ตอนที่ 014
หลักของการทำสมาธิ มีดังนี้ คือ
1) การปฏิบัติสมาธิ เป็นการปฏิบัติที่ใจ เป็น การดำเนินจิตใจของเราเป็นหลัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย ดังนั้นท่าทาง หรือกระบวนท่าต่างๆจึงไม่ได้มีความสำคัญเป็นอันดับแรก และไม่ใช่สิ่งที่จะยึดถือ แต่ท่าทางต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ เช่น การนั่งขัดสมาธิ การเดินจงกรม เป็นต้นนั้น เป็นท่าทางที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำสมาธิเป็นไปได้ง่ายขึ้น สามารถทำได้นานๆ และมั่นคงไม่หลับง่าย จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมในทางอ้อม เท่านั้น แต่การทำสมาธินั้นเน้นที่จิตใจเป็นหลักใหญ่ เพราะสมาธิเป็นอาการของจิตใจ เกิดที่จิตใจ และยิ่งในสมาธิที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากๆ นั้น ยิ่งจะต้องทำให้ได้ในทุกอิริยาบถด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพียงการเน้นที่ท่าทางใดท่าทางหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
2) การทำสมาธิ คือการเอาจิตของเราไปกำหนดไว้กับอารมณ์หรือเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า กรรมฐาน ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่เร่าร้อน วุ่นวาย และไม่ยั่วยุจิตใจ เป้าหมายหรืออารมณ์ของ สมาธิมีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ คือ รูป และ นาม หรือจะเรียกว่า เป้าหมายที่เป็นวัตถุ กับ เป้าหมายที่เป็นนามธรรม เช่น การกำหนดลมหายใจ การกำหนดการเคลื่อนไหว การกำหนดคำบริกรรม การ กำหนดรูปวัตถุ หรือ แสง แม้กระทั่งการนึกถึงคุณธรรม ความดี หรือ สัจธรรม เป็นต้น เป้าหมาย ที่หยาบจะกำหนดได้ง่าย แต่จิตสงบลึกยาก จิตติด ยึดนาน เป้าหมายที่ละเอียดจะล่องลอยโปร่งเบากำหนดได้ยาก แต่จิตสงบลึกได้ง่าย จิตผ่อนคลาย ออกได้ง่าย เป้าหมายเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของสมาธิ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ยึดเกาะอารมณ์ในขั้นแรก เพื่อให้เข้าสู่สมาธิเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ว่าอันไหนจะดีกว่าอันไหน มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคนว่าจะสะดวกใจและเคยชินกับกรรมฐานอันไหน ถ้าเคยใช้วิธีไหนก็ควรจะใช้วิธีนั้นไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง จนชำนาญ ไม่ควรเปลี่ยนกรรมฐานบ่อย เพราะจะทำให้จิตใจโลเล ไม่สงบได้ง่าย
3) ธรรมชาติจิตใจคนเราเป็นของไม่อยู่นิ่งเฉย มันจะส่อส่ายไปตามอารมณ์ได้ง่ายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ ส่อส่ายด้วยอาการนึกคิดไปต่างๆ นานา เหมือนกับลิงที่มันไม่เคยอยู่นิ่ง เราจึงใช้อุบายให้มันอยู่นิ่งด้วยการล่อให้มันมาสนใจอยู่กับเป้าหมาย ที่กำหนดอย่างเดียว แต่ในตอนแรกๆ เมื่อกำหนด ได้ไม่นาน จิตใจก็จะเผลอ ส่อส่ายไปกับอารมณ์อื่นๆ เมื่อรู้ตัวก็ไม่ต้องไปรำคาญใจหรือทะเลาะกับมัน ไม่ต้องทะเลาะกับจิต และไม่ต้องทะเลาะกับอารมณ์นั้นๆ เพียงวางอารมณ์ที่มันไปยุ่งเกี่ยวนั้นเสีย แล้วกลับมากำหนดที่เป้าหมายเดิมเท่านั้น ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จิตใจก็จะค่อยๆ ยอมแล้วอยู่นิ่งกับอารมณ์ที่กำหนดเอง เรียกว่าจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ เริ่มเข้าสู่ความสงบ
4) เมื่อจิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ อาจมีภาพ หรือ เสียง หรืออาการบางอย่างเกิดขึ้น เรียกว่า นิมิต สิ่งเหล่านี้อาจมีในบางคนและอาจไม่มีในบางคน มันเป็นเพียงธรรมชาติอันหนึ่งของจิตใจ ไม่ต้องไปให้ความสนใจกับมัน เพียงแต่วางมัน คือมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด มันจะไม่เกิดก็ปล่อยให้มันไม่เกิด ไม่ต้องไปเฝ้าคอยดู คอยรู้ คิดนึกมุ่งหวังจะให้มันเกิด มันจะกลายเป็นอุปสรรคแก่สมาธิ ได้ และในรายที่มันเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องสนใจในเนื้อหา สาระใดๆ ที่มันเกิดขึ้น ต้องตระหนักไว้เสมอว่า นิมิต มันเป็นเพียงธรรมชาติของจิตใจอันหนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่ความวิเศษวิโสอะไรของใคร มันไม่ใช่สิ่งที่จะไปยึดมั่นถือมั่นมันได้เลย นิมิตจะมีประโยชน์สำหรับผู้มีปัญญาบางท่านเท่านั้น ที่เอาเนื้อหาของนิมิตนั้นมาเป็นอุบายธรรมสอนตน แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ขอแนะนำว่าอย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า เพราะจะหลงติดได้ง่าย
5) การทำสมาธิ คือการดำเนินจิตใจเราตามกระบวนการต่างๆที่กล่าวมาเท่านั้น เรามีหน้าที่เพียง ดำเนินจิตไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องไปอยากได้ ไม่ต้องไปคาดหวังถึงผล ว่าจะให้มันได้อะไรหรือเกิดอะไร ไม่ต้องไปคอยคาดคะเนหรือให้คะแนน ให้ลำดับขั้นต่างๆ ว่าตอนนี้เราเกิดอะไรแล้ว ตอนนี้เราได้อะไรแล้ว ตอนนี้เราถึงขั้นไหนแล้ว ฌานไหนแล้ว หรือแม้กระทั่ง ตอนนี้เราสงบแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสในการทำสมาธิ ซึ่งกลับจะเป็นอุปสรรคของสมาธิอย่างยิ่ง ทำให้จิตใจเรายึดมั่นถือมั่นในอาการต่างๆ ที่เกิดหรือยังไม่เกิด จนไม่สามารถเข้าสู่สมาธิที่แท้จริงได้
ต้องตระหนักไว้เสมอว่า เรามีหน้าที่เพียง การ ทำเหตุให้เพียงพอ ส่วนผลจะมีหรือไม่มีไม่ต้องไป เฝ้าคอยสนใจมัน จิตใจจึงจะสงบไม่มี อาการดิ้นรน ไขว่คว้า หรือแสวงหาเพื่อให้ได้อันใด ดำเนินอย่าง นี้สมาธิจึงจะเกิดได้ง่ายอันเป็นผลที่มันจะเกิดเองเป็นเองตามธรรมชาติของมันเมื่อเหตุปัจจัยที่เรากระทำไว้มันเพียงพอ
6) จุดหมายสูงสุดของการทำสมาธิ คือการที่จิตอยู่กับอารมณ์เดียวไม่วอกแวก ตั้งมั่นอยู่อย่าง นั้นกับอารมณ์ๆ เดียว หรือที่เรียกว่า เอกัคคตา-รมณ์ จิตใจจะปล่อยวางทุกสิ่งภายนอก ไม่สนใจใยดีกับอารมณ์ต่างๆ ที่มารบกวน เพียงแต่รู้แล้วปล่อยวางมันโดยอัตโนมัติ คงอยู่ในสภาพของอาการรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นสภาวะที่เรียกว่า อุเบกขา ณ จุดนี้จิตใจจะสงบนิ่ง ละเอียดโปร่งเบามาก เป็นการพักผ่อนทางจิตที่ดีที่สุด ทำให้จิตใจ เข้าสู่ความสุข ความสงบ อย่างลุ่มลึก และละเอียดอ่อน ทำให้จิตใจมีพลังสูง มีคุณภาพ และประสิทธิภาพอย่างยิ่ง หลังจากที่ออกจากการพักจิตในสมาธิแล้ว จิตใจจะมีกำลังมาก สามารถนำไปใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะนำไปใช้งานในการเสริมสร้างปัญญา เสริมสร้างปัญญาญาณ ที่สามารถมองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงได้ เพื่อใช้ในการตัดกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่
จิตใจธรรมดาจะทำได้ยาก หรือจะนำไปใช้ในการงานทางโลกก็จะมีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน จิตใจจะสะอาด โปร่งเบาสบาย คล่องตัว ไม่รุ่มร้อน ไม่ติดขัด ปัญญาเดินได้แคล่วคล่อง ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
จะขอยกตัวอย่างการทำสมาธิพอสังเขปสักวิธีหนึ่ง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ที่นิยมทำกันมาก และพระพุทธองค์ท่านทรงกล่าวยกย่อง ก็คือ อานาปานสติภาวนา
(อ่่านต่อสัปดาห์หน้า/อานาปานสติภาวนา)
หลักของการทำสมาธิ มีดังนี้ คือ
1) การปฏิบัติสมาธิ เป็นการปฏิบัติที่ใจ เป็น การดำเนินจิตใจของเราเป็นหลัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย ดังนั้นท่าทาง หรือกระบวนท่าต่างๆจึงไม่ได้มีความสำคัญเป็นอันดับแรก และไม่ใช่สิ่งที่จะยึดถือ แต่ท่าทางต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ เช่น การนั่งขัดสมาธิ การเดินจงกรม เป็นต้นนั้น เป็นท่าทางที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำสมาธิเป็นไปได้ง่ายขึ้น สามารถทำได้นานๆ และมั่นคงไม่หลับง่าย จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมในทางอ้อม เท่านั้น แต่การทำสมาธินั้นเน้นที่จิตใจเป็นหลักใหญ่ เพราะสมาธิเป็นอาการของจิตใจ เกิดที่จิตใจ และยิ่งในสมาธิที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากๆ นั้น ยิ่งจะต้องทำให้ได้ในทุกอิริยาบถด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพียงการเน้นที่ท่าทางใดท่าทางหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
2) การทำสมาธิ คือการเอาจิตของเราไปกำหนดไว้กับอารมณ์หรือเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า กรรมฐาน ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่เร่าร้อน วุ่นวาย และไม่ยั่วยุจิตใจ เป้าหมายหรืออารมณ์ของ สมาธิมีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ คือ รูป และ นาม หรือจะเรียกว่า เป้าหมายที่เป็นวัตถุ กับ เป้าหมายที่เป็นนามธรรม เช่น การกำหนดลมหายใจ การกำหนดการเคลื่อนไหว การกำหนดคำบริกรรม การ กำหนดรูปวัตถุ หรือ แสง แม้กระทั่งการนึกถึงคุณธรรม ความดี หรือ สัจธรรม เป็นต้น เป้าหมาย ที่หยาบจะกำหนดได้ง่าย แต่จิตสงบลึกยาก จิตติด ยึดนาน เป้าหมายที่ละเอียดจะล่องลอยโปร่งเบากำหนดได้ยาก แต่จิตสงบลึกได้ง่าย จิตผ่อนคลาย ออกได้ง่าย เป้าหมายเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของสมาธิ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ยึดเกาะอารมณ์ในขั้นแรก เพื่อให้เข้าสู่สมาธิเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ว่าอันไหนจะดีกว่าอันไหน มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคนว่าจะสะดวกใจและเคยชินกับกรรมฐานอันไหน ถ้าเคยใช้วิธีไหนก็ควรจะใช้วิธีนั้นไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง จนชำนาญ ไม่ควรเปลี่ยนกรรมฐานบ่อย เพราะจะทำให้จิตใจโลเล ไม่สงบได้ง่าย
3) ธรรมชาติจิตใจคนเราเป็นของไม่อยู่นิ่งเฉย มันจะส่อส่ายไปตามอารมณ์ได้ง่ายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ ส่อส่ายด้วยอาการนึกคิดไปต่างๆ นานา เหมือนกับลิงที่มันไม่เคยอยู่นิ่ง เราจึงใช้อุบายให้มันอยู่นิ่งด้วยการล่อให้มันมาสนใจอยู่กับเป้าหมาย ที่กำหนดอย่างเดียว แต่ในตอนแรกๆ เมื่อกำหนด ได้ไม่นาน จิตใจก็จะเผลอ ส่อส่ายไปกับอารมณ์อื่นๆ เมื่อรู้ตัวก็ไม่ต้องไปรำคาญใจหรือทะเลาะกับมัน ไม่ต้องทะเลาะกับจิต และไม่ต้องทะเลาะกับอารมณ์นั้นๆ เพียงวางอารมณ์ที่มันไปยุ่งเกี่ยวนั้นเสีย แล้วกลับมากำหนดที่เป้าหมายเดิมเท่านั้น ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จิตใจก็จะค่อยๆ ยอมแล้วอยู่นิ่งกับอารมณ์ที่กำหนดเอง เรียกว่าจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ เริ่มเข้าสู่ความสงบ
4) เมื่อจิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ อาจมีภาพ หรือ เสียง หรืออาการบางอย่างเกิดขึ้น เรียกว่า นิมิต สิ่งเหล่านี้อาจมีในบางคนและอาจไม่มีในบางคน มันเป็นเพียงธรรมชาติอันหนึ่งของจิตใจ ไม่ต้องไปให้ความสนใจกับมัน เพียงแต่วางมัน คือมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด มันจะไม่เกิดก็ปล่อยให้มันไม่เกิด ไม่ต้องไปเฝ้าคอยดู คอยรู้ คิดนึกมุ่งหวังจะให้มันเกิด มันจะกลายเป็นอุปสรรคแก่สมาธิ ได้ และในรายที่มันเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องสนใจในเนื้อหา สาระใดๆ ที่มันเกิดขึ้น ต้องตระหนักไว้เสมอว่า นิมิต มันเป็นเพียงธรรมชาติของจิตใจอันหนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่ความวิเศษวิโสอะไรของใคร มันไม่ใช่สิ่งที่จะไปยึดมั่นถือมั่นมันได้เลย นิมิตจะมีประโยชน์สำหรับผู้มีปัญญาบางท่านเท่านั้น ที่เอาเนื้อหาของนิมิตนั้นมาเป็นอุบายธรรมสอนตน แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ขอแนะนำว่าอย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า เพราะจะหลงติดได้ง่าย
5) การทำสมาธิ คือการดำเนินจิตใจเราตามกระบวนการต่างๆที่กล่าวมาเท่านั้น เรามีหน้าที่เพียง ดำเนินจิตไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องไปอยากได้ ไม่ต้องไปคาดหวังถึงผล ว่าจะให้มันได้อะไรหรือเกิดอะไร ไม่ต้องไปคอยคาดคะเนหรือให้คะแนน ให้ลำดับขั้นต่างๆ ว่าตอนนี้เราเกิดอะไรแล้ว ตอนนี้เราได้อะไรแล้ว ตอนนี้เราถึงขั้นไหนแล้ว ฌานไหนแล้ว หรือแม้กระทั่ง ตอนนี้เราสงบแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสในการทำสมาธิ ซึ่งกลับจะเป็นอุปสรรคของสมาธิอย่างยิ่ง ทำให้จิตใจเรายึดมั่นถือมั่นในอาการต่างๆ ที่เกิดหรือยังไม่เกิด จนไม่สามารถเข้าสู่สมาธิที่แท้จริงได้
ต้องตระหนักไว้เสมอว่า เรามีหน้าที่เพียง การ ทำเหตุให้เพียงพอ ส่วนผลจะมีหรือไม่มีไม่ต้องไป เฝ้าคอยสนใจมัน จิตใจจึงจะสงบไม่มี อาการดิ้นรน ไขว่คว้า หรือแสวงหาเพื่อให้ได้อันใด ดำเนินอย่าง นี้สมาธิจึงจะเกิดได้ง่ายอันเป็นผลที่มันจะเกิดเองเป็นเองตามธรรมชาติของมันเมื่อเหตุปัจจัยที่เรากระทำไว้มันเพียงพอ
6) จุดหมายสูงสุดของการทำสมาธิ คือการที่จิตอยู่กับอารมณ์เดียวไม่วอกแวก ตั้งมั่นอยู่อย่าง นั้นกับอารมณ์ๆ เดียว หรือที่เรียกว่า เอกัคคตา-รมณ์ จิตใจจะปล่อยวางทุกสิ่งภายนอก ไม่สนใจใยดีกับอารมณ์ต่างๆ ที่มารบกวน เพียงแต่รู้แล้วปล่อยวางมันโดยอัตโนมัติ คงอยู่ในสภาพของอาการรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นสภาวะที่เรียกว่า อุเบกขา ณ จุดนี้จิตใจจะสงบนิ่ง ละเอียดโปร่งเบามาก เป็นการพักผ่อนทางจิตที่ดีที่สุด ทำให้จิตใจ เข้าสู่ความสุข ความสงบ อย่างลุ่มลึก และละเอียดอ่อน ทำให้จิตใจมีพลังสูง มีคุณภาพ และประสิทธิภาพอย่างยิ่ง หลังจากที่ออกจากการพักจิตในสมาธิแล้ว จิตใจจะมีกำลังมาก สามารถนำไปใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะนำไปใช้งานในการเสริมสร้างปัญญา เสริมสร้างปัญญาญาณ ที่สามารถมองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงได้ เพื่อใช้ในการตัดกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่
จิตใจธรรมดาจะทำได้ยาก หรือจะนำไปใช้ในการงานทางโลกก็จะมีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน จิตใจจะสะอาด โปร่งเบาสบาย คล่องตัว ไม่รุ่มร้อน ไม่ติดขัด ปัญญาเดินได้แคล่วคล่อง ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
จะขอยกตัวอย่างการทำสมาธิพอสังเขปสักวิธีหนึ่ง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ที่นิยมทำกันมาก และพระพุทธองค์ท่านทรงกล่าวยกย่อง ก็คือ อานาปานสติภาวนา
(อ่่านต่อสัปดาห์หน้า/อานาปานสติภาวนา)