเหล่านี้มาบอกเล่าต่อคนอื่นด้วยใช่ไหมคะ
ผมเชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว จะสามารถปรับจิต หรือพลิกจิตตัวเองให้กลับมาดูแลพ่อแม่ เราจะได้กลับมาเห็นคุณค่าของคนที่เรารัก และรักเราก่อน ที่เขาจะจากไป นี่คือหัวใจสำคัญเลย มันไม่ใช่ว่าผมเป็นใคร หรือพูดทำไม อะไร แต่อยากให้มองว่าพูดเพื่อให้คนได้เข้าใจอะไรดีกว่า
ถ้าวันนั้นมีคนมาบอกมาเตือนผมในลักษณะเดียวกัน ผมจะหาเงินให้น้อยลง หาเวลา ความสุขกับพ่อแม่ให้มากขึ้น มีความสุขให้กับท่านมากขึ้น ถามว่าใช้อะไร ก็ใช้การแสดง ออก ใช้คำพูด ใช้การกระทำ โดยสรุปนั่นคือธรรมะทั้งหมด ผมมาเรียนรู้ว่า ธรรมะจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องอาศัยแต่วัด แต่พระอย่างเดียว แต่อาศัยตัวเราเป็นสื่อกลาง นำเสนอแต่สิ่งดีๆ ที่มีต่อใครสักคนหนึ่งนั่นคือ ธรรมะ ดีต่อพ่อ ดีต่อแม่ พ่อ แม่ดีต่อเรา นั่นคือ ธรรมะที่เราอยู่ด้วยกัน ธรรมะมันเป็นอะไรอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิต
• คิดว่าการไปบวชตอนนั้นเป็นทางออกและเป็นการแก้ปัญหาจิตใจช่วงนั้นด้วย หรือเปล่า
ผมไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างไร ตอนนั้นเราทำงาน ก็คิดว่าเป็นการตอบ แทนแล้ว เราช่วยงานเขา แต่รู้สึกว่ามันยังไม่พอ แล้วรู้สึกว่ามันเหมือนกับว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะบอกว่าเราพร้อมที่จะให้ชีวิตเราได้ พร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างได้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ทำบุญให้พ่อ โดยการบวช เอาตัวเราเป็นตัวบุญ เป็นความดีของเรา ทำบุญให้กับพ่อ ก็ไปบวชที่วัดชลประทานฯ
• การบวชนั้นได้สอนอะไรกับเราบ้าง
ได้อะไรเยอะครับ ได้เรียนรู้ความจริง อย่างน้อยๆก็รู้ว่าความตายเป็นเรื่องปกติ รู้ว่าทุกคนต้องตาย เพียงแต่เราแค่ไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจ ไม่เคยฝึกจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกปัญญาให้รับรู้ความจริงแห่งธรรมชาติ รวมสรุปแล้วคือเราไม่รู้เรื่องธรรมะ ซึ่งคือความจริงแห่งธรรมชาตินั่นเอง เราไม่เคยรู้ ก็เลยเจ็บปวดมาก พอเรามาเรียนใหม่ ก็เห็นว่าเราเป็นเด็กอนุบาลทางธรรมะ
ซึ่งจากจุดที่เราคิดว่าเราจะได้แค่บุญที่ตั้งใจจะทำให้พ่อ เรากลับได้บุญที่ทำให้เราคิด ได้ให้กับตัวเองด้วย ผมว่านี่เป็นกุศโลบายที่ดีมากๆ ที่ได้รับจากการบวช และอาจจะเป็นกุศโลบาย ที่คนไทยในอดีตได้วางไว้ว่าให้ลูกหลานได้บวชให้พ่อแม่ ก็คือให้ตัวเขาได้ฝึกฝนตัวเอง และตัวเขาก็จะได้กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ จากการได้บวชเรียนและศึกษาธรรมะ ซึ่งถ้าเขาเป็นคนดีขึ้นมา ทำความดี ไอ้ความดีนั่นแหละที่จะทำให้พ่อ แม่ชื่นใจ มีความสุขใจมากกว่าสภาวะบางอย่างที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้
• ตอนนั้นเรียนจิตวิทยามา แล้วจิตวิทยาช่วยอะไรเราได้บ้างไหม
ช่วยได้น้อยมาก ในวินาทีนั้นเราเหมือนจมอยู่ในกองทุกข์ เราไม่สามารถเห็นแม้แต่ตัวเอง ยังเอาตัวไม่รอด และจิตวิทยาไม่ได้สอนความจริงแบบธรรมะ จิตวิทยาตะวันตก สอนแค่ว่าเราจะอยู่อย่างไร และมีท่าทีอย่างไรต่อสังคม ให้มีความสุข ให้เบิกบาน มันไม่ได้สอนเรื่องความตาย ไม่ได้สอนว่าถ้าใครสักคนตายแล้วเราจะรักษาความเจ็บปวด เจ็บป่วยในใจเราได้อย่างไร หรือมันไม่ได้สอนลึกลงไปว่า ถ้าพ่อจากเราไปแล้ว เราจะสามารถทำอะไรให้กับท่านหลังจากที่ท่านจากไปแล้วได้ จิตวิทยาไม่ได้บอก มันอาจจะช่วยเหลือแก้ปัญหาความเครียด ความไม่สบายใจ ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ช่วยอย่างยั่งยืน
• หลังจากบวชแล้วอะไรในชีวิตดีขึ้นไหม อย่างไร
บวชก็เหมือนกับการได้ไปสลัดกองทุกข์ต่างๆ ทิ้งไป ได้รู้จักความตาย รู้เลยว่า เวลาแต่ละนาทีมันสำคัญมาก ชีวิตมันตายง่ายๆ ตายแล้วก็ไม่มีค่าอะไรเลย ตอนนั้นก็ไปบริจาคอวัยวะ บริจาคทุกอย่างเลย และเอาเงินที่เก็บสะสมมาทำเป็นการ์ดจิตวิทยา เอาธรรมะมาบอกมากระจายให้คนอื่นๆ ได้รู้ แม้ว่านั้นจะเป็นทางสุดโต่งของเรา แต่ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เราได้ชำระความผิด ความไม่สบายใจ ความกลุ้มใจ ความกังวลใจต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น
• ตอนที่แสดงหนัง แสดงละคร ใช้ว่าเอกชัย ไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงเปลี่ยน
ผมชื่อเดิม เอกชัย บูรณะผานิช เดิมทีใช้แซ่ แซ่ผ้าง เป็นแซ่เดิมที่แปลงมาจากแซ่เผิง จากภาษาจีนกลาง ตอน ม.ปลายก็เปลี่ยนไปแล้วพร้อมกับพี่สาว ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรในเชิงชาติตระกูล หรือความผูกพัน เพราะตอนหลังพี่สาวก็แต่งงานไปแล้ว ตอนนั้นคิดว่าเราจะต้องมีอะไรที่เป็นของเรา อยากจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่เราตั้งขึ้นมาเอง เพื่อที่เราจะได้ยึดเหนี่ยวได้ทางจิตใจ ที่สำคัญที่สุดคือ มันจะเป็นอะไรบางอย่างที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ ตอนนั้นเกือบแย่แล้ว คือว่ามันน่าจะเป็นเป้าหมายปลายทางให้เราเข้าถึงความดีงามสูงสุด คือ ‘จิตต์อิสระ’ ที่ผมตั้งขึ้นมาเอง ได้มาจากธรรมะและการบวช มีพระสูตรอันหนึ่ง จำไม่ได้แล้ว ที่มีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรดีที่สุด แล้วท่านตอบว่าไม่มีอะไรเลยนั้นดีที่สุด ความว่าง หรือความเป็นอิสระ เลยสรุปได้มาเป็นจิตต์อิสระ และใช้มาเป็นนามสกุลตัวเอง
• ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยนแปลงมากเลยใช่ไหม เพราะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลหรือเปล่า
ในด้านความรู้สึกก็ดี แต่มันเป็นการคอยเตือนตัวเอง ไม่ได้บอกว่าเราดี เราฉลาด เราเก่ง เรามีธรรมะสูงส่ง แต่มันเป็นการคอยบอกตัวเองให้อย่าทุกข์ อย่าทรมาน อย่าซ้ำเติม เพราะว่าความคิดทั้งหลายที่มันแย่ๆ เป็นเพราะเรายกขึ้นมาวางใส่ใจเราเอง เราเอาอดีตที่เจ็บปวด เอาความทุกข์ทั้งหลายมาซ้ำเติมตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องมีอิสระ อิสระจากความทุกข์ อิสระจากความเป็นทาส และเป็นโทษทั้งหลาย
• แล้วชื่อแทนคุณมาอย่างไร
แทนคุณนั้นมาจากการที่อยากจะตอบแทนพ่อแม่ เพราะว่ามีนักบวชท่านหนึ่งท่านได้บอกว่า จริงๆ พ่อแม่อยู่ในตัวเรา เพราะเราเกิดมาจากท่าน ทั้งหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งจิตวิญญาณมาจากพ่อแม่ อันนี้เป็นความรู้สึกที่ดีมาก มันพลิกเลยนะครับ ทั้งลุ่มลึกและละเอียดอ่อนมาก ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของท่าน และท่านเป็นส่วนของเรา เพราะฉะนั้นถ้า เราทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเราในแง่การที่จะระลึกถึงท่านไม่ใช่ทำอย่างเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เอาแต่ ความสุขสบาย ผมเรียนรู้ธรรมะจากสิ่งเหล่านี้ นั่นคือ บุญกุศล คือ การฉลาดในการใช้ชีวิตให้มีประโยชน์
• ในฐานะเป็นคนรุ่นใหม่ ธรรมะและศาสนาจะเข้าไปสู่คนรุ่นใหม่ได้อย่างไร
ผมมองอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือ เรื่องการศึกษา คือ การศึกษาทุกวันนี้ไม่ได้สอนเรื่องความจริงแห่งชีวิต แต่ไปสอนเรื่องทำมาหากิน หรือการโกงกิน หรือทำมาหาเกินต่างๆ ซึ่งหลายอย่างมันไม่ได้ยืนอยู่บนความจริง มันจึงเลื่อนลอย และจะถูกครอบ งำในสิ่งที่เป็นมายาได้ง่าย
มาสู่สิ่งที่สองคือ เรื่องการสื่อสาร การสื่อสารบ้านเราตกเป็นทาสการศึกษาแบบที่ว่า คือแบบที่ทำให้คนเห็นแก่ตัว และเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง มันจึงเป็นการสร้าง มายาคติขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน เช่นโฆษณาก็ต้องการให้คนซื้อสินค้า โดยไม่ ต้องรับผิดชอบว่าคนที่ใช้จะเป็นอย่างไร
สุดท้ายคือศาสนา ศาสนธรรมเองไม่มีวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เป็นการอนุรักษ์ แต่ไม่ได้พัฒนา สื่อต่างๆ ก็ดี เรื่องเล่าก็ดี ธรรมะเป็นสิ่งที่ร่วมสมัยไม่มีวันตาย เป็นอมตะ แต่วิธีการสื่อสารธรรมะมันจะต้องเปลี่ยนแปลง ไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเอาเรื่องราวสองสามพันปีมาแล้วมายกให้คนรุ่นใหม่ ฟัง บางทีเขาอาจจะนึกภาพไม่ออก หรือถ้ามองอีกอย่างปัญญาเขาอาจจะไปไม่ถึงสิ่งที่ท่านกำลังอธิบายไว้ ถ้ามีสื่อต่างๆ ที่สามารถอธิบายให้แยบคายขึ้น ยกตัวอย่างสถานการณ์ ปัจจุบันให้เห็นภาพมากขึ้นก็น่าจะดี แต่ทุกวันนี้กลับเป็นด้านตรงข้ามกันหมด เอาสิ่งที่จะต้องแก้ไขป้องกันช่วยเหลือมาเป็นจุดขาย ไม่ได้ให้ ทางออกให้สังคม แต่ย้ำปัญหาอยู่ตลอดเวลา
ทุกวันนี้ ผมมองว่า เราวนเวียนอยู่กับห้าบาป บาปแรก คือความรุนแรง การฆ่ากัน การเบียดเบียนชีวิต อันที่สองคือความไม่รู้จักพอ ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย วัตถุนิยม บาปที่สามคือเรื่องเซ็กซ์์ อันที่สี่คือ เรื่องมายาคติ เรื่องเจ้า เรื่องผี เรื่องหมอดู เวลาเกิดเรื่องขึ้นคนก็วิ่งไปหาหมอดูมากกว่าที่จะวิ่งไปหาธรรมะ บาปสุดท้ายคือเรื่องของอบายมุขทั้งหลายที่มอมเมาเยาวชน
• เป้าหมายชีวิตตอนนี้คืออะไร
คงเรียนรู้ธรรมะไปตลอดชีวิต และเรียนรู้การตายก่อนตาย นี่คือ เป้าหมายที่อยากจะไปถึงเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ อยากจะมีโอกาสที่จะได้สัมผัสแก่นแท้ ของพระธรรม และพ้นจากความทุกข์ อยากมีจิตอิสระจริงๆ ทุกวันนี้พยายามใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์ และพยายามเข้าใจความทุกข์ เวลาอะไรเกิดขึ้นมา เช่นของเสีย รถเฉี่ยว รถพัง พยายามระวังจิตใจเรา หรืออย่างใครทำอะไรให้โกรธ ก็พยายามเรียนรู้ธรรมะทุกอิริยาบถ คือ เราก็ยังไม่ใช่คนที่บรรลุธรรม แต่ว่า ณ วันนี้เราก็จะต้องค่อยฝึกกันไป
• ตอนนี้เมื่อได้รู้จักความตายแล้ว ก็ยิ่งทำให้เราใช้ชีวิตอย่างเข้าใจมากขึ้นด้วยใช่ไหม
พยายามทำตัวให้มีคุณค่าในวันที่มีชีวิตอยู่ เพราะชีวิตก่อนตายนี่แหละสำคัญ เพราะถ้าตายไปแล้วมันก็เหมือนกับฟืนท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง ตรงนี้ผมต้องการจะสื่อว่า ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีราคาค่างวด อย่างไร หรือมีความผูกพันหรือมีความหมายขนาดใดก็ตาม ชีวิตก็จะมีคุณค่ามากที่สุดก็คือตอนที่มีชีวิตอยู่ คือใครคงจะไม่นั่งกอดศพแล้วร้องไห้ไปตลอดชีวิต เช่นพ่อเรามีความหมายต่อเรามาก เราก็มิอาจจะกอดศพท่านไว้ตลอดไป แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญอย่างนั้น แต่ความดีงามที่ท่านทำ ที่สร้างไว้ ที่ถ่ายทอดเป็นพลัง เป็นจิตวิญญาณ ให้กับตัวเรานั้นแหละ คือสิ่งที่เราจะต้องรับมา และสื่อสารส่งต่อไปให้ได้ .......